พบผลลัพธ์ทั้งหมด 586 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 198/2511 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแก้ไขฟ้องคดีอาญาที่ระบุสถานที่เกิดเหตุผิด ตำบล ไม่ทำให้จำเลยเสียเปรียบ
คดีที่โจทก์ระบุสถานที่เกิดเหตุมาในฟ้องผิดตำบลต่อมาก่อนที่จะเสร็จการสืบพยานจำเลย โจทก์จึงยื่นคำร้องขอแก้ไขฟ้องให้ตรงกับความเป็นจริงดังนี้ โจทก์ย่อมมีอำนาจกระทำได้เพราะสถานที่ซึ่งเกิดการกระทำความผิดเป็นรายละเอียดซึ่งจะต้องแถลงในฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158 ฉะนั้น จึงไม่ถือว่าทำให้จำเลยเสียเปรียบดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 164
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 198/2511 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแก้ไขฟ้องคดีอาญาโดยไม่ทำให้จำเลยเสียเปรียบ และอำนาจฟ้องของโจทก์
คดีที่โจทก์ระบุสถานที่เกิดเหตุมาในฟ้องผิดตำบล ต่อมาก่อนที่จะเสร็จการสืบพยานจำเลย โจทก์จึงยื่นคำร้องขอแก้ไขฟ้องให้ตรงกับความเป็นจริง ดั่งนี้ โจทก์ย่อมมีอำนาจกระทำได้ เพราะสถานที่ซึ่งเกิดการกระทำความผิดเป็นรายละเอียดซึ่งจะต้องแถลงในฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158 ฉะนั้น จึงไม่ถือว่าทำให้จำเลยเสียเปรียบดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 164
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 198/2511
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแก้ไขฟ้องคดีอาญา: อำนาจโจทก์และผลกระทบต่อจำเลย – สถานที่เกิดเหตุเป็นรายละเอียดที่แก้ไขได้
คดีที่โจทก์ระบุสถานที่เกิดเหตุมาในฟ้องผิดตำบล. ต่อมาก่อนที่จะเสร็จการสืบพยานจำเลย โจทก์จึงยื่นคำร้องขอแก้ไขฟ้องให้ตรงกับความเป็นจริง. ดังนี้ โจทก์ย่อมมีอำนาจกระทำได้เพราะสถานที่ซึ่งเกิดการกระทำความผิดเป็นรายละเอียดซึ่งจะต้องแถลงในฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158. ฉะนั้น จึงไม่ถือว่าทำให้จำเลยเสียเปรียบดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 164.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 177/2511 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิการเช่าและขับไล่: แม้มีข้อจำกัดกรรมสิทธิ์ โจทก์มีสิทธิฟ้องขับไล่จำเลยได้หากสัญญาเช่าสิ้นสุด
ที่พิพาทเป็นของโจทก์ แม้จะมีข้อจำกัดกรรมสิทธิ์บางส่วนตามพระราชบัญญัติการชลประทานหลวง พ.ศ.2485 โจทก์ก็มีสิทธิให้จำเลยเช่าได้ และโจทก์มีสิทธิฟ้องขับไล่จำเลยได้
จำเลยทำสัญญาเช่าที่รายพิพาทจากโจทก์ เมื่อวันที่ 1 เมษายน 2492 มีกำหนด 3 ปี เมื่อสิ้นกำหนดเวลาเช่าแล้ว จำเลยครองที่พิพาทอยู่ จำเลยได้ชำระค่าเช่าให้โจทก์เรื่อยมาโจทก์เพิ่งบอกเลิกสัญญาเช่าเมื่อเดือนมกราคม 2504 โจทก์ย่อมฟ้องขับไล่จำเลยได้ คดีไม่ขาดอายุความ
โจทก์ฟ้องเรียกค่าเสียหายถึงวันฟ้องเมื่อศาลเห็นสมควรศาลย่อมพิพากษาให้จำเลยใช้ค่าเสียหายจนถึงวันที่จำเลยรื้อถอนโรงเรือนออกไปจากที่ดินของโจทก์ได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142(4)
