พบผลลัพธ์ทั้งหมด 974 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 435/2510 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การสืบพยานนอกประเด็นฟ้อง: ที่งอกริมตลิ่งเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินเดิม
โจทก์กล่าวในฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินโฉนดที่ 5143 จำเลยบุกรุกเข้าไปปลูกอ้อย ฯลฯ ในที่งอกหน้าที่ดินของโจทก์ โจทก์ห้ามปราม จำเลยกลับอ้างว่าที่พิพาทไม่ใช่ของโจทก์ ดังนี้ เห็นได้ว่าโจทก์ตั้งประเด็นมาในคำฟ้องแล้วว่า ที่พิพาทเป็นที่งอกริมตลิ่งเป็นทรัพย์สินของโจทก์ผู้เป็นเจ้าของที่ดินโฉนดที่ 5143 ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1308 เมื่อจำเลยให้การต่อสู้ว่าที่งอกเป็นของจำเลย โจทก์ก็สืบว่าที่งอกเป็นของโจทก์ได้ ไม่เป็นการสืบนอกฟ้องนอกประเด็น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 435/2510
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
กรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดและที่งอกริมตลิ่ง การสืบพยานในประเด็นกรรมสิทธิ์ไม่เป็นการสืบนอกฟ้อง
โจทก์กล่าวในฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินโฉนดที่ 5143 จำเลยบุกรุกเข้าไปปลูกอ้อย ฯลฯ ในที่งอกหน้าที่ดินของโจทก์โจทก์ห้ามปรามจำเลยกลับอ้างว่าที่พิพาทไม่ใช่ของโจทก์ดังนี้ เห็นได้ว่าโจทก์ตั้งประเด็นมาในคำฟ้องแล้วว่า ที่พิพาทเป็นที่งอกริมตลิ่งเป็นทรัพย์สินของโจทก์ ผู้เป็นเจ้าของที่ดินโฉนดที่ 5143 ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1308 เมื่อจำเลยให้การต่อสู้ว่าที่งอกเป็นของจำเลย โจทก์ ก็สืบว่าที่งอกเป็นของโจทก์ได้ ไม่เป็นการสืบนอกฟ้องนอกประเด็น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 408/2510
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ลิขสิทธิ์เพลง: การโอนลิขสิทธิ์เนื้อร้องและการละเมิดลิขสิทธิ์เมื่อพิมพ์จำหน่ายโดยไม่ได้รับอนุญาต
ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองวรรณกรรมและศิลปกรรม พ.ศ. 2474 มาตรา 4 คำว่าเพลงดนตรีย่อมหมายถึงทำนองเพลง โดยมีคำร้องหรือเนื้อร้องหรือไม่ก็ได้ เมื่อโจทก์เป็นผู้ประพันธ์ทำนองบุคคลอื่นประพันธ์เนื้อร้องได้โอนลิขสิทธิ์ในฐานะผู้ประพันธ์เนื้อร้องให้โจทก์โจทก์จึงมีลิขสิทธิ์ในเพลงดนตรีทั้งเนื้อร้องและทำนอง มีสิทธิห้ามไม่ให้ผู้อื่นเล่นเพลงดนตรีนั้นแสดงต่อประชาชนและมีสิทธิห้ามไม่ให้ผู้อื่นทำสำเนาจำลองโน้ตหรือเนื้อร้องออกจำหน่ายเมื่อจำเลยได้นำเนื้อร้องไปพิมพ์จำหน่ายโดยมิได้รับอนุญาต ย่อมละเมิดลิขสิทธิ์ของโจทก์และถ้าพิมพ์โน้ตออกจำหน่าย ก็จะเป็นละเมิดลิขสิทธิ์ในโน้ตเพิ่มอีกโสดหนึ่ง
