พบผลลัพธ์ทั้งหมด 224 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1031/2509 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิไถ่ทรัพย์ขายฝากก่อนกำหนด: การตีความข้อห้ามตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 494, 492 บัญญัติเป็นใจความว่า ท่านห้ามไม่ให้ใช้สิทธิไถ่ทรัพย์ที่ขายฝาก ถ้าเป็นอสังหาริมทรัพย์ เมื่อพ้นกำหนด 10 ปี หรือเมื่อพ้นกำหนดที่กำหนดไว้ในสัญญา ฉะนั้น เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าโจทก์ทำสัญญาขายฝากที่ดินพร้อมด้วยสิ่งปลูกสร้างไว้กับจำเลยมีกำหนด 2 ปี ตามนัยของกฎหมายดังกล่าว เป็นที่เห็นได้ว่ากฎหมายไม่ได้ห้ามโจทก์ใช้สิทธิไถ่ก่อน 2 ปี ดังนี้ ภายในกำหนด 2 ปี โจทก์จะใช้สิทธิไถ่เมื่อใดก็ได้ เมื่อจำเลยไม่ยอมให้ไถ่ก็ต้องถือว่าเป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลย ขอไถ่ที่ดินคืนได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1031/2509
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิไถ่ทรัพย์ขายฝากก่อนกำหนด: การตีความมาตรา 494 และ 492 ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 494,492 บัญญัติเป็นใจความว่า ท่านห้ามไม่ให้ใช้สิทธิไถ่ทรัพย์ที่ขายฝาก ถ้าเป็นอสังหาริมทรัพย์ เมื่อพ้นกำหนด 10 ปี หรือเมื่อพ้นกำหนดที่กำหนดไว้ในสัญญา ฉะนั้น เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าโจทก์ทำสัญญาขายฝากที่ดินพร้อมด้วยสิ่งปลูกสร้างไว้กับจำเลยมีกำหนด 2 ปี ตามนัยของกฎหมายดังกล่าวเป็นที่เห็นได้ว่ากฎหมายไม่ได้ห้ามโจทก์ใช้สิทธิไถ่ก่อน 2 ปี ดังนี้ ภายในกำหนด 2 ปี โจทก์จะใช้สิทธิไถ่เมื่อใดก็ได้ เมื่อจำเลยไม่ยอมให้ไถ่ก็ต้องถือว่าเป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลย ขอไถ่ที่ดินคืนได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1025/2509 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การหักเงินค่าสินค้าซ้ำซ้อนและการแก้ไขคำพิพากษาผิดพลาด
โจทก์ฎีกาว่า ที่ศาลอุทธรณ์หักเงินจากที่ศาลชั้นต้นบังคับให้จำเลยชำระให้โจทก์ เป็นการหักซ้ำ เพราะศาลชั้นต้นได้เคยหักเงินจำนวนนี้ไว้แล้ว ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า เงินที่ศาลชั้นต้นหักเป็นคนละจำนวนกับที่ศาลอุทธรณ์หัก จึงไม่เป็นการหักซ้ำ แต่ศาลฎีกายังมีอำนาจวินิจฉัยต่อไปได้ว่า ศาลอุทธรณ์ไม่ควรหักเงินจำนวนนั้นเพราะพยานโจทก์มีน้ำหนักฟังได้ว่าจำเลยติดหนี้เงินจำนวนนั้น
คำพิพากษาของศาลชั้นต้นพิมพ์จำนวนเงิน 5,312 บาทผิดเป็น 5,213 บาท ศาลฎีกาแก้ให้ถูกต้องได้เองโดยอาศัยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 143
คำพิพากษาของศาลชั้นต้นพิมพ์จำนวนเงิน 5,312 บาทผิดเป็น 5,213 บาท ศาลฎีกาแก้ให้ถูกต้องได้เองโดยอาศัยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 143
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1025/2509
