คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
จินตา บุณยอาคม

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 811 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 253/2512 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายจากการบุกรุกเคหสถานและการสำคัญผิดในลักษณะที่สมควรแก่เหตุ
ผู้ตายได้บุกรุกเข้าไปในห้องนอนอันเป็นเคหสถานของจำเลยยามวิกาล อันเป็นการละเมิดกฎหมาย ทำให้จำเลยสำคัญผิดว่าผู้ตายเป็นขโมยหรือคนร้าย เข้าไปทำการประทุษร้ายต่อทรัพย์หรือร่างกายภริยาจำเลยจึงใช้ดุ้นฟืนตีผู้ตายไป 1 ที การที่จำเลยใช้ดุ้นฟืนซึ่งโดยสภาพไม่ใช่อาวุธร้ายแรงตีผู้ตายไปในขณะนั้นเพียงทีเดียวโดยไม่เจาะจง เป็นลักษณะที่กระทำพอสมควรแก่เหตุถือได้ว่าการกระทำของจำเลยเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 68 ประกอบกับมาตรา 62 ด้วย จำเลยไม่มีความผิด

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 253/2512

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายจากการบุกรุกเคหสถานและการสำคัญผิดในลักษณะที่กระทำพอสมควรแก่เหตุ
ผู้ตายได้บุกรุกเข้าไปในห้องนอนอันเป็นเคหสถานของจำเลยยามวิกาล อันเป็นการละเมิดกฎหมาย. ทำให้จำเลยสำคัญผิดว่าผู้ตายเป็นขโมยหรือคนร้าย เข้าไปทำการประทุษร้ายต่อทรัพย์หรือร่างกายภริยาจำเลย. จึงใช้ดุ้นฟืนตีผู้ตายไป 1 ที. การที่จำเลยใช้ดุ้นฟืนซึ่งโดยสภาพไม่ใช่อาวุธร้ายแรงตีผู้ตายไปในขณะนั้นเพียงทีเดียวโดยไม่เจาะจง เป็นลักษณะที่กระทำพอสมควรแก่เหตุ. ถือได้ว่าการกระทำของจำเลยเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 68 ประกอบกับมาตรา 62 ด้วย. จำเลยไม่มีความผิด.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 240/2512 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจตนาออกเช็คสำคัญกว่าการไม่สามารถชำระเงิน แม้เช็คสูญหายหรือถูกนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต
จำเลยออกเช็คเพื่อกู้เงินบุคคลอื่นมาซื้อกระดาษ แต่ยังกู้ไม่ได้จึงเก็บเช็คไว้ในลิ้นชักโต๊ะทำงานต่อมาเช็คนั้นหายไป จำเลยจึงได้บอกกล่าวอายัดเช็คต่อธนาคารมิให้ใช้เงินตามเช็ค และแจ้งความต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจไว้เป็นหลักฐานฉะนั้น แม้เช็คดังกล่าวจะไปตกอยู่แก่ผู้เสียหายซึ่งรับเงินไม่ได้ก็ตาม จำเลยก็หามีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2497 ไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 240/2512

