คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
เนิ่น กฤษณะเศรนี

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 261 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 364/2510

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข้อพิพาทสัญญาซื้อขายที่ดิน: การชำระราคาและการโอนทะเบียน จำเลยมีหน้าที่โอนหรือไม่ ใครผิดสัญญา
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยตกลงขายที่นาให้โจทก์โจทก์ชำระราคาให้เป็นส่วนใหญ่แล้ว คงค้างอีก 700 บาท ซึ่งโจทก์จะชำระให้หมดในวันโอนทะเบียน จำเลยบิดพลิ้วไม่ยอมโอนจำเลยให้การว่าตกลงขายนาตามฟ้องให้โจทก์และรับเงินราคานาแล้ว 2,000 บาท จริงที่เหลือ 1,000 บาท โจทก์จะชำระให้ในปีรุ่งขึ้นเมื่อโจทก์ปฏิบัติตามนี้ จำเลยจึงจะโอนนาให้โจทก์ และทำสัญญาซื้อขาย แต่โจทก์ผิดนัดไม่ชำระเงินที่เหลือ จำเลยจึงบอกเลิกสัญญาและไม่โอนที่ดินให้ปัญหาที่จะต้องพิจารณาในเบื้องแรกจึงมีว่า ข้อสัญญามีว่าโจทก์ต้องชำระเงินที่เหลือ 700 บาทจำเลยจึงจะไปโอนทะเบียนหรือไม่และถ้าเช่นนั้นใครเป็นฝ่ายผิดสัญญา จึงชอบที่จะฟังพยานหลักฐานของโจทก์จำเลยต่อไป

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 350/2510

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ลักษณะของวัตถุต้องเป็นไพ่ตามกฎหมาย แม้ใช้เล่นพนันก็ไม่ถือเป็นไพ่หากรูปลักษณ์ไม่ตรงตามที่กฎหมายกำหนด
ของกลางที่ฎีกาขึ้นมา เมื่อมีลักษณะเป็นของสำหรับเด็กเล่น และปรากฏว่ารูปลักษณะผิดกับไพ่ป๊อก เช่น ไม่มีตัว เอ.คิง.ควีน.แจ๊คไม่แยกเป็นโพดำโพแดงข้าวหลามตัดและดอกจิก ดังนี้ จึงไม่เป็นไพ่ ตามพระราชบัญญัติไพ่ ส่วนการที่จะนำวัตถุเหล่านี้ไปเล่นพนันกัน โดยสมมุติขึ้นว่าใช้ 1 แทน เอ.ใช้เอ.บี.ซี. แทนแจ๊ค.ควีน.คิง. และอื่น ๆ อีก ดังที่พยานโจทก์เบิกความอธิบายไว้นั้นก็เป็นเรื่องวิธีการ เล่นการพนันโดยใช้วัตถุเหล่านี้เป็นเครื่องมือในการเล่นจึงไม่ทำให้ วัตถุของกลางเหล่านี้กลายเป็นไพ่ขึ้นมาได้พระราชบัญญัติไพ่ได้บัญญัติห้ามมีห้ามจำหน่ายเฉพาะไพ่ มิได้บัญญัติถึงสิ่งที่คล้ายคลึงไพ่ ฉะนั้น เมื่อของกลางที่โจทก์ฎีกาขึ้นมาไม่เป็นไพ่ตามพระราชบัญญัติไพ่แล้วจำเลยก็ย่อมไม่มีความผิด

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 350/2510 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ของกลางไม่ใช่ไพ่ตามกฎหมาย แม้ใช้เล่นพนันได้ จำเลยไม่มีความผิด
ของกลางที่ฎีกาขึ้นมา เมื่อมีลักษณะเป็นของสำหรับเด็กเล่น และปรากฏว่ารูปลักษณะผิดกับไพ่ป๊อก เช่น ไม่มีตัว เอ.คิง.ควีน.แจ๊ค. ไม่แยกเป็นโพดำ โพแดง ข้าวหลามตัด และดอกจิก ดังนี้ จึงไม่เป็นไพ่ตามพระราชบัญญัติไพ่ ส่วนการที่จะนำวัตถุเหล่านี้ไปเล่นพนักกัน โดยสมมุติขึ้นว่าใช้ 1 แทน เอ. ใช้ เอ.บี.ซี แทนแจ๊ค. ควีน. คิง. และอื่น ๆ อีก ดังที่พยานโจทก์เบิกความอธิบายไว้นั้น ก็เป็นเรื่องวิธีการเล่นการพนันโดยใช้วัตถุเหล่านี้เป็นเครื่องมือในการเล่น จึงไม่ทำให้วัตถุของกลางเหล่านี้กลายเป็นไพ่ขึ้นมาได้ พระราชบัญญัติไพ่ได้บัญญัติห้ามมีจำหน่ายเฉพาะไพ่ มิได้บัญญัติถึงสิ่งที่คล้ายคลึงไพ่ ฉะนั้น เมื่อของกลางที่โจทก์ฎีกาขึ้นมาไม่เป็นไพ่ตามพระราชบัญญัติไพ่แล้ว จำเลยก็ย่อมไม่มีความผิด