การบรรยายฟ้อง โจทก์ไม่จำต้องบรรยายโดยพิมพ์โน้ตดนตรี มาในคำฟ้องด้วย
การบรรยายฟ้อง โจทก์ไม่จำต้องบรรยายโดยพิมพ์โน้ตดนตรี มาในคำฟ้องด้วย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 408/2510 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ลิขสิทธิ์เพลง: การโอนลิขสิทธิ์เนื้อร้องและขอบเขตการคุ้มครองลิขสิทธิ์ทำนองเพลงและเนื้อร้อง
ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองวรรณกรรมฯ มาตรา 4 คำว่า เพลงดนตรีย่อมหมายถึงทำนองเพลง โดยมีคำร้องหรือเนื้อร้องหรือไม่ก็ได้ เมื่อโจทก์เป็นผู้ประพันธ์ทำนองบุคคลอื่นประพันธ์เนื้อร้องได้โอนลิขสิทธิ์ในฐานะผู้ประพันธ์เนื้อร้องให้โจทก์ โจทก์จึงมีลิขสิทธิ์ในเพลงดนตรีทั้งเนื้อร้องและทำนอง มีสิทธิห้ามไม่ให้ผู้อื่นเล่นเพลงดนตรีนั้นแสดงต่อประชาชนและมีสิทธิห้ามไม่ให้ผู้อื่นทำสำเนาจำลองโน๊ตหรือเนื้อร้องออกจำหน่าย เมื่อจำเลยได้นำเนื้อร้องไปพิมพ์จำหน่ายโดยมิได้รับอนุญาต ย่อมละเมิดลิขสิทธิ์ของโจทก์ และถ้าพิมพ์โน๊ตออกจำหน่าย ก็จะเป็นละเมิดลิขสิทธิ์ในโน๊ตเพิ่มอีกโสดหนึ่ง
การบรรยายฟ้อง โจทก์ไม่จำต้องบรรยายโดยพิมพ์โน๊ตดนตรีมาในคำฟ้องด้วย
การบรรยายฟ้อง โจทก์ไม่จำต้องบรรยายโดยพิมพ์โน๊ตดนตรีมาในคำฟ้องด้วย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 406/2510
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแบ่งมรดกกรณีทายาทบวชเป็นพระภิกษุ และสิทธิการครอบครองมรดกของทายาทที่ไม่ได้ร่วมครอบครอง
จ. กับ ข. ซึ่งถึงแก่กรรมไปแล้ว มีบุตร 6 คนบุตรของ จ. ข. ทุกคนเว้น ธ. ซึ่งบวชเป็นพระภิกษุ ได้ร่วมกันครอบครองมรดกตลอดมา ก. บุตรของ จ. ข. ตายหลัง จ. ข. มรดกของ จ. ข. ที่ ก. ได้รับจึงตกเป็นของโจทก์ที่ 3 ซึ่งเป็นภริยาของ ก. ในฐานะผู้รับมรดกของ ก. หาใช่ในฐานะผู้รับมรดกแทนที่ ก. ไม่แต่เมื่อพิเคราะห์ฟ้องของโจทก์แล้วเป็นที่เข้าใจได้ว่าโจทก์ที่ 3 ขอรับมรดก ของ ก. นั่นเองโจทก์ที่ 3 จึงมีสิทธิขอแบ่งทรัพย์มรดก
ธ. ซึ่งบวชเป็นพระภิกษุอยู่ก่อน ข. เจ้ามรดกถึงแก่ความตายตลอดมาเป็นเวลา 20 ปี แล้ว ไม่ได้เข้ามาร่วมครอบครองทรัพย์มรดกคงมีแต่โจทก์ที่ 1 ที่ 2 (ซึ่งเป็นบุตรของ จ. ข. เจ้ามรดก) และโจทก์ที่ 3 (ซึ่งเป็นภริยาของ ก. ซึ่งเป็นบุตรของ จ. ข. และถึงแก่ความตายไปแล้ว) จำเลย และ ส. ครอบครองร่วมกันมาโจทก์ ทั้ง3 จำเลย และ ส. ย่อมมีสิทธิในทรัพย์มรดกรายนี้เท่าๆกันจึงให้แบ่งทรัพย์มรดกออกเป็น 5 ส่วน (วินิจฉัยโดยที่ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 7-8/2510)
ธ. ซึ่งบวชเป็นพระภิกษุอยู่ก่อน ข. เจ้ามรดกถึงแก่ความตายตลอดมาเป็นเวลา 20 ปี แล้ว ไม่ได้เข้ามาร่วมครอบครองทรัพย์มรดกคงมีแต่โจทก์ที่ 1 ที่ 2 (ซึ่งเป็นบุตรของ จ. ข. เจ้ามรดก) และโจทก์ที่ 3 (ซึ่งเป็นภริยาของ ก. ซึ่งเป็นบุตรของ จ. ข. และถึงแก่ความตายไปแล้ว) จำเลย และ ส. ครอบครองร่วมกันมาโจทก์ ทั้ง3 จำเลย และ ส. ย่อมมีสิทธิในทรัพย์มรดกรายนี้เท่าๆกันจึงให้แบ่งทรัพย์มรดกออกเป็น 5 ส่วน (วินิจฉัยโดยที่ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 7-8/2510)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 406/2510 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแบ่งมรดกกรณีทายาทบวชเป็นพระ และสิทธิของภริยาผู้รับมรดกแทนที่
จ. กับ ข. ซึ่งถึงแก่กรรมไปแล้ว มีบุตร 6 คน บุตรของ จ.ข. ทุกคนเว้น ธ. ซึ่งบวชเป็นพระภิกษุ ได้ร่วมกันครอบครองมรดกตลอดมา ก. บุตรของ จ.ข ตายหลัง จ.ข. มรดกของจ.ข. ที่ ก. ได้รับจึงตกเป็นของโจทก์ที่ 3 ซึ่งเป็นภริยาของ ก. ในฐานะผู้รับมรดกของ ก. หาใช่ในฐานะผู้รับมรดกแทนที่ ก. ไม่ แต่เมื่อพิเคราะห์ฟ้องของโจทก์แล้ว เป็นที่เข้าใจได้ว่าโจทก์ที่ 3 ขอรับมรดกของ ก.นั่นเอง โจทก์ที่ 3 จึงมีสิทธิขอแบ่งทรัพย์มรดก
ธ. ซึ่งบวชเป็นพระภิกษุอยู่ก่อน ข. เจ้ามรดกถึงแก่ความตายตลอดมาเป็นเวลา 20 ปีแล้ว ไม่ได้เข้ามาร่วมครอบครองทรัพย์มรดก คงมีแต่โจทก์ที่ 1 ที่ 2 (ซึ่งเป็นบุตรของ จ.ข. เจ้ามรดก) และโจทก์ที่ 3 (ซึ่งเป็นภริยาของ ก.ซึ่งเป็นบุตรของ จ.ข. และถึงแก่ความตายไปแล้ว) จำเลย และ ส. ครอบครองร่วมกันมา โจทก์ทั้ง 3 จำเลย และ ส. ย่อมมีสิทธิในทรัพย์มรดกรายนี้เท่า ๆ กัน จึงให้แบ่งทรัพย์มรดกออกเป็น 5 ส่วน (วินิจฉัยโดยที่ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 7-8/2510)
ธ. ซึ่งบวชเป็นพระภิกษุอยู่ก่อน ข. เจ้ามรดกถึงแก่ความตายตลอดมาเป็นเวลา 20 ปีแล้ว ไม่ได้เข้ามาร่วมครอบครองทรัพย์มรดก คงมีแต่โจทก์ที่ 1 ที่ 2 (ซึ่งเป็นบุตรของ จ.ข. เจ้ามรดก) และโจทก์ที่ 3 (ซึ่งเป็นภริยาของ ก.ซึ่งเป็นบุตรของ จ.ข. และถึงแก่ความตายไปแล้ว) จำเลย และ ส. ครอบครองร่วมกันมา โจทก์ทั้ง 3 จำเลย และ ส. ย่อมมีสิทธิในทรัพย์มรดกรายนี้เท่า ๆ กัน จึงให้แบ่งทรัพย์มรดกออกเป็น 5 ส่วน (วินิจฉัยโดยที่ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 7-8/2510)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 373/2510
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การตีความพินัยกรรม: เจตนาผู้มอบมรดกอยู่ที่เนื้อที่ดินทั้งหมดตาม ส.ค.1 แม้ระบุตัวเลขไม่ตรง