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การหักเงินค่าปลาซ้ำซ้อนและการแก้ไขคำพิพากษาผิดพลาด
โจทก์ฎีกาว่า ที่ศาลอุทธรณ์หักเงินจากที่ศาลชั้นต้นบังคับให้จำเลยชำระให้โจทก์ เป็นการหักซ้ำ เพราะศาลชั้นต้นได้เคยหักเงินจำนวนนี้ไว้แล้ว ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า เงินที่ศาลชั้นต้นหักเป็นคนละจำนวนกับที่ศาลอุทธรณ์หัก จึงไม่เป็นการหักซ้ำ แต่ศาลฎีกายังมีอำนาจวินิจฉัยต่อไปได้ว่า ศาลอุทธรณ์ไม่ควรหักเงินจำนวนนั้น เพราะพยานโจทก์มีน้ำหนักฟังได้ว่าจำเลยติดหนี้เงินจำนวนนั้น
คำพิพากษาของศาลชั้นต้นพิมพ์จำนวนเงิน 5,312 บาทผิดเป็น 5,213 บาท ศาลฎีกาแก้ให้ถูกต้องได้เองโดยอาศัยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 143
คำพิพากษาของศาลชั้นต้นพิมพ์จำนวนเงิน 5,312 บาทผิดเป็น 5,213 บาท ศาลฎีกาแก้ให้ถูกต้องได้เองโดยอาศัยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 143
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1013/2509 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างบนที่ดินเช่า: ต้องมีการส่งมอบและครอบครองที่ดินก่อนจึงจะมีอำนาจฟ้อง
โจทก์ทำสัญญาเช่าที่ดินกับสำนักงานทรัพย์สินฯ 1 แปลง เป็นที่ดินซึ่งมีบ้านเรือนปลูกอยู่แล้ว นับตั้งแต่โจทก์ทำสัญญาเช่า ไม่ปรากฏว่าสำนักงานทรัพย์สิน ฯ ได้ส่งมอบที่ดินให้โจทก์ และโจทก์ยังไม่ได้ใช้หรือได้รับประโยชน์หรือได้ครอบครองที่เช่านั้นในฐานะเป็นผู้เช่าแต่อย่างใด ดังนี้ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องให้เจ้าของบ้านนั้นรื้อถอนบ้านเรือนออกไปจากที่เช่าได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1013/2509
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องรื้อถอนต้องมีสิทธิครอบครอง: ผู้เช่าที่ยังไม่ได้รับมอบที่ดิน ไม่มีอำนาจฟ้องให้รื้อถอนสิ่งปลูกสร้าง
โจทก์ทำสัญญาเช่าที่ดินกับสำนักงานทรัพย์สินฯ 1 แปลงเป็นที่ดินซึ่งมีบ้านเรือนปลูกอยู่แล้ว นับตั้งแต่โจทก์ทำสัญญาเช่า ไม่ปรากฏว่าสำนักงานทรัพย์สินฯ ได้ส่งมอบที่ดินให้โจทก์ และโจทก์ยังไม่ได้ใช้หรือได้รับประโยชน์หรือได้ครอบครองที่เช่านั้นในฐานะเป็นผู้เช่าแต่อย่างใด ดังนี้ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องให้เจ้าของบ้านนั้นรื้อถอนบ้านเรือนออกไปจากที่เช่าได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 914-915/2509 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแสดงเจตนาเป็นเจ้าของร่วมในทรัพย์สินหลังหย่า และสิทธิในการยึดทรัพย์ของเจ้าหนี้
โจทก์จำเลยหย่าขาดจากสามีภริยากัน แต่มิได้แบ่งทรัพย์สินกัน เมื่อหย่ากันแล้วโจทก์กับสามียังคงอยู่ด้วยกันและมีบุตรอีก 2 คน โจกท์ได้เอาเงินที่มิได้แบ่งเมื่อตอนหย่าและเป็นเงินที่โจทก์กับสามีทำมาหาได้ด้วยกันมาซื้อที่ดินและปลูกเรือนพิพาทอยู่ด้วยกันกับสามี เป็นการแสดงว่าโจทก์กับสามีแสดงเจตนาเป็นเจ้าของร่วมกันในที่ดินและเรือนพิพาท เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาของสามีมีสิทธินำเจ้าพนักงานยึดทรัพย์พิพาทส่วนของสามีได้ โจทก์มีสิทธิเพียงแต่ร้องขอกันส่วนของโจทก์เท่านั้น ไม่มีสิทธิขอให้ปล่อยทรัพย์พิพาท