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 321/2510 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การลักทรัพย์เมื่อส่งมอบทรัพย์สินชั่วคราว: เจ้าของร่วมมีสิทธิร้องทุกข์ได้
เงินที่ได้จากการขายข้าวซึ่งโจทก์ร่วมและบิดาทำร่วมกัน เมื่อได้ความว่ายังไม่ได้แบ่งเงินรายนี้ระหว่างคนทั้งสอง จึงต้องถือว่าทั้งบิดาและโจทก์ร่วมเป็นเจ้าของเงินรายนี้ร่วมกันอยู่ ดังนี้ จึงต้องถือว่าโจทก์ร่วมเป็นผู้เสียหาย ย่อมมีสิทธิที่จะร้องทุกข์ได้ตามกฎหมาย
คดีนี้ ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยได้เรียกเอาเงินและทองมาใส่ถุงย่ามเพื่อเป็นสิริมงคลในการที่จำเลยจะทำพิธีขึ้นบ้านใหม่ของโจทก์ร่วม โจทก์ร่วมจึงได้ห่อธนบัตรจำนวนเงิน 2,006 บาท กับเอาสร้อยคอทองคำหนักหนึ่งบาทหนึ่งเส้นบรรจุใส่ในกล่องพลาสติกส่งให้จำเลย จำเลยเอาห่อเงินและกล่องบรรจุสายสร้อยดังกล่าวใส่ลงไปในถุงย่ามแล้วลงเรือนไป มีนายประสิทธิและโจทก์ร่วมเดินตามหลัง ระหว่างเดินกันไปทางบ้านใหม่ของโจทก์ร่วมเพื่อจะทำพิธี จำเลยล้วงเอาห่อธนบัตรนั้นไปเสีย จึงเห็นได้ว่าเป็นการลักทรัพย์ เพราะโจทก์ร่วมเจ้าของทรัพย์ยังมิได้สละการครอบครองให้จำเลย เขาเพียงแต่ให้จำเลยยึดถือไว้เป็นการชั่วคราว ดังนี้ การที่จำเลยเอาห่อธนบัตรนั้นไป ย่อมมีความผิดฐานลักทรัพย์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 321/2510

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การลักทรัพย์ vs. ยักยอก: สิทธิผู้เสียหายร่วม และการครอบครองทรัพย์ชั่วคราว
เงินที่ได้จากการขายข้าวซึ่งโจทก์ร่วมและบิดาทำร่วมกันเมื่อได้ความว่ายังไม่ได้แบ่งเงินรายนี้ระหว่างคนทั้งสองจึงต้องถือว่าทั้งบิดาและโจทก์ร่วมเป็นเจ้าของเงินรายนี้ร่วมกันอยู่ดังนี้ จึงต้องถือว่าโจทก์ร่วมเป็นผู้เสียหาย ย่อมมีสิทธิที่จะร้องทุกข์ได้ตามกฎหมาย
คดีนี้ ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยได้เรียกเอาเงินและทองมาใส่ถุงย่ามเพื่อเป็นสิริมงคลในการที่จำเลยจะทำพิธีขึ้นบ้านใหม่ของโจทก์ร่วมโจทก์ร่วมจึงได้ห่อธนบัตรจำนวนเงิน 2,006 บาท กับเอาสร้อยคอทองคำทองหนักหนึ่งบาทหนึ่งเส้นบรรจุใส่ในกล่องพลาสติกส่งให้จำเลยจำเลยเอาห่อเงินและกล่องบรรจุสายสร้อยดังกล่าวใส่ลงไปในถุงย่ามแล้วลงเรือนไป มีนายประสิทธิและโจทก์ร่วมเดินตามหลังระหว่างเดินกันไปทางบ้านใหม่ของโจทก์ร่วมเพื่อจะทำพิธี จำเลยล้วงเอาห่อธนบัตรนั้นไปเสีย จึงเห็นได้ว่าเป็นการลักทรัพย์เพราะโจทก์ร่วมเจ้าของทรัพย์ยังมิได้สละการครอบครองให้จำเลยเขาเพียงแต่ให้จำเลยยึดถือไว้เป็นการชั่วคราว ดังนี้ การที่จำเลยเอาห่อธนบัตรนั้นไป ย่อมมีความผิดฐานลักทรัพย์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 261/2510 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิจำเลยในการมีทนายความ - การพิจารณาคดีอาญาที่มิชอบ - ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๒๐๘(๒)
คดีอาญาที่โจทก์ขอให้ลงโทษจำเลยซึ่งมีอัตราโทษจำคุกถึง 10 ปี เมื่อศาลชั้นต้นมิได้สอบถามจำเลยในเรื่องทนายความ และพิพากษาลงโทษจำคุก ทำให้จำเลยเสียเปรียบในการดำเนินคดี ย่อมเป็นการจำเป็นที่จะให้ศาลชั้นต้นทำการพิจารณาพิพากษาใหม่ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 208 (2)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 261/2510

