พบผลลัพธ์ทั้งหมด 349 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 246/2510 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
จำเลยเพิกเฉยไม่ปฏิบัติตามคำสั่งศาลในการส่งสำเนาฎีกา ทำให้ศาลสั่งจำหน่ายคดีเนื่องจากทิ้งฟ้อง
จำเลยยื่นฎีกาไว้ แล้วเพิกเฉยไม่มาติดต่อนำพนักงานเจ้าหน้าที่ส่งสำเนาฎีกาให้โจทก์แก้นานเกินกว่ากำหนดเวลาที่ศาลได้กำหนดไว้ ถือว่าจำเลยทิ้งฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 174
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 246/2510
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การทิ้งฟ้องเนื่องจากไม่ปฏิบัติตามคำสั่งศาลในการส่งสำเนาฎีกา
จำเลยยื่นฎีกาไว้ แล้วเพิกเฉยไม่มาติดต่อนำพนักงานเจ้าหน้าที่ส่งสำเนาฎีกาให้โจทก์แก้นานเกินกว่ากำหนดเวลาที่ศาลได้กำหนดไว้ถือว่าจำเลยทิ้งฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 174
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 231/2510
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การซื้อขายทรัพย์สินโดยสุจริตและเสียค่าตอบแทน แม้ผู้โอนได้มาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ศาลต้องพิจารณาตามหลักสุจริต
โจทก์ได้นำยึดที่พิพาทมาชำระหนี้ ผู้ร้องขัดทรัพย์ร้องว่า ที่พิพาทที่โจทก์นำยึดเป็นของผู้ร้อง ผู้ร้องซื้อมาจากนายจืน ได้ทำสัญญาซื้อขายและจดทะเบียนต่อเจ้าพนักงานที่พิพาทนี้นายจืนเจ้าหนี้จำเลยตามคำพิพากษาคดีหนึ่งได้ซื้อมาจากการขายทอดตลาดแล้วขายต่อให้ผู้ร้อง ผู้ร้องซื้อไว้โดยสุจริต และเสียค่าตอบแทนเมื่อผู้ร้องร้องเช่นนี้ โจทก์จะต่อสู้ก็ต้องกล่าวให้ชัดเจนว่าผู้ร้องมิได้ซื้อที่พิพาทโดยสุจริตและเสียค่าตอบแทนแต่ตามคำให้การของโจทก์ไม่ปรากฏเลยว่าผู้ร้องได้รู้ถึงการที่นายจืนและจำเลยสมคบกันทำสัญญากู้ยืมขึ้นแล้วนำมาฟ้องร้องกัน ตลอดจนแกล้งยอมความกัน เพื่อเปิดโอกาสให้นายจืนยึดที่พิพาทออกขายทอดตลาด โจทก์เพียงแต่ไม่รับรองการซื้อขายระหว่างนายจืนกับผู้ร้องว่าไม่ชอบด้วยกฎหมายเพราะเหตุแห่งการกระทำของนายจืนและจำเลยเท่านั้นในเรื่องปล่อยทรัพย์ที่ถูกยึดประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 288 วรรคสอง กำหนดให้ศาลพิจารณาและชี้ขาดตัดสินเหมือนคดีธรรมดา โจทก์จึงต้องให้การโดยแจ้งชัดว่ายอมรับหรือปฏิเสธ รวมทั้งเหตุแห่งการนั้นด้วย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177เมื่อโจทก์มิได้โต้แย้งว่าผู้ร้องซื้อที่พิพาทจากนายจืนโดยไม่สุจริต จึงไม่มีประเด็นที่ต้องนำสืบ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 231/2510 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การปล่อยทรัพย์ที่ถูกยึด: โจทก์ต้องพิสูจน์ว่าผู้ร้องซื้อโดยไม่สุจริตและไม่เสียค่าตอบแทน จึงจะขัดทรัพย์ได้
โจทก์ได้นำยึดที่พิพาทมาชำระหนี้ ผู้ร้องขัดทรัพย์ร้องว่า ที่พิพาทที่โจทก์นำยึดเป็นของผู้ร้อง ผู้ร้องซื้อมาจากนายจืน ได้ทำสัญญาซื้อขายและจดทะเบียนต่อเจ้าพนักงาน ที่พิพาทนี้นายจืนเจ้าหนี้จำเลยตามคำพิพากษาคดีหนึ่งได้ซื้อมาจากการขายทอดตลาด แล้วขายต่อให้ผู้ร้อง ผู้ร้องซื้อไว้โดยสุจริต และเสียค่าตอบแทน เมื่อผู้ร้องร้องเช่นนี้ โจทก์จะต่อสู้ก็ต้องกล่าวให้ชัดเจนว่าผู้ร้องมิได้ซื้อที่พิพาทโดยสุจริตและเสียค่าตอบแทน แต่ตามคำให้การของโจทก์ไม่ปรากฏเลยว่าผู้ร้องได้รู้ถึงการที่นายจืนและจำเลยสมคบกันทำสัญญากู้ยืมขึ้น แล้วนำมาฟ้องร้องกัน ตลอดจนแกล้งยอมความกัน เพื่อเปิดโอกาสให้นายจืนยึดที่พิพาทออกขายทอดตลาด โจทก์เพียงแต่ไม่รับรองการซื้อขายระหว่างนายจืนกับผู้ร้องว่าไม่ชอบด้วยกฎหมายเพราะหตุแห่งกากระทำของนายจืนและจำเลยเท่านั้น ในเรื่องปล่อยทรัพย์ที่ถูกยึด ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 288 วรรค 2 กำหนดให้ศาลพิจารณาและชี้ขาดตัดสินเหมือนคดีธรรมดา โจทก์จึงต้องให้การโดยแจ้งชัดว่ายอมรับหรือปฏิเสธ รวมทั้งเหตุแห่งการนั้นด้วย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 177