จำเลยทำสัญญาเช่าที่รายพิพาทจากโจทก์ เมื่อวันที่ 1 เมษายน 2492 มีกำหนด 3 ปี เมื่อสิ้นกำหนดเวลาเช่าแล้ว จำเลยครองที่พิพาทอยู่ จำเลยได้ชำระค่าเช่าให้โจทก์เรื่อยมาโจทก์เพิ่งบอกเลิกสัญญาเช่าเมื่อเดือนมกราคม 2504 โจทก์ย่อมฟ้องขับไล่จำเลยได้ คดีไม่ขาดอายุความ
โจทก์ฟ้องเรียกค่าเสียหายถึงวันฟ้องเมื่อศาลเห็นสมควรศาลย่อมพิพากษาให้จำเลยใช้ค่าเสียหายจนถึงวันที่จำเลยรื้อถอนโรงเรือนออกไปจากที่ดินของโจทก์ได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142(4)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 177/2511 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิการเช่าและขับไล่: แม้มีข้อจำกัดกรรมสิทธิ์ โจทก์มีสิทธิฟ้องขับไล่จำเลยได้หากสัญญาเช่าสิ้นสุดและจำเลยยังครอบครอง
ที่พิพาทเป็นของโจทก์ แม้จะมีข้อจำกัดกรรมสิทธิ์บางส่วนตามพระราชบัญญัติการชลประทานหลวง พ.ศ. 2485 โจทก์ก็มีสิทธิให้จำเลยเช่าได้ และโจทก์มีสิทธิฟ้องขับไล่จำเลยได้
จำเลยทำสัญญาเช่าที่รายพิพาทจากโจทก์ เมื่อวันที่ 1 เมษายน 2492 มีกำหนด 3 ปี เมื่อสิ้นกำหนดเวลาเช่าแล้ว จำเลยครองที่พิพาทอยู่ จำเลยได้ชำระค่าเช่าให้โจทก์เรื่อยมา โจทก์เพิ่งบอกเลิกสัญญาเช่าเมื่อเดือนมกราคม 2504 โจทก์ย่อมฟ้องขับไล่จำเลยได้ คดีไม่ขาดอายุความ
โจทก์ฟ้องเรียกค่าเสียหายถึงวันฟ้อง เมื่อศาลเห็นสมควรย่อมพิพากษาให้จำเลยใช้ค่าเสียหายจนถึงวันที่จำเลยรื้อถอนโรงเรือนออกไปจากที่ดินของโจทก์ได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 (4)
จำเลยทำสัญญาเช่าที่รายพิพาทจากโจทก์ เมื่อวันที่ 1 เมษายน 2492 มีกำหนด 3 ปี เมื่อสิ้นกำหนดเวลาเช่าแล้ว จำเลยครองที่พิพาทอยู่ จำเลยได้ชำระค่าเช่าให้โจทก์เรื่อยมา โจทก์เพิ่งบอกเลิกสัญญาเช่าเมื่อเดือนมกราคม 2504 โจทก์ย่อมฟ้องขับไล่จำเลยได้ คดีไม่ขาดอายุความ
โจทก์ฟ้องเรียกค่าเสียหายถึงวันฟ้อง เมื่อศาลเห็นสมควรย่อมพิพากษาให้จำเลยใช้ค่าเสียหายจนถึงวันที่จำเลยรื้อถอนโรงเรือนออกไปจากที่ดินของโจทก์ได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 (4)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 177/2511
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิในที่ดินเช่า, การบอกเลิกสัญญาเช่า, และการฟ้องขับไล่เมื่อครบกำหนดสัญญา
ที่พิพาทเป็นของโจทก์ แม้จะมีข้อจำกัดกรรมสิทธิ์บางส่วนตามพระราชบัญญัติการชลประทานหลวง พ.ศ.2485. โจทก์ก็มีสิทธิให้จำเลยเช่าได้. และโจทก์มีสิทธิฟ้องขับไล่จำเลยได้.
จำเลยทำสัญญาเช่าที่รายพิพาทจากโจทก์ เมื่อวันที่ 1เมษายน 2492 มีกำหนด 3 ปี. เมื่อสิ้นกำหนดเวลาเช่าแล้ว จำเลยครองที่พิพาทอยู่. จำเลยได้ชำระค่าเช่าให้โจทก์เรื่อยมา. โจทก์เพิ่งบอกเลิกสัญญาเช่าเมื่อเดือนมกราคม2504. โจทก์ย่อมฟ้องขับไล่จำเลยได้. คดีไม่ขาดอายุความ.
โจทก์ฟ้องเรียกค่าเสียหายถึงวันฟ้อง. เมื่อศาลเห็นสมควรศาลย่อมพิพากษาให้จำเลยใช้ค่าเสียหายจนถึงวันที่จำเลยรื้อถอนโรงเรือนออกไปจากที่ดินของโจทก์ได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142(4).
จำเลยทำสัญญาเช่าที่รายพิพาทจากโจทก์ เมื่อวันที่ 1เมษายน 2492 มีกำหนด 3 ปี. เมื่อสิ้นกำหนดเวลาเช่าแล้ว จำเลยครองที่พิพาทอยู่. จำเลยได้ชำระค่าเช่าให้โจทก์เรื่อยมา. โจทก์เพิ่งบอกเลิกสัญญาเช่าเมื่อเดือนมกราคม2504. โจทก์ย่อมฟ้องขับไล่จำเลยได้. คดีไม่ขาดอายุความ.