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิจำเลยในการมีทนาย - ความจำเป็นในการพิจารณาคดีใหม่ หากจำเลยไม่ได้รับการสอบถามเรื่องทนาย
คดีอาญาที่โจทก์ขอให้ลงโทษจำเลยซึ่งมีอัตราโทษจำคุกถึง10 ปี เมื่อศาลชั้นต้นมิได้สอบถามจำเลยในเรื่องทนายความ และพิพากษาลงโทษจำคุก ทำให้จำเลยเสียเปรียบในการดำเนินคดี ย่อมเป็นการจำเป็นที่จะให้ศาลชั้นต้นทำการพิจารณาพิพากษาใหม่ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 208(2)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 245/2510 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การอยู่อาศัยในที่ดินของผู้อื่นโดยไม่ชัดเจนถึงสัญญาจ้าง และสิทธิการอยู่อาศัยสิ้นสุดเมื่อถูกบอกกล่าว
โจทก์จ้างจำเลยทำสวน จำเลยเข้ามาปลูกเรือนอยู่ในที่ดินของโจทก์โดยโจทก์มิได้ว่ากล่าวประการใด ถือได้ว่าการเข้ามาอยู่ในที่ดินของโจทก์เป็นการอาศัย มิได้เข้ามาโดยมีข้อสัญญาจ้างตกลงเช่นนั้น ดังนั้น ถึงแม้โจทก์จะยังมิได้บอกเลิกสัญญาจ้าง และยังมิได้ชำระค่าจ้าง เมื่อโจทก์ได้บอกกล่าวให้จำเลยออกไปแล้ว จำเลยก็ไม่มีสิทธิจะอยู่ในที่พิพาทนี้อีกต่อไป

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 245/2510

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเข้าปลูกเรือนในที่ดินของผู้อื่นโดยอาศัย ย่อมไม่มีสิทธิอยู่ต่อแม้ยังไม่ได้บอกเลิกสัญญาจ้าง
โจทก์จ้างจำเลยทำสวน จำเลยเข้ามาปลูกเรือนอยู่ในที่ดินของโจทก์โดยโจทก์มิได้ว่ากล่าวประการใด ถือได้ว่าการเข้ามาอยู่ในที่ดินของโจทก์เป็นการอาศัย มิได้เข้ามาโดยมีข้อสัญญาจ้างตกลงเช่นนั้น ดังนั้น ถึงแม้โจทก์จะยังมิได้บอกเลิกสัญญาจ้าง และยัง มิได้ชำระค่าจ้างเมื่อโจทก์ได้บอกกล่าวให้จำเลยออกไปแล้ว จำเลย ก็ไม่มีสิทธิจะอยู่ในที่พิพาทนี้อีกต่อไป

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 226/2510 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข้อตกลงการยอมรับผลการชี้ขาดสิทธิครอบครองของนิคมฯ คู่ความต้องผูกพันตามข้อตกลงนั้น
คู่ความต่างท้ากันว่า หากเจ้าหน้าที่นิคมสร้างตนเองชี้ขาดตามหลักฐานที่มีอยู่ที่นิคม ฯ ว่าฝ่ายใดเป็นฝ่ายมีสิทธิครอบครองโดยชอบแล้ว อีกฝ่ายหนึ่งยอมแพ้คดี โดยถือเอาหลักฐานที่มีอยู่ในนิคมเป็นใหญ่ และไม่ติดใจสู้ในประเด็นข้ออื่นอีกต่อไป ดังนี้ เมื่อโจทก์ไม่ได้อ้างหลักฐานที่มีอยู่ที่นิคมสร้างตนเอง และเจ้าหน้าที่มาเป็นพยาน แต่ฝ่ายจำเลยอ้างเจ้าหน้าที่นิคมและเอกสารหลักฐานจากนิคมเป็นเป็นพยาน เจ้าหน้าที่นิคมเบิกความประกอบเอกสารดังกล่าวและยืนยันว่าทางนิคมได้จัดสรรที่ดินให้จำเลยได้เข้าครอบครองทำกินตลอดมา จึงฟังได้ว่าเจ้าหน้าที่นิคมฯ ได้ชี้ขาดตามหลักฐานที่มีอยู่ที่นิคมว่าที่พิพาทเป็นของจำเลยตรงตามคำท้าระหว่างโจทก์จำเลยแล้ว
of 27