พินัยกรรมมีความว่า 'ฯลฯ ข้อ 1(1) ที่ดินหนึ่งแปลงตาม ส.ค.1 เลขที่ 64 อยู่หมู่ 4 ตำบลเกยไชย อำเภอชุมแสง เนื้อที่ 6 ไร่ 2 งาน 4 วา ฯลฯ ข้อ 3 ทรัพย์สินตามข้อ 1 ข้าพเจ้าขอมอบให้เป็นกรรมสิทธิ์แก่บุตรของข้าพเจ้าจำนวน 2 คน ตามส่วนดังนี้ 1 ที่ดินตามข้อ 1(1) ทางด้านทิศตะวันออก จำนวนเนื้อที่ดิน 2 ไร่ ให้แก่นายจำลอง เดชเรืองศรี2 ที่ดินตามข้อ 1(1) ส่วนที่เหลือทั้งหมดจากที่แบ่งให้นายจำลอง เดชเรืองศรีแล้วข้าพเจ้าขอยกให้แก่นางบุญช่วย พันธ์เขียว แต่ผู้เดียว ฯลฯ' ดังนี้ เมื่อปรากฏว่าเจ้ามรดกมีที่ดินแปลงเดียว ที่ดินมรดกแปลงนี้มีเนื้อที่ถึง 18 ไร่ 93 ตารางวาตามพินัยกรรมข้อ 1(1) เจ้ามรดกเจตนาทำพินัยกรรมยกที่ดินทั้งแปลงที่ตนมีอยู่ให้แก่โจทก์จำเลยการที่ระบุเนื้อที่ไว้เพียง 6 ไร่ 2 งาน 4 วา ก็เห็นได้ว่าเป็นการระบุเนื้อที่ตาม ส.ค.1 ที่แจ้งไว้แต่เดิม ซึ่งอาจเป็นการประมาณ ย่อมมากหรือน้อยจากความจริงก็ได้ ไม่มีเหตุที่เจ้ามรดกตั้งใจทำพินัยกรรมเฉพาะ 6 ไร่ 2 งาน 4 วา ส่วนที่เหลือให้เป็นมรดกไม่มีพินัยกรรมโจทก์ (นายจำลอง) จึงมีสิทธิได้รับที่ดินมรดกเพียง 2 ไร่ด้านตะวันออก ที่ดินที่เหลือทั้งหมดจากที่แบ่งให้โจทก์จึงตกเป็นของจำเลย (นางบุญช่วย) ตามพินัยกรรมข้อ 3
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 373/2510 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การตีความพินัยกรรม: เจตนาผู้ทำพินัยกรรมคือยกที่ดินทั้งหมด แม้ระบุเนื้อที่ในพินัยกรรมไม่ตรงกับความเป็นจริง
พินัยกรรมมีความว่า "ฯลฯ ข้อ 1 (1) ที่ดินหนึ่งแปลงตาม ส.ด.1 เลขที่ 64 อยู่หมู่ 4 ตำบลเกยไชย อำเภอชุมแสง เนื้อที่ 6 ไร่ 2 งาน 4 วา ฯลฯ ข้อ 3 ทรัพย์สินตามข้อ 1 ข้าพเจ้าขอมอบให้เป็นกรรมสิทธิ์แก่บุตรของข้าพเจ้าจำนวน 2 คน ตามส่วนดังนี้ 1. ที่ดินตามข้อที่ 1(1) ทางทิศตะวันออก จำนวนเนื้อที่ดิน 2 ไร่ ให้แก่นายจำลอง เดชเรืองศรี 2. ที่ดินตามข้อ 1(1) ส่วนที่เหลือทั้งหมดจากที่แบ่งให้นายจำลอง เดชเรืองศรี แล้วข้าพเจ้าขอยกให้แก่นางบุญช่วย พันธ์เขียว แต่ผู้เดียวฯลฯ " ดังนี้ เมื่อปรากฏว่าเจ้ามรดกมีที่ดินแปลงเดียว ที่ดินมรดกแปลงนี้มีเนื้อที่ถึง 18 ไร่ 93 ตารางวา ตามพินัยกรรมข้อ 1(1) เจ้ามรดกเจตนาทำพินัยกรรมยกที่ดินทั้งแปลงที่ตนมีอยู่ให้แก่โจทก์จำเลย การที่ระบุเนื้อที่ไว้เพียง 6 ไร่ 2 งาน 4 วา ก็เห็นได้ว่าเป็นการระบุเนื้อที่ตาม ส.ค.1 ที่แจ้งไว้แต่เดิม ซึ่งอาจเป็นการประมาณ ย่อมมากหรือน้อยจากความจริงก็ได้ ไม่มีเหตุที่เจ้ามรดกตั้งใจทำพินัยกรรมเฉพาะ 6 ไร่ 2 งาน 4 วา ส่วนที่เหลือให้เป็นมรดกไม่มีพินัยกรรม โจทก์ (นายจำลอง) จึงมีสิทธิได้รับที่ดินมรดกเพียง 2 ไร่ด้านตะวันออก ที่ดินที่เหลือทั้งหมดจากที่แบ่งให้โจทก์ จึงตกเป็นของจำเลย (นางบุญช่วย) ตามพินัยกรรมข้อ 3
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 365-370/2510 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
