พบผลลัพธ์ทั้งหมด 205 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1187/2509
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำสั่งแต่งตั้ง/ถอดถอนผู้แทนเฉพาะคดีผู้เยาว์เป็นดุลพินิจศาล เป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา ห้ามอุทธรณ์
คำสั่งแต่งตั้งหรือถอดถอนผู้แทนเฉพาะคดีของผู้เยาว์เป็นดุลพินิจของศาล และเป็นปัญหาข้อเท็จจริง ไม่ใช่การวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นในปัญหาข้อกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 24 และไม่ใช่คำสั่งตามมาตรา 227 หรือ 228 แต่เป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา จึงต้องห้ามอุทธรณ์ตามมาตรา 226
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1187/2509 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำสั่งแต่งตั้ง/ถอดถอนผู้แทนเฉพาะคดีผู้เยาว์เป็นดุลพินิจของศาล เป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา ห้ามอุทธรณ์
คำสั่งแต่งตั้งหรือถอดถอนผู้แทนเฉพาะคดีของผู้เยาว์เป็นดุลพินิจของศาล และเป็นปัญหาข้อเท็จจริง ไม่ใช่การวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นในปัญหาข้อกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 24 และไม่ใช่คำสั่งตามมาตรา 227 หรือ 228 แต่เป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา จึงต้องห้ามอุทธรณ์ตามมาตรา 226
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1176/2509 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความเสียหายจากการปล่อยปละละเลยฟ้องคดีเอง ไม่ถือเป็นการละเมิดของเจ้าพนักงานสอบสวน
พนักงานสอบสวนรับแจ้งความคดียักยอกทรัพย์ของโจทก์ไว้แล้วปล่อยปละละเลยมิได้ดำเนินการสอบสวนให้เสร็จจนคดีขาดอายุความฟ้องร้อง แต่โจทก์ซึ่งมีสิทธิตามกฎหมายที่จะฟ้องร้องผู้ยักยอกได้เองทั้งทางอาญาและทางแพ่งก็ มิได้ฟ้องร้องผู้ยักยอกจนคดีขาดอายุความ ดังนี้ หากโจทก์ใช้สิทธิฟ้องคดีไว้แล้ว ความเสียหายย่อมไม่เกิดขึ้น ความเสียหายของโจทก์จึงเกิดจากการกระทำของโจทก์เอง ไม่ใช่ผลโดยตรงจากการกระทำของจำเลย กรณีของจำเลยไม่เป็นการละเมิด ไม่ต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้โจทก์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1176/2509
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความเสียหายจากอายุความคดีอาญา: โจทก์มีสิทธิฟ้องเองแต่ละเลยไม่ฟ้อง ทำให้จำเลยไม่ต้องรับผิด
พนักงานสอบสวนรับแจ้งความคดียักยอกทรัพย์ของโจทก์ไว้แล้วปล่อยปละละเลยมิได้ดำเนินการสอบสวนให้เสร็จจนคดีขาดอายุความฟ้องร้อง แต่โจทก์ซึ่งมีสิทธิตามกฎหมายที่จะฟ้องร้องผู้ยักยอกได้เองทั้งทางอาญาและทางแพ่งก็มิได้ฟ้องร้องผู้ยักยอกจนคดีขาดอายุความ ดังนี้ หากโจทก์ใช้สิทธิฟ้องคดีไว้แล้ว ความเสียหายย่อมไม่เกิดขึ้น ความเสียหายของโจทก์จึงเกิดจากการกระทำของโจทก์เอง ไม่ใช่ผลโดยตรงจากการกระทำของจำเลย กรณีของจำเลยไม่เป็นการละเมิด ไม่ต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้โจทก์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1171/2509 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาเช่าหมดอายุ ผู้เช่าไม่ยอมออก ไม่ถือเป็นการต่อสัญญาใหม่
เมื่อสัญญาเช่าครบอายุแล้ว ผู้ให้เช่าได้เตือนให้ผู้เช่าออกจากที่ดินที่ให้เช่าหลายครั้ง ผู้เช่าไม่ยอมปฏิบัติตาม ถือไม่ได้ว่าได้มีการทำสัญญาใหม่ต่อไปโดยไม่มีกำหนดเวลา
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1166-1168/2509 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
กรรมสิทธิ์ในสิ่งปลูกสร้างบนที่ดินราชพัศดุ: สิทธิของโจทก์สิ้นสุดเมื่อสัญญาเช่าที่ดินสิ้นสุด
ในฟ้องโจทก์ระบุไว้ชัดว่า ห้องพิพาทเป็นของโจทก์ ไม่ได้กล่าวอ้างถึงสิทธิอื่น เป็นการยืนยันว่ามีอำนาจให้เช่าเพราะโจทก์เป็นเจ้าของแต่อย่างเดียวจำเลย จึงชอบที่จะยกข้อที่ว่าห้องพิพาทตกเป็นของราชพัศดุแล้ว ไม่ใช่ของโจทก์ โจทก์ไม่มีอำนาจให้เช่าขึ้นเป็นข้อต่อสู้ได้
ว.เช่าที่ดินราชพัศดุมาเพื่อปลูกสร้างอาคารให้เช่า โดยมีข้อตกลงในสัญญาว่า เมื่อสัญญาสิ้นกำหนดแล้ว บรรดาสิ่งปลูกสร้างตกเป็นของรัฐบาลทั้งสิ้น โจทก์เช่าช่วงที่ดินที่ ว.เช่ามาจากทางราชการนั้นอีกต่อหนึ่งแล้วปลูกสร้างห้องพิพาทขึ้นให้จำเลยเช่า สัญญาเช่าที่ดินราชพัศดุระหว่าง ว.กับทางราชการสิ้นกำหนดในวันที่ 31 ธันวาคม 2506 โจทก์ทราบถึงข้อตกลงสัญญาระหว่าง ว.กับทางราชการดี และรู้ล่วงหน้าตามข้อสัญญาแล้วว่าโจทก์จะมีอำนาจให้เช่าได้ภายในกำหนดเวลาเพียงเท่าที่ ว.จะพึงมีตามสัญญาเช่าจากทางราชการ และอาคารที่ ว.ปลูกสร้างลงในที่พิพาทจะตกเป็นของราชพัศดุเมื่อสิ้นกำหนดสัญญาเช่าด้วย ดังนี้ แม้โจทก์จะเป็นผู้ปลูกสร้างห้องพิพาทก็ตาม ก็ปลูกโดยสวมสิทธิ ว. ต้องอยู่ในบังคับแห่งสัญญาระหว่าง ว. กับทางราชการด้วย เมื่อสัญญาเช่าที่ดินระหว่าง ว. กับทางราชการสิ้นกำหนด และทางราชการได้บอกเลิกสัญญาเช่าแล้ว กรรมสิทธิ์ในห้องพิพาทก็ตกเป็นของราชพัศดุตามสัญญาตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2507 ว. หมดสิทธิในที่พิพาท กรรมสิทธิ์ในห้องพิพาทและอำนาจการให้เช่าของโจทก์ก็สิ้นสุดลงด้วย
โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลย
(ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 20-23/2509)
ว.เช่าที่ดินราชพัศดุมาเพื่อปลูกสร้างอาคารให้เช่า โดยมีข้อตกลงในสัญญาว่า เมื่อสัญญาสิ้นกำหนดแล้ว บรรดาสิ่งปลูกสร้างตกเป็นของรัฐบาลทั้งสิ้น โจทก์เช่าช่วงที่ดินที่ ว.เช่ามาจากทางราชการนั้นอีกต่อหนึ่งแล้วปลูกสร้างห้องพิพาทขึ้นให้จำเลยเช่า สัญญาเช่าที่ดินราชพัศดุระหว่าง ว.กับทางราชการสิ้นกำหนดในวันที่ 31 ธันวาคม 2506 โจทก์ทราบถึงข้อตกลงสัญญาระหว่าง ว.กับทางราชการดี และรู้ล่วงหน้าตามข้อสัญญาแล้วว่าโจทก์จะมีอำนาจให้เช่าได้ภายในกำหนดเวลาเพียงเท่าที่ ว.จะพึงมีตามสัญญาเช่าจากทางราชการ และอาคารที่ ว.ปลูกสร้างลงในที่พิพาทจะตกเป็นของราชพัศดุเมื่อสิ้นกำหนดสัญญาเช่าด้วย ดังนี้ แม้โจทก์จะเป็นผู้ปลูกสร้างห้องพิพาทก็ตาม ก็ปลูกโดยสวมสิทธิ ว. ต้องอยู่ในบังคับแห่งสัญญาระหว่าง ว. กับทางราชการด้วย เมื่อสัญญาเช่าที่ดินระหว่าง ว. กับทางราชการสิ้นกำหนด และทางราชการได้บอกเลิกสัญญาเช่าแล้ว กรรมสิทธิ์ในห้องพิพาทก็ตกเป็นของราชพัศดุตามสัญญาตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2507 ว. หมดสิทธิในที่พิพาท กรรมสิทธิ์ในห้องพิพาทและอำนาจการให้เช่าของโจทก์ก็สิ้นสุดลงด้วย
โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลย
(ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 20-23/2509)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1141-1157/2509 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาเช่าไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือ สิทธิผู้เช่าเมื่อถูกบอกเลิกสัญญา และขอบเขตการฟ้องขับไล่
ฟ้องแย้งต้องเกี่ยวกับฟ้องเดิม หากไม่เกี่ยวต้องไปฟ้องเป็นคดีต่างหาก
การเช่าอสังหาริมทรัพย์ที่มิได้มีหลักฐานเป็นหนังสือ เมื่อผู้ให้เช่าบอกกล่าวให้ผู้เช่าออกไปจากที่เช่าแล้ว ผู้เช่าย่อมไม่มีสิทธิที่จะอยู่ต่อไปโดยชอบด้วยกฎหมาย หากยังคงอยู่ต่อไปก็เป็นการละเมิดต่อผู้ให้เช่า และจำต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อการนั้น
คำให้การจำเลยมีว่า นอกจากจำเลยให้การรับโดยชัดแจ้งแล้ว จำเลยขอปฏิเสธฟ้องโจทก์ทั้งสิ้นเป็นคำปฏิเสธไม่ชัดแจ้งว่าปฏิเสธในเรื่องใด อย่างใด จึงไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 วรรค 2
เมื่อการเช่าไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือ จำเลยจะอ้างอิงสิทธิตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 566 ให้ผู้ให้เช่าบอกกล่าวก่อนไม่ได้
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยเช่าแผงและที่ดินขอให้ขับไล่จำเลยออกไปจากแผงพิพาท ย่อมหมายถึง ให้ขับไล่จำเลยออกไปจากที่ดินที่ตั้งแผงนั้นด้วย การที่ศาลพิพากษาขับไล่จำเลยออกไปจากที่ดินที่ตั้งแผงจึงไม่เกินคำขอ หรือนอกฟ้องนอกประเด็น
เมื่อการเช่าที่ดินไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือ โจทก์ย่อมฟ้องขับไล่ได้ จะอ้างว่าโจทก์ใช้สิทธิโดยไม่สุจริตไม่ได้
การงดสืบพยานนั้น เป็นอำนาจของศาลที่จะใช้ดุลพินิจพิจารณาสั่งได้ตามควรแก่กรณีแห่งเรื่อง เพื่อให้คดีได้ดำเนินไปโดยรวดเร็วและยุติธรรม
การเช่าอสังหาริมทรัพย์ที่มิได้มีหลักฐานเป็นหนังสือ เมื่อผู้ให้เช่าบอกกล่าวให้ผู้เช่าออกไปจากที่เช่าแล้ว ผู้เช่าย่อมไม่มีสิทธิที่จะอยู่ต่อไปโดยชอบด้วยกฎหมาย หากยังคงอยู่ต่อไปก็เป็นการละเมิดต่อผู้ให้เช่า และจำต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อการนั้น