เมื่อโจทก์มิได้โต้แย้งว่าผู้ร้องซื้อที่พิพาทจากนายจืนโดยไม่สุจริต จึงไม่มีประเด็นที่ต้องนำสืบ
เมื่อโจทก์มิได้โต้แย้งว่าผู้ร้องซื้อที่พิพาทจากนายจืนโดยไม่สุจริต จึงไม่มีประเด็นที่ต้องนำสืบ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 215/2510 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
บันทึกหลังทะเบียนหย่าใช้เป็นหลักฐานการกู้ยืมได้ แม้ไม่ใช่สัญญากู้ยืมและมิได้ติดอากรแสตมป์
จำเลยและภรรยาได้จดทะเบียนหย่ากันที่อำเภอ และได้ให้ถ้อยคำในบันทึกหลังทะเบียนการหย่าต่อนายทะเบียนว่า ภรรยาจำเลยได้ยืมเงินจากโจทก์มายังไม่ได้คืน จำเลยและภรรยาได้ลงลายมือชื่อรับรองว่าบันทึกถูกต้อง ดังนี้ บันทึกหลังทะเบียนหย่าถือเป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 653 โจทก์นำหลักฐานนั้นมาฟ้องเรียกหนี้อันเกิดจากการกู้ยืมได้
หลักฐานการกู้ยืม ไม่ใช่สัญญากู้ยืม แม้มิได้ปิดอากรแสตมป์ตามประมวลรัษฎากรก็รับฟังเป็นพยานได้ (อ้างฎีกาที่ 368/2506)
หลักฐานการกู้ยืม ไม่ใช่สัญญากู้ยืม แม้มิได้ปิดอากรแสตมป์ตามประมวลรัษฎากรก็รับฟังเป็นพยานได้ (อ้างฎีกาที่ 368/2506)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 215/2510
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
บันทึกหลังทะเบียนหย่าใช้เป็นหลักฐานการกู้ยืมได้ แม้มิใช่สัญญากู้ยืมและไม่มีอากรแสตมป์
จำเลยและภรรยาได้จดทะเบียนหย่ากันที่อำเภอ และได้ให้ถ้อยคำในบันทึกหลังทะเบียนหย่าต่อนายทะเบียนว่า ภรรยาจำเลยได้ยืมเงินจากโจทก์มายังไม่ได้คืน จำเลยและภรรยาได้ลงลายมือชื่อรับรองว่าบันทึกถูกต้องดังนี้บันทึกหลังทะเบียนหย่าถือเป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 653 โจทก์นำหลักฐานนั้นมาฟ้องเรียกหนี้อันเกิดจากการกู้ยืมได้
หลักฐานการกู้ยืม ไม่ใช่สัญญากู้ยืม แม้มิได้ปิดอากรแสตมป์ ตามประมวลรัษฎากรก็รับฟังเป็นพยานได้ (อ้างฎีกาที่ 368/2506)
หลักฐานการกู้ยืม ไม่ใช่สัญญากู้ยืม แม้มิได้ปิดอากรแสตมป์ ตามประมวลรัษฎากรก็รับฟังเป็นพยานได้ (อ้างฎีกาที่ 368/2506)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 205/2510 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การทำร้ายร่างกายในขณะป้องกันตัว: ศาลฎีกาพิจารณาเจตนาและเหตุการณ์ขณะทำร้ายเพื่อตัดสินความผิดฐานทำร้ายร่างกายสาหัส
จำเลยและผู้เสียหายสมัครใจวิวาทกันด้วยเรื่องพูดผิดหูเพียงเล็กน้อย โดยไม่เคยมีสาเหตุโกรธเคืองกันมาก่อน ผู้เสียหายใช้ไม้คมแฝกตีศีรษะจำเลย 1 ที จำเลยก็ใช้มีดปลายแหลมยาวทั้งด้ามทั้งตัวประมาณ 1 คืบแทงไป 1 ที ผู้เสียหาตีซ้ำอีก 1 ที จำเลยก็แทงไปอีก 1 ที ดังนี้ เห็นได้ว่าจำเลยได้แทงผู้เสียหายในขณะถูกตีศีรษะโดยกระทันหันในทันทีทันใด จำเลยย่อมจะมึนงงอยู่เพราะถูกตีศีรษะ และขณะนั้นก็มีแสงขมุกขมัวไม่เห็นกันถนัด ไม่มีโอกาสที่จำเลยจะตั้งใจเลือกหรือกำหนดได้ว่าจะแทงไปถูกตรงไหนของร่างกายได้ ทั้งเมื่อผู้เสียหายร้องขึ้นว่าถูกจำเลยแทง จำเลยก็ทิ้งมีดหนีโดยไม่ได้ทำร้ายซ้ำเติมอีก เช่นนี้ ยังไม่พอฟังว่าจำเลยมีเจตนาฆ่าผู้เสียหาย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 205/2510
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การทำร้ายร่างกายสาหัสจากการป้องกันตัวในระหว่างวิวาท ศาลฎีกาพิจารณาเจตนาของผู้กระทำ
