พบผลลัพธ์ทั้งหมด 586 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 760/2510 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบังคับคดีและการจำหน่ายทรัพย์สินที่ถูกจำกัดสิทธิโดย พ.ร.ฎ.แนวทางหลวง ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าการบังคับคดีสามารถทำได้หากได้รับอนุญาต
จำเลยฎีกาขอให้สั่งงดการขายทอดตลาดทรัพย์ที่ยึดจากจำเลย โดยอ้างว่าที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่ถูกโจทก์นำยึดจะขายทอดตลาดตามคำสั่งศาล เป็นที่ซึ่งอยู่ภายใต้บังคับของพระราชกฤษฎีกากำหนดแนวทางหลวงที่จะสร้างทางหลวงแผ่นดิน ซึ่งได้มีประกาศห้ามทำการจำหน่ายอสังหาริมทรัพย์ที่อยู่ภายในเขตส่วนกว้างของแนวทางหลวงหนึ่งพันเมตร โดยการขาย แลกเปลี่ยน ให้ หรือโดยประการอื่น ฯลฯ นั้น ถือว่า แม้ที่ดินจะตกอยู่ภายใต้พระราชกฤษฎีกาตามที่จำเลยอ้าง แต่ตามพระราชบัญญัติทางหลวง พ.ศ. 2482 มาตรา 57 ซึ่งบัญญัติให้นำมาตรา 46 มาใช้บังคับในกรณีนี้โดยอนุโลม ก็ได้บัญญัติโดยมีข้อยกเว้นไว้ว่าถ้าได้รับอนุญาตเป็นหนังสือจากเจ้าหน้าที่แล้ว ก็ย่อมจำหน่ายจ่ายโอนกันได้ มิให้บังคับไว้เด็ดขาด และกรณีเช่นนี้ จำเลยก็ไม่มีสิทธิ์จะร้องขอให้งดการขาย เพราะเป็นทรัพย์ของจำเลยที่ตกอยู่ในบังคับที่เจ้าหนี้มีสิทธิ์จะขอให้ยึดมาใช้หนี้ได้ ทั้งเป็นเรื่องที่เจ้าพนักงานบังคับคดีจะต้องดำเนินการบังคับคดี
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 760/2510
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบังคับคดีและการขายทอดตลาดทรัพย์สินที่ถูกจำกัดสิทธิเนื่องจาก พ.ร.ฎ. แนวทางหลวง ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าการบังคับคดีเป็นไปตามกฎหมาย
จำเลยฎีกาขอให้สั่งงดการขายทอดตลาดทรัพย์ที่ยึดจากจำเลยโดยอ้างว่าที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่ถูกโจทก์นำยึดจะขายทอดตลาดตามคำสั่งศาล เป็นที่ซึ่งอยู่ภายใต้บังคับของพระราชกฤษฎีกากำหนดแนวทางหลวงที่จะสร้างทางหลวงแผ่นดิน ซึ่งได้มีประกาศห้ามทำการจำหน่ายอสังหาริมทรัพย์ที่อยู่ภายในเขตส่วนกว้างของแนวทางหลวงหนึ่งพันเมตร โดยการขายแลกเปลี่ยน ให้ หรือโดยประการอื่น ฯลฯ นั้น ถือว่าแม้ที่ดินจะตกอยู่ภายใต้พระราชกฤษฎีกาตามที่จำเลยอ้างแต่ตามพระราชบัญญัติทางหลวง พ.ศ. 2482 มาตรา 57 ซึ่งได้บัญญัติ ให้นำมาตรา 46 มาใช้บังคับในกรณีนี้โดยอนุโลม ก็ได้บัญญัติโดยมีข้อยกเว้นไว้ว่าถ้าได้รับอนุญาตเป็นหนังสือจากเจ้าหน้าที่แล้ว ก็ย่อมจำหน่ายจ่ายโอนกันได้ มิได้บังคับไว้เด็ดขาด และกรณีเช่นนี้ จำเลยก็ไม่มีสิทธิจะร้องขอให้งดการขาย เพราะเป็นทรัพย์ของจำเลยที่ตกอยู่ในบังคับที่เจ้าหนี้มีสิทธิจะขอให้ยึดมาใช้หนี้ได้ ทั้งเป็นเรื่องที่เจ้าพนักงานบังคับคดีจะต้องดำเนินการบังคับคดี
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 759/2510 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องล้มละลาย: รายละเอียดการเบิกเงินเกินบัญชีไม่จำเป็นในฟ้อง, ฟ้องไม่เคลือบคลุม
การเบิกเงินเกินบัญชีจะกระทำไปกี่คราว ๆ ละเท่าใดนั้น เป็นรายละเอียดที่โจทก์ไม่จำต้องกล่าวในฟ้อง และไม่ทำให้ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม
(ประชุมใหญ่ครั้งที่ 30/2509)
(ประชุมใหญ่ครั้งที่ 30/2509)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 759/2510
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องล้มละลาย: รายละเอียดการเบิกเกินบัญชีไม่จำเป็นต้องระบุในฟ้อง หากพิสูจน์หนี้ได้
การเบิกเงินเกินบัญชีจะกระทำไปกี่คราว คราวละเท่าใดนั้นเป็นรายละเอียดที่โจทก์ไม่จำต้องกล่าวในฟ้อง และไม่ทำให้ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม (ประชุมใหญ่ครั้งที่ 30/2509)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 677/2510 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การทำร้ายร่างกายหญิงมีครรภ์จนแท้งลูก ความผิดตามมาตรา 297 และการเพิ่มโทษจากศาลฎีกา
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยทำร้ายร่างกายเขาได้รับอันตรายสาหัสถึงแท้งลูกตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 297(5) โจทก์จะยกเหตุอันตรายสาหัสเพราะป่วยเจ็บด้วยอาการทุกขเวทนาหรือประกอบกรณียกิจตามปกติไม่ได้เกินกว่า 20 วันตามมาตรา 297(8) มาอ้างในชั้นฎีกาไม่ได้ เพราะไม่ได้กล่าวไว้ในฟ้อง
การกระทำอันจะเป็นผิดฐานทำร้ายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ผู้ถูกทำร้ายได้รับอันตรายถึงสาหัสถึงแท้งลูกตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 297(5) นั้น จะต้องเป็นกรณีที่กระทำให้ลูกในครรภ์ของผู้ถูกทำร้ายคลอดออกมาในลักษณะที่ลูกนั้นไม่มีชีวิต ส่วนการคลอดก่อนกำหนดเวลาในลักษณะที่เด็กยังมีชีวิตอยู่ต่อมาอีก 8 วันแล้วจึงตาย ดังนี้ ไม่เป็นการทำให้ได้รับอันตรายสาหัสถึงแท้งลูกตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 297(5)
คดีที่ศาลอุทธรณ์ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 295 เมื่อศาลฎีกาเห็นว่าเบาไป และโจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษตามมาตรา 297 ถือได้ว่าโจทก์ฎีกาในทำนองที่ขอลงโทษจำเลยให้หนักขึ้น ดังนี้ ศาลฎีกามีอำนาจที่จะลงโทษจำเลยให้หนักกว่าที่ศาลอุทธรณ์กำหนดได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 212 ประกอบด้วยมาตรา 225
(ตัดสินโดยมติที่ประชุมใหญ่ครั้งที่ 14/2510)
การกระทำอันจะเป็นผิดฐานทำร้ายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ผู้ถูกทำร้ายได้รับอันตรายถึงสาหัสถึงแท้งลูกตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 297(5) นั้น จะต้องเป็นกรณีที่กระทำให้ลูกในครรภ์ของผู้ถูกทำร้ายคลอดออกมาในลักษณะที่ลูกนั้นไม่มีชีวิต ส่วนการคลอดก่อนกำหนดเวลาในลักษณะที่เด็กยังมีชีวิตอยู่ต่อมาอีก 8 วันแล้วจึงตาย ดังนี้ ไม่เป็นการทำให้ได้รับอันตรายสาหัสถึงแท้งลูกตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 297(5)
คดีที่ศาลอุทธรณ์ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 295 เมื่อศาลฎีกาเห็นว่าเบาไป และโจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษตามมาตรา 297 ถือได้ว่าโจทก์ฎีกาในทำนองที่ขอลงโทษจำเลยให้หนักขึ้น ดังนี้ ศาลฎีกามีอำนาจที่จะลงโทษจำเลยให้หนักกว่าที่ศาลอุทธรณ์กำหนดได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 212 ประกอบด้วยมาตรา 225
(ตัดสินโดยมติที่ประชุมใหญ่ครั้งที่ 14/2510)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 677/2510
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การทำร้ายร่างกายสตรีมีครรภ์จนคลอดก่อนกำหนดและการพิจารณาความผิดฐานทำให้แท้งลูก
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยทำร้ายร่างกายเขาได้รับอันตรายสาหัสถึงแท้งลูกตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 297(5) โจทก์จะยกเหตุอันตรายสาหัสเพราะป่วยเจ็บด้วยอาการทุกขเวทนาหรือประกอบกรณียกิจตามปกติไม่ได้เกินกว่า 20 วันตามมาตรา297(8)มาอ้างในชั้นฎีกาไม่ได้ เพราะไม่ได้กล่าวไว้ในฟ้อง
การกระทำอันจะเป็นผิดฐานทำร้ายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ผู้ถูกทำร้ายได้รับอันตรายถึงสาหัสถึงแท้งลูกตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 297(5) นั้น จะต้องเป็นกรณีที่กระทำให้ลูกในครรภ์ของผู้ถูกทำร้ายคลอดออกมาในลักษณะที่ลูกนั้นไม่มีชีวิต ส่วนการคลอดก่อนกำหนดเวลาในลักษณะที่เด็กยังมีชีวิตอยู่ต่อมาอีก 8 วันแล้วจึงตาย ดังนี้ ไม่เป็นการทำให้ได้รับอันตรายสาหัสถึงแท้งลูกตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 297(5)
คดีที่ศาลอุทธรณ์ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295เมื่อศาลฎีกาเห็นว่าเบาไป และโจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษตามมาตรา 297 ถือได้ว่าโจทก์ฎีกาในทำนองที่ขอลงโทษจำเลยให้หนักขึ้น ดังนี้ ศาลฎีกามีอำนาจที่จะลงโทษจำเลยให้หนักกว่าที่ศาลอุทธรณ์กำหนดได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 212 ประกอบด้วยมาตรา 225
(ตัดสินโดยมติที่ประชุมใหญ่ครั้งที่ 14/2510)
การกระทำอันจะเป็นผิดฐานทำร้ายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ผู้ถูกทำร้ายได้รับอันตรายถึงสาหัสถึงแท้งลูกตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 297(5) นั้น จะต้องเป็นกรณีที่กระทำให้ลูกในครรภ์ของผู้ถูกทำร้ายคลอดออกมาในลักษณะที่ลูกนั้นไม่มีชีวิต ส่วนการคลอดก่อนกำหนดเวลาในลักษณะที่เด็กยังมีชีวิตอยู่ต่อมาอีก 8 วันแล้วจึงตาย ดังนี้ ไม่เป็นการทำให้ได้รับอันตรายสาหัสถึงแท้งลูกตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 297(5)
คดีที่ศาลอุทธรณ์ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295เมื่อศาลฎีกาเห็นว่าเบาไป และโจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษตามมาตรา 297 ถือได้ว่าโจทก์ฎีกาในทำนองที่ขอลงโทษจำเลยให้หนักขึ้น ดังนี้ ศาลฎีกามีอำนาจที่จะลงโทษจำเลยให้หนักกว่าที่ศาลอุทธรณ์กำหนดได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 212 ประกอบด้วยมาตรา 225
(ตัดสินโดยมติที่ประชุมใหญ่ครั้งที่ 14/2510)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 670/2510
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การได้มาซึ่งสิทธิครอบครองที่ดิน: การยึดถือครอบครองต่อเนื่องและการขาดการยึดถือ
โจทก์มอบที่นาพิพาทให้สามีจำเลยทำกินตั้งแต่ปี 2488ต่อมาปี 2492 สามีจำเลยขอรังวัดออกโฉนด โจทก์ร้องคัดค้าน ดังนี้ ถือว่าสามีจำเลยแสดงออกแล้วว่าจะเอาที่นานั้นเสียเอง มิได้ยึดถือแทนโจทก์ต่อไป โจทก์หาได้ฟ้องคดีเรียกเอาคืนซึ่งการ ครอบครองจากสามีจำเลยไม่ จำเลยได้ขอรังวัดออกโฉนดที่ 2497 แย่งการออกโฉนดกับโจทก์จนโจทก์ร้องเรียนต่อนายกรัฐมนตรี เป็นเวลาเกือบ 10 ปี ปล่อยให้จำเลยยึดถือที่ดินเพื่อตนเอง เป็นเวลาเกิน 1 ปีแล้ว โจทก์จะเรียกร้องเอาคืนซึ่งการครอบครองหาได้ไม่