คำให้การจำเลยมีว่า นอกจากจำเลยให้การรับโดยชัดแจ้งแล้ว จำเลยขอปฏิเสธฟ้องโจทก์ทั้งสิ้นเป็นคำปฏิเสธไม่ชัดแจ้งว่าปฏิเสธในเรื่องใด อย่างใด จึงไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 วรรค 2
เมื่อการเช่าไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือ จำเลยจะอ้างอิงสิทธิตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 566 ให้ผู้ให้เช่าบอกกล่าวก่อนไม่ได้
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยเช่าแผงและที่ดินขอให้ขับไล่จำเลยออกไปจากแผงพิพาท ย่อมหมายถึง ให้ขับไล่จำเลยออกไปจากที่ดินที่ตั้งแผงนั้นด้วย การที่ศาลพิพากษาขับไล่จำเลยออกไปจากที่ดินที่ตั้งแผงจึงไม่เกินคำขอ หรือนอกฟ้องนอกประเด็น
เมื่อการเช่าที่ดินไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือ โจทก์ย่อมฟ้องขับไล่ได้ จะอ้างว่าโจทก์ใช้สิทธิโดยไม่สุจริตไม่ได้
การงดสืบพยานนั้น เป็นอำนาจของศาลที่จะใช้ดุลพินิจพิจารณาสั่งได้ตามควรแก่กรณีแห่งเรื่อง เพื่อให้คดีได้ดำเนินไปโดยรวดเร็วและยุติธรรม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1141-1157/2509
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาเช่าไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือ การบอกเลิกสัญญา และสิทธิการฟ้องขับไล่
ฟ้องแย้งต้องเกี่ยวกับฟ้องเดิม หากไม่เกี่ยวต้องไปฟ้องเป็นคดีต่างหาก
การเช่าอสังหาริมทรัพย์ที่มิได้มีหลักฐานเป็นหนังสือ เมื่อผู้ให้เช่าบอกกล่าวให้ผู้เช่าออกไปจากที่เช่าแล้ว ผู้เช่าย่อมไม่มีสิทธิที่จะอยู่ต่อไปโดยชอบด้วยกฎหมาย หากยังคงอยู่ต่อไปก็เป็นการละเมิดต่อผู้ให้เช่า และจำต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อการนั้น
คำให้การจำเลยมีว่า นอกจากจำเลยให้การรับโดยชัดแจ้งแล้วจำเลยขอปฏิเสธฟ้องโจทก์ทั้งสิ้นเป็นคำปฎิเสธไม่ชัดแจ้งว่าปฏิเสธในเรื่องใด อย่างใด จึงไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 วรรค 2
เมื่อการเช่าไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือ จำเลยจะอ้างอิงสิทธิตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 566 ให้ผู้ให้เช่าบอกกล่าวก่อนไม่ได้
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยเช่าแผงและที่ดินขอให้ขับไล่จำเลยออกไปจากแผงพิพาท ย่อมหมายถึงให้ขับไล่จำเลยออกไปจากที่ดินที่ตั้งแผงนั้นด้วย การที่ศาลพิพากษาขับไล่จำเลยออกไปจากที่ดินที่ตั้งแผงจึงไม่เกินคำขอ หรือนอกฟ้องนอกประเด็น
เมื่อการเช่าที่ดินไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือโจทก์ย่อมฟ้องขับไล่ได้ จะอ้างว่าโจทก์ใช้สิทธิโดยไม่สุจริตไม่ได้
การงดสืบพยานนั้น เป็นอำนาจของศาลที่จะใช้ดุลพินิจพิจารณาสั่งได้ตามควรแก่กรณีแห่งเรื่อง เพื่อให้คดีได้ดำเนินไปโดยรวดเร็วและยุติธรรม
การเช่าอสังหาริมทรัพย์ที่มิได้มีหลักฐานเป็นหนังสือ เมื่อผู้ให้เช่าบอกกล่าวให้ผู้เช่าออกไปจากที่เช่าแล้ว ผู้เช่าย่อมไม่มีสิทธิที่จะอยู่ต่อไปโดยชอบด้วยกฎหมาย หากยังคงอยู่ต่อไปก็เป็นการละเมิดต่อผู้ให้เช่า และจำต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อการนั้น
คำให้การจำเลยมีว่า นอกจากจำเลยให้การรับโดยชัดแจ้งแล้วจำเลยขอปฏิเสธฟ้องโจทก์ทั้งสิ้นเป็นคำปฎิเสธไม่ชัดแจ้งว่าปฏิเสธในเรื่องใด อย่างใด จึงไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 วรรค 2
เมื่อการเช่าไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือ จำเลยจะอ้างอิงสิทธิตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 566 ให้ผู้ให้เช่าบอกกล่าวก่อนไม่ได้
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยเช่าแผงและที่ดินขอให้ขับไล่จำเลยออกไปจากแผงพิพาท ย่อมหมายถึงให้ขับไล่จำเลยออกไปจากที่ดินที่ตั้งแผงนั้นด้วย การที่ศาลพิพากษาขับไล่จำเลยออกไปจากที่ดินที่ตั้งแผงจึงไม่เกินคำขอ หรือนอกฟ้องนอกประเด็น
เมื่อการเช่าที่ดินไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือโจทก์ย่อมฟ้องขับไล่ได้ จะอ้างว่าโจทก์ใช้สิทธิโดยไม่สุจริตไม่ได้
การงดสืบพยานนั้น เป็นอำนาจของศาลที่จะใช้ดุลพินิจพิจารณาสั่งได้ตามควรแก่กรณีแห่งเรื่อง เพื่อให้คดีได้ดำเนินไปโดยรวดเร็วและยุติธรรม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1136/2509
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความเคลือบคลุมของฟ้องคดีแพ่งเกี่ยวกับพินัยกรรม: รายละเอียดวันเดือนปีไม่จำเป็นในคำฟ้อง
คำบรรยายฟ้องที่ว่า ผู้ตายได้ทำพินัยกรรมยกทรัพย์พิพาทให้โจทก์ จำเลยบุกรุกเพื่อจะเอาทรัพย์พิพาทเป็นของตน แม้จะมิได้บรรยายว่าพินัยกรรมทำวันเดือนปีใด และแม้จะมิได้แนบสำเนาพินัยกรรมมากับฟ้องด้วย ก็เป็นคำฟ้องที่เคลือบคลุม เพราะรายละเอียดเกี่ยวกับเวลาและสถานที่ซึ่งต้องกล่าวในคำฟ้องคดีอาญา ไม่ใช่ข้อสารสำคัญที่จะต้องกล่าวในคำฟ้องคดีแพ่ง คำบรรยายฟ้องของโจทก์เพียงพอที่จำเลยจะเข้าใจข้อหาต่อสู้คดีได้พอสมควรแล้ว พินัยกรรมทำวันเดือนปีใด เป็นรายละเอียดที่อาจนำสืบได้ในชั้นพิจารณา
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1136/2509 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำฟ้องแพ่งเกี่ยวกับพินัยกรรมไม่เคลือบคลุม แม้ไม่ได้ระบุวันเดือนปีทำพินัยกรรม
คำบรรยายฟ้องที่ว่า ผู้ตายได้ทำพินัยกรรมยกทรัพย์พิพาทให้โจทก์ จำเลยบุกรุกเพื่อจะเอาทรัพย์พิพาทเป็นของตน แม้จะมิได้บรรยายว่าพินัยกรรมทำวันเดือนปีใด และแม้จะมิได้แนบสำเนาพินัยกรรมมากับฟ้องด้วย ก็ไม่เป็นคำฟ้องที่เคลือบคลุม เพราะรายละเอียดเกี่ยวกับเวลาและสถานที่ซึ่งต้องกล่าวในคำฟ้องคดีอาญา ไม่ใช่ข้อสารสำคัญที่จะต้องกล่าวในคำฟ้องคดีแพ่ง คำบรรยายฟ้องของโจทก์เพียงพอที่จำเลยจะเข้าใจข้อหาต่อสู้คดีได้พอสมควรแล้ว พินัยกรรมทำวันเดือนปีใด เป็นรายละเอียดที่อาจนำสืบได้ในชั้นพิจารณา.