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 907/2509
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องอาญา: ผู้เสียหายต้องเสียหายโดยตรงจากการกระทำผิด และไม่ใช่ความเสียหายทางอ้อมที่สามารถแก้ไขได้ในทางแพ่ง
โจทก์กับนางหน่วงผู้ตายมิได้เป็นสามีภริยากันโดยชอบด้วยกฎหมาย โจทก์ฟ้องว่าจำเลยสมคบกันปลอมลายพิมพ์นิ้วมือนางหน่วงลงในสัญญากู้ แล้วนำสัญญากู้เอกสารสิทธิปลอมไปยื่นฟ้องต่อศาล ไม่ใช่จำเลยสมคบกันปลอมลายพิมพ์นิ้วมือของโจทก์ในสัญญากู้นั้น โจทก์จึงไม่เป็นบุคคลได้รับความเสียหายเนื่องจากการกระทำผิดของจำเลยตามที่โจทก์ฟ้อง การที่โจทก์ถูกยึดทรัพย์เพราะการกระทำของจำเลย โจทก์ก็ชอบที่จะไปดำเนินคดีในทางแพ่งได้ โจทก์จึงไม่ใช่ผู้เสียหายตามความหมายของประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 2(4) จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 907/2509 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องในคดีอาญา: ผู้เสียหายต้องเสียหายโดยตรงจากการกระทำผิด
โจทก์กับนางหน่วงผู้ตายมิได้เป็นสามีภริยากันโดยชอบด้วยกฎหมาย โจทก์ฟ้องว่าจำเลยสมคบกันปลอมลายพิมพ์นิ้วมือนางหน่วงลงในสัญญากู้ แล้วนำสัญญากู้เอกสารสิทธิปลอมไปยื่นฟ้องต่อศาล ไม่ใช่จำเลยสมคบกันปลอมลายพิมพ์นิ้วมือของโจทก์ในสัญญากู้นั้น โจทก์จึงไม่เป็นบุคคลได้รับความเสียหายเนื่องจากการกระทำผิดของจำเลยตามที่โจทก์ฟ้อง การที่โจทก์ถูกยึดทรัพย์เพราะการกระทำของจำเลย โจทก์ก็ชอบที่จะไปดำเนินคดีในทางแพ่งได้ โจทก์จึงไม่ใช่ผู้เสียหายตามความหมายของประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 2 (4) จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 891/2509 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องซ้ำและการแบ่งทรัพย์สินร่วมกัน ศาลสั่งแบ่งทรัพย์สินตามสัดส่วนการครอบครอง
เดิมโจทก์ฟ้องขอให้ขับไล่จำเลยและบริวารออกไปจากที่พิพาท ศาลพิพากษาว่าโจทก์จำเลยและสามีได้ครอบครองที่พิพาทร่วมกันมา จึงไม่อาจพิพากษาขับไล่ได้ ให้ยกฟ้องโจทก์ แต่ไม่ตัดสิทธิที่จะฟ้องคดีใหม่เรียกทรัพย์ส่วนแบ่งของตนตามส่วนที่จะพึงได้ คดีนั้นถึงที่สุดแล้ว โจทก์จึงมาฟ้องจำเลยขอให้แสดงกรรมสิทธิ์ในนาพิพาทว่าเป็นของโจทก์ทั้งหมด และขอให้ขับไล่จำเลยกับบริวารอีก ดังนี้ ฟ้องของโจทก์เป็นฟ้องซ้ำ แต่เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าโจทก์มีส่วนได้ในที่พิพาทบางส่วน ก็ควรพิพากษาแบ่งส่วนให้โจทก์จำเลยไปเสียทีเดียวตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142(2) โดยไม่จำต้องให้ไปฟ้องใหม่กันอีก.