จำเลยและผู้เสียหายสมัครใจวิวาทกันด้วยเรื่องพูดผิดหูเพียงเล็กน้อย โดยไม่เคยมีสาเหตุโกรธเคืองกันมาก่อนผู้เสียหายใช้ไม้คมแฝกตีศีรษะจำเลย 1 ที จำเลยก็ใช้มีดปลายแหลมยาวทั้งด้ามทั้งตัวประมาณ 1 คืบแทงไป 1 ที ผู้เสียหายตีซ้ำอีก 1 ที จำเลยก็แทงไปอีก 1 ที ดังนี้ เห็นได้ว่าจำเลยได้แทงผู้เสียหายในขณะถูกตีศีรษะโดยกระทันหันในทันทีทันใดจำเลยย่อมจะมึนงงอยู่เพราะถูกตีศีรษะ และขณะนั้นก็มีแสงขมุกขมัวไม่เห็นกันถนัดไม่มีโอกาสที่จำเลยจะตั้งใจเลือกหรือกำหนดได้ว่าจะแทงไปถูกตรงไหน ของร่างกายได้ ทั้งเมื่อผู้เสียหายร้องขึ้นว่าถูกจำเลยแทงจำเลยก็ทิ้ง มีดหนีโดยไม่ได้ทำร้ายซ้ำเติมอีก เช่นนี้ ยังไม่พอฟังว่าจำเลย มีเจตนาฆ่าผู้เสียหาย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 159/2510 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
กรรมสิทธิ์ที่ดินจากการจดทะเบียนทำประโยชน์ก่อนประมวลกฎหมายที่ดิน และความชอบด้วยกฎหมายของหนังสือรับรองการทำประโยชน์
โจทก์ได้รับตราจองซึ่งตราว่า "ทำประโยชน์แล้ว" ตั้งแต่ก่อนพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. 2497 บังคับใช้ โจทก์จึงได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทมาตั้งแต่วันได้รับตราจองตามพระราชบัญญัติออกโฉนดที่ดิน (ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2479 มาตรา 11 ตลอดมา
หนังสือรับรองการทำประโยชน์ของจำเลยออกทับที่พิพาทซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์อยู่ก่อนแล้ว และที่พิพาทอยู่ในเขตจังหวัดพิจิตร ฉะนั้น เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดเพชรบูรณ์ จึงไม่มีอำนาจที่จะออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ให้แก่จำเลย หนังสือรับรองการทำประโยชน์ของจำเลยจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย
หนังสือรับรองการทำประโยชน์ของจำเลยออกทับที่พิพาทซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์อยู่ก่อนแล้ว และที่พิพาทอยู่ในเขตจังหวัดพิจิตร ฉะนั้น เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดเพชรบูรณ์ จึงไม่มีอำนาจที่จะออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ให้แก่จำเลย หนังสือรับรองการทำประโยชน์ของจำเลยจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 159/2510
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
กรรมสิทธิ์ที่ดินจากตราจองก่อน พ.ร.บ.ประมวลกฎหมายที่ดิน และความชอบด้วยกฎหมายของหนังสือรับรองการทำประโยชน์
โจทก์ได้รับตราจองซึ่งตราว่า 'ทำประโยชน์แล้ว' ตั้งแต่ก่อนพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. 2497 บังคับใช้ โจทก์จึงได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทมาตั้งแต่วันได้รับตราจองตามพระราชบัญญัติออกโฉนดที่ดิน (ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2479 มาตรา 11 ตลอดมา
หนังสือรับรองการทำประโยชน์ของจำเลยออกทับที่พิพาทซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์อยู่ก่อนแล้ว และที่พิพาทอยู่ในเขตจังหวัดพิจิตร ฉะนั้น เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดเพชรบูรณ์จึงไม่มีอำนาจที่จะออก หนังสือรับรองการทำประโยชน์ให้แก่จำเลยหนังสือรับรองการทำประโยชน์ ของจำเลย จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย
หนังสือรับรองการทำประโยชน์ของจำเลยออกทับที่พิพาทซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์อยู่ก่อนแล้ว และที่พิพาทอยู่ในเขตจังหวัดพิจิตร ฉะนั้น เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดเพชรบูรณ์จึงไม่มีอำนาจที่จะออก หนังสือรับรองการทำประโยชน์ให้แก่จำเลยหนังสือรับรองการทำประโยชน์ ของจำเลย จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย