คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
วงษ์ วีระพงศ์

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 586 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 165/2509 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ค่าธรรมเนียมตรวจพิสูจน์เอกสารเป็นค่าฤชาธรรมเนียม ผู้แพ้คดีต้องชดใช้
ค่าธรรมเนียมในการตรวจพิสูจน์เอกสาร เป็นค่าฤชาธรรมเนียม.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 165/2509

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ค่าธรรมเนียมตรวจพิสูจน์เอกสารเพื่อพิสูจน์ลายมือ ถือเป็นค่าฤชาธรรมเนียมที่ผู้แพ้คดีต้องชดใช้
ค่าธรรมเนียมในการตรวจพิสูจน์เอกสาร เป็นค่าฤชาธรรมเนียม

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 162/2509

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้องคดีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง, การบอกเลิกสัญญาเช่า, และอำนาจฟ้องของสตรี
เมื่อมีการมอบอำนาจให้จัดการฟ้องร้องเกี่ยวกับที่ดินแล้วก็เท่ากับมอบอำนาจให้ฟ้องเกี่ยวกับตึกซึ่งปลูกอยู่บนที่ดินด้วย.
หญิงมีสามีได้รับมอบอำนาจให้ฟ้องคดีแทนบุคคลอื่นโดยมิได้กระทำการใดๆผูกพันสินบริคณห์แต่อย่างใด จึงมีอำนาจฟ้องคดีได้โดยไม่ต้องได้รับความยินยอมจากสามี
เจ้าของตึกพิพาทเป็นผู้ทำสัญญาให้เช่า เมื่อจะบอกเลิกการเช่า ผู้ให้เช่าต้องเป็นผู้บอกเลิก
เมื่อจำเลยมิได้ยกประเด็นขึ้นต่อสู้มาแต่ต้น ศาลฎีกาก็ไม่รับวินิจฉัย
เมื่อจำเลยจะอ้างสิทธิพิเศษว่าตึกพิพาทเป็นเคหะควบคุมจำเลยได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติควบคุมการเช่าเคหะและที่ดิน พ.ศ.2504 จำเลยจะต้องให้การตั้งประเด็นต่อสู้คดี อ้างสิทธิพิเศษขึ้นมาโดยชัดแจ้ง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 162/2509 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้องคดีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง, การบอกเลิกสัญญาเช่า, และขอบเขตอำนาจของหญิงที่มีสามีในการฟ้องร้อง
เมื่อมีการมอบอำนาจให้จัดการฟ้องร้องเกี่ยวกับที่ดินแล้ว ก็เท่ากับมอบอำนาจให้ฟ้องเกี่ยวกับตึกซึ่งปลูกอยู่บนที่ดินด้วย
หญิงมีสามีได้รับมอบอำนาจให้ฟ้องคดีแทนบุคคลอื่นโดยมิได้กระทำการใด ๆ ผูกพันสินบริคณห์แต่อย่างใด จึงมีอำนาจฟ้องคดีได้โดยไม่ต้องได้รับความยินยอมจากสามี
เจ้าของตึกพิพาทเป็นผู้ทำสัญญาให้เช่า เมื่อจะบอกเลิกการเช่า ผู้ให้เช่าต้องเป็นผู้บอกเลิก
เมื่อจำเลยมิได้ยกประเด็นขึ้นต่อสู้มาแต่ต้น ศาลฎีกาก็ไม่รับวินิจฉัย
เมื่อจำเลยจะอ้างสิทธิพิเศษว่าตึกพิพาทเป็นเคหะควบคุม จำเลยได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติควบคุมการเช่าเคหะและที่ดิน พ.ศ. 2504 จำเลยจะต้องให้การตั้งประเด็นต่อสู้คดี อ้างสิทธิพิเศษขึ้นมาโดยชัดแจ้ง.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 140/2509 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การแจ้งความเท็จและหมิ่นประมาท: การให้การต่อพนักงานสอบสวนเป็นเพียงข่าวลือ ไม่ถือเป็นการใส่ความทำให้เสียชื่อเสียง
ฎีกาโจทก์ที่ว่า โจทก์ได้นำสืบพยานหลักฐานให้เห็นว่าจำเลยได้แจ้งข้อความอันเป็นเท็จเกี่ยวกับความผิดอาญาต่อพนักงานสอบสวน จำเลยต้องมีความผิดตามมาตรา 172,174 นั้น เป็นฎีกาโต้เถียงข้อเท็จจริง เมื่อศาลล่างทั้ง 2 วินิจฉัยต้องกันว่า จำเลยมิได้กล่าวยืนยันข้อเท็จจริง ไม่เป็นการแจ้งความเท็จ พิพากษายกฟ้อง ฎีกาโจทก์จึงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 219
จำเลยถูกพนักงานสอบสวนสอบสวนเป็นพยานในคดีที่โจทก์กับพวกเป็นจำเลยต้องหากระทำผิดวางเพลิง จำเลยให้การว่า "ข้าพเจ้าเองเมื่อนางแอ๊ดเล่าให้ฟังเช่นนี้มีความรู้สึกสงสัยอยู่เพราะข้าพเจ้าเองก็เคยทราบจากชาวตลาดล่ำลือกันอยู่แล้วว่านายห้างศรีอัมฤทธิ์ผู้นี้ได้จ่ายเงินห้าหมื่นบาทให้นายเสรี อิทธสมบัติ (โจทก์) เป็นค่าจ้างในการวางเพลิงครั้งนี้ แต่ข้าพเจ้าเองก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าจะเป็นความจริงเพียงใด" ดังนี้ จำเลยกล่าวแต่เพียงว่าเป็นข่าวเล่าลือ ไม่ใช่ผู้หนึ่งผู้ใดรู้เห็นมาบอกเล่าจำเลย ไม่ใช่คำบอกเล่าที่กล่าวให้ผู้ฟังเชื่อตามคำจำเลย จำเลยถูกสอบสวนเป็นพยานจึงให้การต่อเจ้าพนักงาน ไม่กระทำให้ผู้อื่นเกิดความเข้าใจหรือเชื่อว่าโจทก์ได้รับเงินค่าจ้างวางเพลิงเผาตลาดได้ เพราะเป็นแต่ข่าวเล่าลือ ยังถือไม่ได้ว่าเป็นการใส่ความโจทก์ต่อบุคคลที่สาม โดยประการที่น่าจะทำให้โจทก์เสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่นเกลียดชัง ตามมาตรา 326.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 140/2509

