คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
จินตา บุณยอาคม

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 811 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 966/2512 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การแก้ไขคำฟ้อง: การลด/เพิ่มทุนทรัพย์/เปลี่ยนแปลงข้อหา ต้องไม่กระทบทุนทรัพย์เดิมและข้อหาเดิม
โจทก์อาจแก้ไขคำฟ้องที่เสนอต่อศาลแต่แรกได้โดยเพิ่มหรือลดจำนวนทุนทรัพย์หรือราคาทรัพย์สินที่พิพาทในฟ้องเดิม หรือสละข้อหาในฟ้องเดิมเสียบ้างข้อ หรือเพิ่มเติมฟ้องเดิมให้บริบูรณ์ โดยวิธีเสนอคำฟ้องเพิ่มเติม
คำฟ้องเดิมของโจทก์เรียกร้องให้จำเลยใช้เงินแก่โจทก์เป็นค่าสินไหมทดแทน กรณีละเมิดที่จำเลยฟ้องโจทก์เรียกหนี้ 6,460 บาท ซึ่งโจทก์ได้ชำระหนี้ให้จำเลยด้วยเช็คของผู้มีชื่อไปแล้ว เป็นเหตุให้โจทก์แพ้คดีต้องเสียหาย ถูกยึดทรัพย์ เสียค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดี และต้องเสียเกียรติยศชื่อเสียง รวมค่าเสียหายทั้งสิ้น 3 แสนบาทเศษ ภายหลังโจทก์ยื่นคำร้องขอแก้ไขคำฟ้องเดิมว่า โจทก์ขอถอนคำขอที่ให้บังคับจำเลยใช้ค่าสินไหมทดแทนในฟ้องเดิมเสียทั้งสิ้น โดยมีคำขอใหม่ให้บังคับจำเลยใช้เงินค่าเช็ค 6,460 บาท ซึ่งโจทก์ตั้งข้อหาว่าจำเลยยักยอกเช็คที่โจทก์นำเอาไปเป็นประกันชำระหนี้ไปเพื่อประโยชน์ส่วนตัวหรือของผู้อื่น อันจำเลยจะต้องรับผิดชอบใช้เงินแทนให้โจทก์ จำนวนทุนทรัพย์ตามคำร้องดังกล่าวมิได้รวมอยู่ในจำนวนค่าสินไหมทดแทนตามคำฟ้องเดิม แต่เป็นการตั้งทุนทรัพย์เรียกร้องขึ้นใหม่ จึงมิใช่เป็นการขอลดจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทในฟ้องเดิมตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 179 (1) และการที่โจทก์ตั้งข้อหาว่า จำเลยยักยอกเช็ค ขอให้จำเลยใช้เงินค่าเช็คนั้น ก็เป็นการตั้งข้อหาใหม่เปลี่ยนแปลงข้อหาในฟ้องเดิม มิใช่เป็นการสละข้อหาในฟ้องเดิมเสียบางข้อ หรือเพิ่มเติมฟ้องเดิมให้บริบูรณ์ โดยวิธีเสนอคำฟ้องเพิ่มเติมตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 179 (2)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 966/2512

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การแก้ไขคำฟ้อง: การลด/เพิ่มทุนทรัพย์/เปลี่ยนข้อหา ต้องไม่ขัดประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 179
โจทก์อาจแก้ไขคำฟ้องที่เสนอต่อศาลแต่แรกได้โดยเพิ่มหรือลดจำนวนทุนทรัพย์หรือราคาทรัพย์สินที่พิพาทในฟ้องเดิม. หรือสละข้อหาในฟ้องเดิมเสียบางข้อ. หรือเพิ่มเติมฟ้องเดิมให้บริบูรณ์. โดยวิธีเสนอคำฟ้องเพิ่มเติม.
คำฟ้องเดิมของโจทก์เรียกร้องให้จำเลยใช้เงินแก่โจทก์เป็นค่าสินไหมทดแทนกรณีละเมิดที่จำเลยฟ้องโจทก์เรียกหนี้6,460 บาท. ซึ่งโจทก์ได้ชำระหนี้ให้จำเลยด้วยเช็คของผู้มีชื่อไปแล้ว. เป็นเหตุให้โจทก์แพ้คดีต้องเสียหายถูกยึดทรัพย์ เสียค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดี และต้องเสียเกียรติยศชื่อเสียง รวมค่าเสียหายทั้งสิ้น 3 แสนบาทเศษ. ภายหลังโจทก์ยื่นคำร้องขอแก้ไขคำฟ้องเดิมว่า โจทก์ขอถอนคำขอที่ให้บังคับจำเลยใช้ค่าสินไหมทดแทนในฟ้องเดิมเสียทั้งสิ้น. โดยมีคำขอใหม่ให้บังคับจำเลยใช้เงินค่าเช็ค6,460 บาท. ซึ่งโจทก์ตั้งข้อหาว่าจำเลยยักยอกเช็คที่โจทก์นำเอาไปเป็นประกันชำระหนี้ไปเพื่อประโยชน์ส่วนตัวหรือของผู้อื่น อันจำเลยจะต้องรับผิดชอบใช้เงินแทนให้โจทก์.จำนวนทุนทรัพย์ตามคำร้องดังกล่าวมิได้รวมอยู่ในจำนวนค่าสินไหมทดแทนตามคำฟ้องเดิม. แต่เป็นการตั้งทุนทรัพย์เรียกร้องขึ้นใหม่จึงมิใช่เป็นการขอลดจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทในฟ้องเดิมตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 179(1). และการที่โจทก์ตั้งข้อหาว่า จำเลยยักยอกเช็ค ขอให้จำเลยใช้เงินค่าเช็คนั้น. ก็เป็นการตั้งข้อหาใหม่เปลี่ยนแปลงข้อหาในฟ้องเดิม. มิใช่เป็นการสละข้อหาในฟ้องเดิมเสียบางข้อ หรือเพิ่มเติมฟ้องเดิมให้บริบูรณ์ โดยวิธีเสนอคำฟ้องเพิ่มเติมตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา179(2).