ที่ดินซึ่งมีแต่สิทธิครอบครอง ผู้ที่จะได้สิทธิในที่ดินประเภทนี้ต้องเป็นผู้ยึดถือที่ดินนั้น หรือมีผู้ยึดถือแทน หากโจทก์ขาดการยึดถือโดยมีผู้แย่งการครอบครอง ผู้ที่เข้ายึดถือเพื่อตนโดยแย่งการครอบครองย่อมได้สิทธิครอบครอง แต่กฎหมายกำหนดทางแก้ไว้ให้ผู้ครอบครองที่ถูกแย่งฟ้องคดีเรียกเอาคืนภายใน 1 ปี เมื่อโจทก์ไม่ปฏิบัติตามที่กฎหมายกำหนดก็เรียกเอาคืนซึ่งการครอบครองไม่ได้ ข้อที่อ้างว่ายังคงติดตามทางเจ้าพนักงาน มิใช่ทางแก้ที่กฎหมายกำหนดให้กระทำ
ที่ดินซึ่งมีแต่สิทธิครอบครอง ผู้ที่จะได้สิทธิในที่ดินประเภทนี้ต้องเป็นผู้ยึดถือที่ดินนั้น หรือมีผู้ยึดถือแทน หากโจทก์ขาดการยึดถือโดยมีผู้แย่งการครอบครอง ผู้ที่เข้ายึดถือเพื่อตนโดยแย่งการครอบครองย่อมได้สิทธิครอบครอง แต่กฎหมายกำหนดทางแก้ไว้ให้ผู้ครอบครองที่ถูกแย่งฟ้องคดีเรียกเอาคืนภายใน 1 ปี เมื่อโจทก์ไม่ปฏิบัติตามที่กฎหมายกำหนดก็เรียกเอาคืนซึ่งการครอบครองไม่ได้ ข้อที่อ้างว่ายังคงติดตามทางเจ้าพนักงาน มิใช่ทางแก้ที่กฎหมายกำหนดให้กระทำ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 670/2510 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิครอบครองที่ดิน: การแย่งการครอบครองและการไม่ฟ้องคดีภายใน 1 ปี ทำให้เสียสิทธิเรียกร้องคืน
โจทก์มอบที่นาพิพาทให้สามีจำเลยทำกินตั้งแต่ปี 2488 ต่อมาปี 2492 สามีจำเลยขอรังวัดออกโฉนด โจทก์ร้องคัดค้าน ดังนี้ ถือว่าสามีจำเลยแสดงออกแล้วว่าจะเอาที่นานั้นเสียเอง มิได้ยึดถือแทนโจทก์ต่อไป โจทก์หาได้ฟ้องคดีเรียกเอาคืนซึ่งการครอบครองจากสามีจำเลยไม่ จำเลยได้ขอรังวัดออกโฉนดที่ 2497 แย่งการออกโฉนดกับโจทก์จนโจทก์ร้องเรียนต่อนายกรัฐมนตรี เป็นเวลาเกือบ 10 ปี ปล่อยให้จำเลยยึดถือที่ดินเพื่อตนเองเป็นเวลาเกิน 1 ปีแล้ว โจทก์จะเรียกร้องเอาคืนซึ่งการครอบครองหาได้ไม่
ที่ดินซึ่งมีแต่สิทธิ์ครอบครอง ผู้ที่จะได้สิทธิ์ในที่ดินประเภทนี้ต้องเป็นผู้ยึดถือที่ดินนั้น หรือมีผู้ยึดถือแทน หากโจทก์ขาดการยึดถือโดยมีผู้แย่งการครอบครอง ผู้ที่เข้ายึดถือเพื่อตนโดยแย่งการครอบครองย่อมได้สิทธิ์ครอบครอง แต่กฎหมายกำหนดทางแก้ไว้ให้ผู้ครอบครองที่ถูกแย่งฟ้องคดีเรียกเอาคืนภายใน 1 ปี เมื่อโจทก์ไม่ปฏิบัติตามที่กฎหมายกำหนดก็เรียกเอาคืนซึ่งการครอบครองไม่ได้ ข้อที่อ้างว่ายังคงติดตามทางเจ้าพนักงาน มิใช่ทางแก้ที่กฎหมายกำหนดให้กระทำ
ที่ดินซึ่งมีแต่สิทธิ์ครอบครอง ผู้ที่จะได้สิทธิ์ในที่ดินประเภทนี้ต้องเป็นผู้ยึดถือที่ดินนั้น หรือมีผู้ยึดถือแทน หากโจทก์ขาดการยึดถือโดยมีผู้แย่งการครอบครอง ผู้ที่เข้ายึดถือเพื่อตนโดยแย่งการครอบครองย่อมได้สิทธิ์ครอบครอง แต่กฎหมายกำหนดทางแก้ไว้ให้ผู้ครอบครองที่ถูกแย่งฟ้องคดีเรียกเอาคืนภายใน 1 ปี เมื่อโจทก์ไม่ปฏิบัติตามที่กฎหมายกำหนดก็เรียกเอาคืนซึ่งการครอบครองไม่ได้ ข้อที่อ้างว่ายังคงติดตามทางเจ้าพนักงาน มิใช่ทางแก้ที่กฎหมายกำหนดให้กระทำ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 663/2510 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สถานบริการอาบนวดเป็นสถานการค้าประเวณี เมื่อเจ้าของรู้เห็นและยินยอม
พฤติการณ์ของร้านบริการอาบนวดที่ถือเป็นสถานการค้าประเวณีตามพระราชบัญญัติปรามการค้าประเวณี มาตรา 4, 9
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 663/2510
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สถานบริการอาบนวดที่เปิดให้มีการค้าประเวณีถือเป็นสถานการค้าประเวณี เจ้าของมีความผิดตาม พ.ร.บ. ปรามการค้าประเวณี
พฤติการณ์ของร้านบริการอาบนวดที่ถือเป็นสถานการค้าประเวณีตามพระราชบัญญัติปรามการค้าประเวณี มาตรา 4,