คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
วงษ์ วีระพงศ์

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 586 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 75/2509

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การร้องสอดคดีขับไล่: ผู้ให้เช่าไม่มีส่วนได้เสียในผลคดีระหว่างผู้เช่ากับเจ้าของที่
โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยให้ออกจากตึกพิพาทอ้างว่าอยู่โดยละเมิด จำเลยต่อสู้ว่าอยู่ในตึกพิพาท โดยเช่าจากผู้เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดิน ผู้ร้องได้ร้องขอเข้าเป็นคู่ความร่วมกับจำเลยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 57(2) อ้างว่าจำเลยได้ทำสัญญาเช่าตึกพิพาทกับผู้ร้องแล้ว ผู้ร้องจึงมีส่วนได้เสียตามกฎหมายในผลแห่งคดี ดังนี้การที่โจทก์จะมีสิทธิฟ้องขับไล่จำเลยเพียงใด เป็นเรื่องระหว่างโจทก์จำเลยแม้จำเลยจะไปทำสัญญาเช่าตึกพิพาทกับผู้ร้องในภายหลัง ผลแห่งคดีก็ไม่เกี่ยวข้องกับผู้ร้องอย่างใด จึงไม่ถือว่าผู้ร้องมีส่วนได้เสียตามกฎหมายในผลแห่งคดี และการที่บุคคลภายนอกจะเข้ามาเป็นคู่ความด้วยการร้องสอดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 57(2) นั้นก็อยู่ในอำนาจศาลที่จะพิจารณาว่าคดีมีเหตุผลสมควรที่จะอนุญาตหรือไม่ด้วย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 75/2509 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การร้องสอดคดีขับไล่: ผู้ร้องต้องมีส่วนได้เสียโดยตรงในผลแห่งคดีจึงจะได้รับการอนุญาต
โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยให้ออกจากตึกพิพาทอ้างว่าอยู่โดยละเมิด จำเลยต่อสู้ว่าอยู่ในตึกพิพาทโดยเช่าจากผู้เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดิน ผู้ร้องได้ร้องขอเข้าเป็นคู่ความร่วมกับจำเลยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 57(2) อ้างว่าจำเลยได้ทำสัญญาเช่าตึกพิพาทกับผู้ร้องแล้ว ผู้ร้องจึงมีส่วนได้เสียตามกฎหมายในผลแห่งคดี ดังนี้ การที่โจทก์จะมีสิทธิฟ้องขับไล่จำเลยเพียงใด เป็นเรื่องระหว่างโจทก์จำเลย แม้จำเลยจะไปทำสัญญาเช่าตึกพิพาทกับผู้ร้องในภายหลัง ผลแห่งคดีก็ไม่เกี่ยวข้องกับผู้ร้องอย่างใด จึงไม่ถือว่าผู้ร้องมีส่วนได้เสียตามกฎหมายในผลแห่งคดี และการที่บุคคลภายนอกจะเข้ามาเป็นคู่ความด้วยการร้องสอดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 57(2) นั้น ก็อยู่ในอำนาจศาลที่จะพิจารณาว่าคดีมีเหตุผลสมควรที่จะอนุญาตหรือไม่ด้วย.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1615/2508 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ พินัยกรรมกำหนดให้บริจาคเงินและทรัพย์สินเพื่อการกุศล มิใช่เงื่อนไขทำให้พินัยกรรมมีผล
ข้อความในพินัยกรรมที่สั่งให้ขายทรัพย์ ได้เงินเท่าใดให้มอบให้กรมการศาสนาจำนวนหนึ่งเพื่อตั้งเป็นมูลนิธิเอาเงินผลประโยชน์บำรุงการกุศล ส่วนเงินที่เหลือกับทรัพย์อื่นยกให้แก่บุคคลอีคนหนึ่งนั้น มิใช่เงื่อนไขซึ่งกำหนดให้พินัยกรรมมีผลใช้บังคับต่อเมื่อเงื่อนไขหรือข้อกำหนดตามพินัยกรรมได้ทำสำเร็จแล้ว ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1698(2)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1615/2508

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ผลบังคับใช้พินัยกรรม: การมอบเงินให้กรมการศาสนาเพื่อบำรุงกุศล ไม่เป็นเงื่อนไขทำให้พินัยกรรมมีผล
ข้อความในพินัยกรรมที่สั่งให้ขายทรัพย์ ได้เงินเท่าใดให้มอบให้กรมการศาสนาจำนวนหนึ่งเพื่อตั้งเป็นมูลนิธิเอาเงินผลประโยชน์บำรุงการกุศล ส่วนเงินที่เหลือกับทรัพย์อื่นยกให้แก่บุคคลอีกคนหนึ่งนั้นมิใช่เงื่อนไขซึ่งกำหนดให้พินัยกรรมมีผลใช้บังคับต่อเมื่อเงื่อนไข หรือ ข้อกำหนดตามพินัยกรรมได้ทำสำเร็จแล้ว ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1698(2)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1612-1613/2508