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การแจ้งความเท็จและหมิ่นประมาท: ศาลฎีกาตัดสินยืนตามศาลล่างว่าการให้การเป็นพยานโดยกล่าวถึงข่าวลือไม่ถือเป็นการแจ้งความเท็จหรือหมิ่นประมาท
ฎีกาโจทก์ที่ว่า โจทก์ได้นำสืบพยานหลักฐานให้เห็นว่าจำเลยได้แจ้งข้อความอันเป็นเท็จเกี่ยวกับความผิดอาญาต่อพนักงานสอบสวนจำเลยต้องมีความผิดตามมาตรา 172,174 นั้น เป็นฎีกาโต้เถียงข้อเท็จจริงเมื่อศาลล่างทั้ง 2 วินิจฉัยต้องกันว่า จำเลยมิได้กล่าวยืนยันข้อเท็จจริง ไม่เป็นการแจ้งความเท็จ พิพากษายกฟ้องฎีกาโจทก์จึงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 219
จำเลยถูกพนักงานสอบสวนสอบสวนเป็นพยานในคดีที่โจทก์กับพวกเป็นจำเลยต้องหากระทำผิดวางเพลิง จำเลยให้การว่า'ข้าพเจ้าเองเมื่อนางแอ๊ดเล่าให้ฟังเช่นนี้มีความรู้สึกสงสัยอยู่เพราะข้าพเจ้าเองก็เคยทราบจากชาวตลาดล่ำลือกันอยู่แล้วว่านายห้างศรีอัมฤทธิ์ผู้นี้ได้จ่ายเงินห้าหมื่นบาทให้นายเสรีอิทธสมบัติ (โจทก์) เป็นค่าจ้างในการวางเพลิงครั้งนี้แต่ข้าพเจ้าเองก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าจะเป็นความจริงเพียงใด' ดังนี้ จำเลยกล่าวแต่เพียงว่าเป็นข่าวเล่าลือไม่ใช่ผู้หนึ่งผู้ใดรู้เห็นมาบอกเล่าจำเลยไม่ใช่คำบอกเล่าที่กล่าวให้ผู้ฟังเชื่อตามคำจำเลย จำเลยถูกสอบสวนเป็นพยานจึงให้การต่อเจ้าพนักงาน ไม่กระทำให้ผู้อื่นเกิดความเข้าใจหรือเชื่อว่าโจทก์ได้รับเงินค่าจ้างวางเพลิงเผาตลาดได้ เพราะเป็นแต่ข่าวเล่าลือยังถือไม่ได้ว่าเป็นการใส่ความโจทก์ต่อบุคคลที่สามโดยประการที่น่าจะทำให้โจทก์เสียชื่อเสียงถูกดูหมิ่นเกลียดชัง ตามมาตรา 326

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 124/2509

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การถอนผู้จัดการมรดก: ศาลใช้ดุลพินิจเมื่อยังไม่มีเหตุเลินเล่อหรือทุจริต
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1731 ให้อำนาจศาลที่จะใช้ดุลพินิจพิจารณาว่ามีเหตุที่สมควรจะถอนผู้จัดการมรดกเพียงใดหรือไม่ ถ้าศาลเห็นว่ามีเหตุสมควรก็สั่งถอนได้ หรือถ้าศาลเห็นว่ายังไม่มีเหตุสมควรศาลจะยังไม่สั่งถอนก็ได้
พฤติการณ์เท่าที่ปรากฏยังไม่สมควรจะถอนผู้จัดการมรดก

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 124/2509 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจศาลในการถอนผู้จัดการมรดก: พิจารณาจากพฤติการณ์และความสามารถในการจัดการทรัพย์มรดก
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1731 ให้อำนาจศาลที่จะใช้ดุลพินิจพิจารณาว่ามีเหตุที่สมควรจะถอนผู้จัดการมรดกเพียงใดหรือไม่ ถ้าศาลเห็นว่ามีเหตุสมควรก็สั่งถอนได้ หรือถ้าศาลเห็นว่ายังไม่มีเหตุสมควรศาลจะยังไม่สั่งถอนก็ได้.
พฤติการณ์เท่าที่ปรากฏยังไม่สมควรจะถอนผู้จัดการมรดก.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 97/2509 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การกระทำผิดฐานฆ่าผู้อื่นจากการป้องกันตนเองและครอบครัว เมื่อถูกบุกรุกและข่มเหง
คืนเกิดเหตุ ม.พาผู้ตายมาบ้านจำเลยเพื่อเอาตัว ป.ภริยา ม. ซึ่งเป็นบุตรของจำเลยไป ได้พากันขึ้นไปบนเรือนจำเลยซึ่งจำเลยกับพวกนอนกันแล้ว ม.เรียก ป.ให้เปิดประตู ป.ไม่เปิด ม.ก็ดันประตูจะเข้าไป จำเลยลุกขึ้นขัดขวาง ม.และผู้ตายขัดขืนจะเข้าไปเอาตัว ป. ให้ได้ ดันประตูเรือนจนไม้กลอนขัดประตูหัก นับว่า ม. และผู้ตายกระทำการมิชอบ ด้วยความอุกอาจปราศจากความยำเกรงจำเลยซึ่งเป็นพ่อตาและเจ้าของบ้าน เป็นการข่มเหงจำเลยอย่างร้ายแรง ด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม จำเลยบันดาลโทสะขึ้นในขณะนั้น จึงยิงไปยัง ม.และผู้ตาย ผู้ตายถึงแก่ความตาย จำเลยย่อมมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288 ประกอบด้วยมาตรา 72.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 97/2509

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การป้องกันตนเองและทรัพย์สินในที่อยู่อาศัยเมื่อถูกบุกรุกจนเกิดเหตุทำร้ายถึงแก่ความตาย
คืนเกิดเหตุ ม. พาผู้ตายมาบ้านจำเลยเพื่อเอาตัว ป.ภริยา ม. ซึ่งเป็นบุตรของจำเลยไป ได้พากันขึ้นไปบนเรือนจำเลยซึ่งจำเลยกับพวกนอนกันแล้ว ม. เรียก ป. ให้เปิดประตูป. ไม่เปิด ม. ก็ดันประตูจะเข้าไปจำเลยลุกขึ้นขัดขวาง ม. และผู้ตายขัดขืนจะเข้าไปเอาตัว ป. ให้ได้ ดันประตูเรือนจนไม้กลอนขัดประตูหัก นับว่า ม. และผู้ตายกระทำการมิชอบ ด้วยความอุกอาจปราศจากความยำเกรงจำเลยซึ่งเป็นพ่อตาและเจ้าของบ้านเป็นการข่มเหงจำเลยอย่างร้ายแรง ด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรมจำเลยบันดาลโทสะขึ้นในขณะนั้นจึงยิงไปยัง ม. และผู้ตายผู้ตายถึงแก่ความตาย จำเลยย่อมมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ประกอบด้วยมาตรา 72
of 59