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 962/2512 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การป้องกันตนโดยชอบด้วยกฎหมาย: การใช้อาวุธปืนเพื่อป้องกันภัยคุกคามในเคหสถาน
ผู้ตายและพวกเข้าไปอยู่ใกล้ๆ เรือนจำเลยในยามวิกาลโดยไม่บอกกล่าวเล่าขานแก่จำเลยผู้เป็นเจ้าของบ้านถึงเหตุจำเป็นที่ต้องเข้ามาและกลับใช้อาวุธปืนซึ่งเป็นอาวุธร้ายแรงยิงขึ้นหลายนัดเช่นนี้ ย่อมมีเหตุสมควรให้จำเลยสำคัญผิดคิดว่าผู้ตายและพวกเข้ามาโดยเจตนาประทุษร้ายต่อจำเลยจำต้องยิงไปเพื่อป้องกันตนและทรัพย์สินของจำเลยการกระทำของจำเลยดังกล่าวจึงเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 68,62

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 962/2512

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การป้องกันตนโดยชอบด้วยกฎหมาย: การกระทำเพื่อป้องกันชีวิตและทรัพย์สินเมื่อถูกคุกคามในเคหสถาน
ผู้ตายและพวกเข้าไปอยู่ใกล้ๆ เรือนจำเลยในยามวิกาลโดยไม่บอกกล่าวเล่าขานแก่จำเลยผู้เป็นเจ้าของบ้านถึงเหตุจำเป็นที่ต้องเข้ามา. และกลับใช้อาวุธปืนซึ่งเป็นอาวุธร้ายแรงยิงขึ้นหลายนัด. เช่นนี้ ย่อมมีเหตุสมควรให้จำเลยสำคัญผิดคิดว่าผู้ตายและพวกเข้ามาโดยเจตนาประทุษร้ายต่อจำเลย. จำต้องยิงไปเพื่อป้องกันตนและทรัพย์สินของจำเลย. การกระทำของจำเลยดังกล่าวจึงเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 68,62.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 962/2512 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การป้องกันตนโดยชอบด้วยกฎหมาย: การใช้กำลังป้องกันการบุกรุกในเคหสถานยามวิกาล
ผู้ตายและพวกเข้าไปอยู่ใกล้ ๆ เรือนจำเลยในยามวิกาลโดยไม่บอกกล่าวเล่าขานแก่จำเลยผู้เป็นเจ้าของบ้านถึงเหตุจำเป็นที่ต้องเข้ามา และกลับใช้อาวุธปืนซึ่งเป็นอาวุธร้ายแรงยิงขึ้นหลายนัด เช่นนี้ ย่อมมีเหตุสมควรให้จำเลยสำคัญผิดคิดว่าผู้ตายและพวกเข้ามาโดยเจตนาประทุษร้ายต่อจำเลย จำต้องยิงไปเพื่อป้องกันตนและทรัพย์สินของจำเลย การกระทำของจำเลยดังกล่าวจึงเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 68, 62