กรรมสิทธิ์ที่ดินมรดกยังไม่แบ่ง: สิทธิยึดของโจทก์ชอบธรรม
ที่พิพาทและเรือนที่โจทก์นำยึดนั้น จำเลยและผู้ร้องได้รับมรดกจากบิดามารดายังมิได้มีการตกลงแบ่งกัน ต้องถือว่าที่ดินและเรือนพิพาทเป็นของจำเลย และผู้ร้องทุนคนครอบครองร่วมกัน โจทก์มีสิทธินำยึดได้
หมายเหตุ ผู้ร้องขัดทรัพย์และโจทก์พิพาทกันในเรื่องกรรมสิทธิ์ที่ดิน ซึ่งมีราคา (สำนวนละ) ไม่เกิน 2,000 บาท โจทก์อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง ศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยให้ผู้ร้องฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงศาลฎีกาก็วินิจฉัยให้ จึงแสดงว่าข้อพิพาทในเรื่องกรรมสิทธิ์ที่ดิน แม้จะมีราคาไม่เกิน 2,000 บาท ก็อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 วรรค 2
หมายเหตุ ผู้ร้องขัดทรัพย์และโจทก์พิพาทกันในเรื่องกรรมสิทธิ์ที่ดิน ซึ่งมีราคา (สำนวนละ) ไม่เกิน 2,000 บาท โจทก์อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง ศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยให้ผู้ร้องฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงศาลฎีกาก็วินิจฉัยให้ จึงแสดงว่าข้อพิพาทในเรื่องกรรมสิทธิ์ที่ดิน แม้จะมีราคาไม่เกิน 2,000 บาท ก็อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 วรรค 2
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 365-370/2510
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
กรรมสิทธิ์รวมในที่ดินมรดก: สิทธิในการยึดและการขัดทรัพย์
ที่พิพาทและเรือนที่โจทก์นำยึดนั้น จำเลยและผู้ร้องได้รับมรดกจากบิดามารดายังมิได้มีการตกลงแบ่งกัน ต้องถือว่าที่ดินและเรือนพิพาทเป็นของจำเลยและผู้ร้องทุกคนครอบครองร่วมกันโจทก์มีสิทธินำยึดได้
หมายเหตุ ผู้ร้องขัดทรัพย์และโจทก์พิพาทกันในเรื่องกรรมสิทธิ์ที่ดิน ซึ่งมีราคา (สำนวนละ) ไม่เกิน 2,000 บาท โจทก์อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยให้ผู้ร้องฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงศาลฎีกาก็วินิจฉัยให้ จึงแสดงว่าข้อพิพาทในเรื่องกรรมสิทธิ์ที่ดินแม้จะมีราคาไม่เกิน 2,000 บาท ก็อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 วรรคสอง
หมายเหตุ ผู้ร้องขัดทรัพย์และโจทก์พิพาทกันในเรื่องกรรมสิทธิ์ที่ดิน ซึ่งมีราคา (สำนวนละ) ไม่เกิน 2,000 บาท โจทก์อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยให้ผู้ร้องฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงศาลฎีกาก็วินิจฉัยให้ จึงแสดงว่าข้อพิพาทในเรื่องกรรมสิทธิ์ที่ดินแม้จะมีราคาไม่เกิน 2,000 บาท ก็อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 วรรคสอง