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจจับกุมผู้ใหญ่บ้านนอกเขตหมู่บ้าน: ต้องมีเหตุร้ายสำคัญตาม พ.ร.บ.ลักษณะปกครองท้องที่
ความผิดฐานลักทรัพย์ไม่เป็นเหตุร้ายสำคัญตามความหมายพระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องที่ พ.ศ.2457 มาตรา 27(7)
ผู้ใหญ่บ้านเป็นเจ้าพนักงานฝ่ายปกครอง มีอำนาจจับกุมผู้กระทำผิดอาญาในหมู่บ้านของตนได้ และมีอำนาจไปจับผู้ร้ายในหมู่บ้านใกล้เคียงได้ก็ต่อเมื่อมีเหตุร้ายสำคัญ เมื่อความผิดฐานลักทรัพย์ไม่ใช่เหตุร้ายสำคัญผู้ใหญ่บ้านจึงไม่มีอำนาจไปจับกุมผู้ร้ายนอกเขตหมู่บ้านของตน เมื่อผู้ใหญ่บ้านไปจับกุมคนร้ายนอกเขตหมู่บ้านของตนก็เป็นการกระทำนอกเหนือหน้าที่ จึงไม่อยู่ในฐานะเป็นเจ้าพนักงาน ไม่มีอำนาจจับกุมตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 78

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1612-1613/2508 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจจับกุมของผู้ใหญ่บ้านนอกเขตหมู่บ้าน: ลักทรัพย์ไม่ใช่เหตุร้ายสำคัญ
ความผิดฐานลักทรัพย์ไม่เป็นเหตุร้ายสำคัญตามความหมาย พระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องที่ พ.ศ.2457 มาตรา 27(7)
ผู้ใหญ่บ้านเป็นเจ้าพนักงานฝ่ายปกครอง มีอำนาจจับกุมผู้กระทำผิดอาญาในหมู่บ้านของตนได้และมีอำนาจไปจับผู้ร้ายในหมู่บ้านใกล้เคียงได้ก็ต่อเมื่อมีเหตุร้ายสำคัญ เมื่อความผิดฐานลักทรัพย์ไม่ใช่เหตุร้ายสำคัญ ผู้ใหญ่บ้านจึงไม่มีอำนาจไปจับกุมผู้ร้ายนอกเขตหมู่บ้านของตนก็เป็นการกระทำนอกเหนือหน้าที่ จึงไม่อยู่ในฐานะเป็นเจ้าพนักงาน ไม่มีอำนาจจับกุมตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 78

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1605/2508 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาระงับข้อพิพาทอาญา ความผิดต่อส่วนตัว ย่อมทำให้สิทธิฟ้องระงับได้
ผู้เสียหายเคยฝากข้าวเปลือกให้จำเลยสีเป็นข้าวสาร จำเลยก็สีให้ โดยผู้เสียหายให้ค่าตอบแทนต่อมาผู้เสียหายให้จำเลยสีข้าวเปลือกอีก จำเลยเอาไปเป็นประโยชน์ต่อส่วนตัวเสีย ผู้เสียหายจึงร้องทุกข์ให้ดำเนินคดี พนักงานสอบสวนไกล่เกลี่ยให้จำเลยคืนข้าวเปลือกแก่ผู้เสียหาย แต่ไม่ตกลงกัน ต่อมานายอำเภอได้ไกล่เกลี่ยอีก ผู้เสียหายและจำเลยได้ทำสัญญาเป็นหนังสือโดยจำเลยเอารถยนต์ 1 คันจำนอง ผู้เสียหายและจะนำข้าวสารไปไถ่ถอนการจำนองเป็นรายเดือนจนกว่าจะครบ ถ้าจำเลยไม่ปฏิบัติตามข้อตกลงจำเลยยอมโอนกรรมสิทธิ์รถยนต์ให้ผู้เสียหาย ถ้าจำเลยปฏิบัติตามข้อตกลงครบถ้วนแล้ว ผู้เสียหายจะคืนรถยนต์และใบทะเบียนให้ เมื่อพิเคราะห์ถึงความเกี่ยวพันระหว่างผู้เสียหายกับจำเลยที่มีต่อกันจนเกิดพิพาทและทำสัญญาต่อกันแล้ว จะเห็นได้ว่าผู้เสียหายและจำเลยทำสัญญาเพื่อระงับข้อพิพาททั้งในทางแพ่งและอาญา ถึงแม้ในสัญญาจะมิได้ระบุโดยชัดแจ้งว่ให้คดีอาญาระงับไปก็ตาม แต่ตามรูปคดีพอถือได้ว่าผู้เสียหายและจำเลยทำสัญญาโดยมุ่งประสงค์ให้ข้อหาทางอาญาระงับไป คดีนี้เป็นคดีความผิดต่อส่วนตัว จึงมีผลทำให้สิทธิที่จะนำคดีอาญามาฟ้องระงับไป

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1605/2508

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาไกล่เกลี่ยความผิดต่อส่วนตัว ย่อมระงับสิทธิฟ้องคดีอาญาได้
ผู้เสียหายเคยฝากข้าวเปลือกให้จำเลยสีเป็นข้าวสาร จำเลยก็สีให้ โดยผู้เสียหายให้ค่าตอบแทน ต่อมาผู้เสียหายให้จำเลยสีข้าวเปลือกอีก จำเลยเอาไปเป็นประโยชน์ต่อส่วนตัวเสีย ผู้เสียหายจึงร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีพนักงานสอบสวนไกล่เกลี่ยให้จำเลยคืนข้าวเปลือกแก่ผู้เสียหาย แต่ไม่ตกลงกัน ต่อมานายอำเภอได้ไกล่เกลี่ยอีกผู้เสียหายและจำเลยได้ทำสัญญาเป็นหนังสือโดยจำเลยเอารถยนต์ 1 คันจำนองผู้เสียหายและจะนำข้าวสารไปไถ่ถอนการจำนองเป็นรายเดือนจนกว่าจะครบ ถ้าจำเลยไม่ปฏิบัติตามข้อตกลง จำเลยยอมโอนกรรมสิทธิ์รถยนต์ให้ผู้เสียหาย ถ้าจำเลยปฏิบัติตามข้อตกลงครบถ้วนแล้ว ผู้เสียหายจะคืนรถยนต์และใบทะเบียนให้ เมื่อพิเคราะห์ถึงความเกี่ยวพันระหว่างผู้เสียหายกับจำเลยที่มีต่อกันจนเกิดพิพาทและทำสัญญาต่อกันแล้วจะเห็นได้ว่าผู้เสียหายและจำเลยทำสัญญาเพื่อระงับข้อพิพาททั้งในทางแพ่งและอาญา ถึงแม้ในสัญญาจะมิได้ระบุโดยชัดแจ้งว่าให้คดีอาญาระงับไปก็ตาม แต่ตามรูปคดีพอถือได้ว่าผู้เสียหายและจำเลยทำสัญญาโดยมุ่งประสงค์ให้ข้อหาทางอาญาระงับไป คดีนี้เป็นคดีความผิดต่อส่วนตัว จึงมีผลทำให้สิทธิที่จะนำคดีอาญามาฟ้องระงับไป

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1533/2508 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัตยาบันสัญญาโดยบริษัท แม้ไม่มีตราบริษัท หากบริษัทได้รับประโยชน์และถือเอาสัญญาไปใช้
ประธานกรรมการบริษัทจำกัด ไปทำสัญญาแทนบริษัทโดยมิได้ประทับตราตามข้อบังคับ ถ้าบริษัทได้นำเอาสัญญานั้นมาใช้เป็นประโยชน์ในการดำเนินกิจการของตน ย่อมถือว่าบริษัทได้ให้สัตยาบันและมีผลผูกพันบริษัทแล้ว บริษัทจะปฏิเสธไม่รับผิดและขอให้เพิกถอนสัญญาดังกล่าวไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1533/2508

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัตยาบันสัญญาโดยบริษัท แม้ไม่มีตราบริษัท สัญญาผูกพันเมื่อบริษัทได้รับประโยชน์และใช้สัญญานั้น
ประธานกรรมการบริษัทจำกัด ไปทำสัญญาแทนบริษัทโดยมิได้ประทับตราตามข้อบังคับ ถ้าบริษัทได้นำเอาสัญญานั้นมาใช้เป็นประโยชน์ในการดำเนินกิจการของตน ย่อมถือว่าบริษัทได้ให้สัตยาบันและมีผลผูกพันบริษัทแล้ว บริษัทจะปฏิเสธไม่รับผิด และขอให้เพิกถอนสัญญาดังกล่าวไม่ได้
of 59