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 833/2512 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การสืบพยานบุคคลแสดงความเป็นเจ้าของทรัพย์ที่แท้จริง ไม่ขัดต่อข้อห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94(ข)
การที่โจทก์นำสืบพยานบุคคลว่า ความจริงผู้ซื้อทรัพย์พิพาทคือจำเลย มิใช่ผู้ร้องซึ่งมีชื่อเป็นผู้ซื้อในสัญญาซื้อขายนั้น เป็นการสืบพยานในประเด็นข้อพิพาทระหว่างผู้ร้องกับโจทก์ว่าทรัพย์พิพาทเป็นของผู้ร้องหรือจำเลยที่ 1 ซึ่งไม่มีกฎหมายบังคับให้ต้องมีพยานเอกสารมาแสดง โจทก์จึงนำพยานบุคคลมาสืบถึงความเป็นมาอันแท้จริงเพื่อแสดงว่าทรัพย์พิพาทเป็นของจำเลยได้ กรณีไม่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94 (ข)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 833/2512

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การพิสูจน์ความเป็นเจ้าของทรัพย์สินโดยพยานบุคคล ยึดทรัพย์ได้แม้ไม่มีเอกสาร
การที่โจทก์นำสืบพยานบุคคลว่า ความจริงผู้ซื้อทรัพย์พิพาทคือจำเลย. มิใช่ผู้ร้องซึ่งมีชื่อเป็นผู้ซื้อในสัญญาซื้อขายนั้น. เป็นการสืบพยานในประเด็นข้อพิพาทระหว่างผู้ร้องกับโจทก์ว่าทรัพย์พิพาทเป็นของผู้ร้องหรือจำเลยที่ 1. ซึ่งไม่มีกฎหมายบังคับให้ต้องมีพยานเอกสารมาแสดง.โจทก์จึงนำพยานบุคคลมาสืบถึงความเป็นมาอันแท้จริงเพื่อแสดงว่าทรัพย์พิพาทเป็นของจำเลยได้. กรณีไม่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94(ข).

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 833/2512 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การพิสูจน์ความเป็นเจ้าของทรัพย์สินด้วยพยานบุคคล แม้ไม่มีเอกสารสนับสนุน ย่อมทำได้หากเกี่ยวข้องกับข้อพิพาทระหว่างโจทก์และจำเลย
การที่โจทก์นำสืบพยานบุคคลว่า ความจริงผู้ซื้อทรัพย์พิพาทคือจำเลยมิใช่ผู้ร้องซึ่งมีชื่อเป็นผู้ซื้อในสัญญาซื้อขายนั้นเป็นการสืบพยานในประเด็นข้อพิพาทระหว่างผู้ร้องกับโจทก์ว่าทรัพย์พิพาทเป็นของผู้ร้องหรือจำเลยที่ 1 ซึ่งไม่มีกฎหมายบังคับให้ต้องมีพยานเอกสารมาแสดงโจทก์จึงนำพยานบุคคลมาสืบถึงความเป็นมาอันแท้จริงเพื่อแสดงว่าทรัพย์พิพาทเป็นของจำเลยได้ กรณีไม่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94(ข)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 831/2512 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เหตุสุดวิสัยปล้นกระบือ ผู้เช่าไม่ต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหาย
การเช่ากระบือไปทำนา ถ้ามิได้ตกลงกันไว้เป็นอย่างอื่น ผู้เช่าจะส่งกระบือคืนแก่ผู้ให้เช่าก็ต่อเมื่อได้เก็บเกี่ยวข้าวตลอดจนนำข้าวขึ้นยุ้งเรียบร้อยแล้ว ซึ่งถือว่าเสร็จฤดูทำนา ก่อนถึงกำหนดส่งกระบือคืน คนร้ายได้ปล้นเอากระบือไป สุดวิสัยของผู้เช่าจะปัดป้องขัดขวางได้ ถือว่าความสูญหายของกระบือที่เช่าไม่ใช่ความผิดของผู้เช่า จำเลยผู้เช่าจึงไม่ต้องรับผิดคืนหรือใช้ราคากระบือที่เช่าตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 562

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 831/2512

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความรับผิดของผู้เช่ากระบือเมื่อเกิดเหตุสุดวิสัยก่อนส่งคืน กรณีปล้นทรัพย์
การเช่ากระบือไปทำนา. ถ้ามิได้ตกลงกันไว้เป็นอย่างอื่น. ผู้เช่าจะส่งกระบือคืนแก่ผู้ให้เช่าก็ต่อเมื่อได้เก็บเกี่ยวข้าวตลอดจนนำข้าวขึ้นยุ้งเรียบร้อยแล้ว.ซึ่งถือว่าเสร็จฤดูทำนา. ก่อนถึงกำหนดส่งกระบือคืนคนร้ายได้ปล้นเอากระบือไป สุดวิสัยของผู้เช่าจะปัดป้องขัดขวางได้. ถือว่าความสูญหายของกระบือที่เช่าไม่ใช่ความผิดของผู้เช่า. จำเลยผู้เช่าจึงไม่ต้องรับผิดคืนหรือใช้ราคากระบือที่เช่าตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา562.
of 82