โจทก์ฟ้องเรียกค่าเสียหายถึงวันฟ้อง. เมื่อศาลเห็นสมควรศาลย่อมพิพากษาให้จำเลยใช้ค่าเสียหายจนถึงวันที่จำเลยรื้อถอนโรงเรือนออกไปจากที่ดินของโจทก์ได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142(4).
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 77/2511 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องเคลือบคลุม: การที่โจทก์มิได้โต้แย้งคำสั่งศาลชั้นต้นในประเด็นฟ้องเคลือบคลุม ทำให้ฎีกาต้องห้ามตามมาตรา 249
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า ฟ้องของโจทก์นั้นเคลือบคลุมขัดต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 วรรคสอง แต่คำฟ้องอุทธรณ์ของโจทก์มิได้อุทธรณ์โต้แย้งว่าคำฟ้องของโจทก์ไม่เคลือบคลุมเพราะเหตุใด เพิ่งจะมายกขึ้นกล่าวในชั้นฎีกาดังนี้ จึงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 77/2511
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องเคลือบคลุม การอุทธรณ์และฎีกาที่ไม่โต้แย้งคำสั่งศาลชั้นต้น ทำให้ต้องห้ามตามกฎหมาย
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า ฟ้องของโจทก์นั้นเคลือบคลุมขัดต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 วรรคสอง แต่คำฟ้องอุทธรณ์ของโจทก์มิได้อุทธรณ์โต้แย้งว่าคำฟ้องของโจทก์ไม่เคลือบคลุมเพราะเหตุใด. เพิ่งจะมายกขึ้นกล่าวในชั้นฎีกา. ดังนี้ จึงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 77/2511 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องเคลือบคลุม: การที่โจทก์มิได้โต้แย้งคำพิพากษาศาลชั้นต้นในประเด็นฟ้องเคลือบคลุมในชั้นอุทธรณ์ ทำให้ฎีกาต้องห้ามตามกฎหมาย
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า ฟ้องของโจทก์นั้นเคลือบคลุมขัดต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 วรรค 2 แต่คำฟ้องอุทธรณ์ของโจทก์มิได้อุทธรณ์โต้แย้งว่า คำฟ้องของโจทก์ไม่เคลือบคลุมเพราะเหตุใด เพิ่งจะมายกขึ้นกล่าวในชั้นฎีกา ดังนี้ จึงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1425/2510
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดฐานเรียกรับทรัพย์สินเพื่อช่วยเหลือในการดำรงตำแหน่งทางการเมือง
จำเลยและ บ. เป็นสมาชิกสภาเทศบาล จำเลยได้มีจดหมายถึง บ. ให้ช่วยเหลือปลดเปลื้องหนี้สินของจำเลย เพื่อที่จำเลยจะได้สนับสนุนให้ บ. กับคณะดำรงตำแหน่งนายกเทศมนตรีและเทศมนตรี ดังนี้ จำเลยย่อมมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 149
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยและ บ. เป็นสมาชิกสภาเทศบาลจำเลยได้เรียกร้องเอาทรัพย์สินจาก บ. เพื่อประโยชน์ของจำเลยเองในการที่จำเลยจะกระทำการเป็นฝ่ายช่วยเหลือสนับสนุน บ. กับคณะให้ดำรงตำแหน่งนายกเทศมนตรีและเทศมนตรี ทั้งนี้เป็นการมิชอบด้วยหน้าที่ของจำเลย ดังนี้ แม้ไม่บรรยายว่าเพื่อกระทำการหรือไม่กระทำการอย่างใดในตำแหน่ง ก็เป็นคำฟ้องที่สมบูรณ์เข้าองค์ประกอบความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 149
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยและ บ. เป็นสมาชิกสภาเทศบาลจำเลยได้เรียกร้องเอาทรัพย์สินจาก บ. เพื่อประโยชน์ของจำเลยเองในการที่จำเลยจะกระทำการเป็นฝ่ายช่วยเหลือสนับสนุน บ. กับคณะให้ดำรงตำแหน่งนายกเทศมนตรีและเทศมนตรี ทั้งนี้เป็นการมิชอบด้วยหน้าที่ของจำเลย ดังนี้ แม้ไม่บรรยายว่าเพื่อกระทำการหรือไม่กระทำการอย่างใดในตำแหน่ง ก็เป็นคำฟ้องที่สมบูรณ์เข้าองค์ประกอบความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 149