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจตนาออกเช็ค - การพิสูจน์ความผิดฐานออกเช็คโดยไม่มีเจตนาให้ใช้เงิน - การอายัดเช็คและการแจ้งความ
จำเลยออกเช็คเพื่อกู้เงินบุคคลอื่นมาซื้อกระดาษ แต่ยังกู้ไม่ได้จึงเก็บเช็คไว้ในลิ้นชักโต๊ะทำงาน. ต่อมาเช็คนั้นหายไป จำเลยจึงได้บอกกล่าวอายัดเช็คต่อธนาคารมิให้ใช้เงินตามเช็ค และแจ้งความต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจไว้เป็นหลักฐาน.ฉะนั้น แม้เช็คดังกล่าวจะไปตกอยู่แก่ผู้เสียหายซึ่งรับเงินไม่ได้ก็ตาม จำเลยก็หามีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2497 ไม่.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 240/2512 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจตนาออกเช็ค - ความผิด พ.ร.บ.เช็ค - พยานหลักฐานไม่เพียงพอ - ยกฟ้อง
จำเลยออกเช็คเพื่อกู้เงินบุคคลอื่นมาซื้อกระดาษ แต่ยังกู้ไม่ได้ จึงเก็บเช็คไว้ในลิ้นชักโต๊ะทำงาน ต่อมาเช็คนั้นหายไป จำเลยจึงได้บอกกล่าวอายัดเช็คต่อธนาคารมิให้ใช้เงินตามเช็ค และแจ้งความต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจไว้เป็นหลักฐาน ฉะนั้น แม้เช็คดังกล่าวจะไปตกอยู่แก่ผู้เสียหายซึ่งรับเงินไม่ได้ก็ตาม จำเลยก็หามีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2497 ไม่.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 185/2512 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิการรับชำระหนี้ของผู้ค้ำประกันในคดีล้มละลาย: การยื่นคำขอรับชำระหนี้ซ้ำได้เพื่อคุ้มครองสิทธิ
หนี้เงินกู้เป็นหนี้ที่จำเลยได้ทำสัญญาค้ำประกันบริษัทส. ซึ่งได้กู้เงินเจ้าหนี้ไป แต่ปรากฏว่าบริษัท ส.ถูกพิพากษาให้ล้มละลาย เจ้าหนี้ก็ได้ยื่นคำขอรับชำระหนี้เอาจากกองทรัพย์สินของบริษัท ส. และศาลได้สั่งให้ได้รับชำระหนี้เต็มจำนวน ดังนี้การที่ศาลมีคำสั่งให้ผู้ขอรับชำระหนี้ในคดีแดงที่ 99/2507 ซึ่งบริษัท ส. เป็นลูกหนี้และล้มละลายให้ได้รับชำระหนี้นั้นมีผลเพียงให้ผู้ขอรับชำระหนี้มีสิทธิที่จะได้รับชำระหนี้เต็มจำนวนที่ได้ยื่นขอรับชำระหนี้เท่านั้น ซึ่งผู้ขอรับชำระหนี้ยังไม่ได้รับชำระหนี้รายนี้เลย จำเลยซึ่งเป็นผู้ค้ำประกันลูกหนี้ผู้ล้มละลายมีหน้าที่ผูกพันตนต่อเจ้าหนี้เพื่อชำระหนี้ในเมื่อลูกหนี้ไม่สามารถชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้เต็มตามจำนวนที่เป็นหนี้ โดยผู้ขอรับชำระหนี้มีสิทธิเรียกร้องให้จำเลยชำระหนี้ได้เต็มตามจำนวนตามอำนาจของเจ้าหนี้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 194 และเมื่อปรากฏว่าจำเลยซึ่งเป็นผู้ค้ำประกันถูกศาลพิพากษาให้เป็นบุคคลล้มละลาย โดยหนี้นั้นลูกหนี้ยังไม่ได้ชำระหนี้แก่เจ้าหนี้ ประกอบกับพระราชบัญญัติล้มละลายมาตรา 91 ได้บัญญัติให้เจ้าหนี้ซึ่งจะขอรับชำระหนี้ในคดีล้มละลายต้องยื่นคำขอต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ภายในกำหนดเวลา 2 เดือน นับแต่วันโฆษณาคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด ผู้ขอรับชำระหนี้จึงมีสิทธิยื่นคำขอรับชำระหนี้ในคดีนี้ได้อีกในฐานะจำเลยผู้ล้มละลายเป็นผู้ค้ำประกันลูกหนี้ผู้ล้มละลายอีกคดีหนึ่งอยู่ ถ้าจะให้ผู้ขอรับชำระหนี้รอไว้จนกว่าจะได้รับส่วนแบ่งชำระหนี้จากคดีล้มละลายแดงที่ 99/2507 เสียก่อนก็จะพ้นกำหนดเวลายื่นคำขอรับชำระหนี้ในคดีนี้ผู้ขอรับชำระหนี้ไม่อาจจะยื่นคำขอรับชำระหนี้ได้ ทำให้ผู้ขอรับชำระหนี้เสียหายและลบล้างอำนาจของเจ้าหนี้ซึ่งมีอยู่ ฉะนั้น ผู้ขอรับชำระหนี้จึงมีสิทธิยื่นคำขอรับชำระหนี้ในคดีนี้ได้อีก แต่ผู้ขอรับชำระหนี้มีสิทธิได้รับชำระหนี้ในคดีนี้และคดีแดงที่ 99/2507 รวม 2 คดีไม่เกินจำนวนเงินตามที่เป็นเจ้าหนี้อยู่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 185/2512 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิการเรียกร้องหนี้จากผู้ค้ำประกันในคดีล้มละลาย: ยื่นคำขอรับชำระหนี้ได้อีก แม้เคยได้รับชำระหนี้บางส่วน
หนี้เงินกู้เป็นหนี้ที่จำเลยได้ทำสัญญาค้ำประกันบริษัทส.ซึ่งได้กู้เงินเจ้าหนี้ไปแต่ปรากฏว่าบริษัท ส. ถูกพิพากษาให้ล้มละลายเจ้าหนี้ก็ได้ยื่นคำขอรับชำระหนี้เอาจากกองทรัพย์สินของบริษัท ส. และศาลได้สั่งให้ได้รับชำระหนี้เต็มจำนวนดังนี้การที่ศาลมีคำสั่งให้ผู้ขอรับชำระหนี้ในคดีแดงที่ 99/2507 ซึ่งบริษัท ส. เป็นลูกหนี้และล้มละลายให้ได้รับชำระหนี้นั้นมีผลเพียงให้ผู้ขอรับชำระหนี้มีสิทธิที่จะได้รับชำระหนี้เต็มจำนวนที่ได้ยื่นขอรับชำระหนี้เท่านั้น ซึ่งผู้ขอรับชำระหนี้ยังไม่ได้รับชำระหนี้รายนี้เลยจำเลยซึ่งเป็นผู้ค้ำประกันลูกหนี้ผู้ล้มละลายมีหน้าที่ผูกพันตนต่อเจ้าหนี้เพื่อชำระหนี้ในเมื่อลูกหนี้ไม่สามารถชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้เต็มตามจำนวนที่เป็นหนี้ โดยผู้ขอรับชำระหนี้มีสิทธิเรียกร้องให้จำเลยชำระหนี้ได้เต็มตามจำนวนตามอำนาจของเจ้าหนี้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 194 และเมื่อปรากฏว่าจำเลยซึ่งเป็นผู้ค้ำประกันถูกศาลพิพากษาให้เป็นบุคคลล้มละลาย โดยหนี้นั้นลูกหนี้ยังไม่ได้ชำระหนี้แก่เจ้าหนี้ประกอบกับพระราชบัญญัติล้มละลาย มาตรา 91 ได้บัญญัติให้เจ้าหนี้ซึ่งจะขอรับชำระหนี้ในคดีล้มละลายต้องยื่นคำขอต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ภายในกำหนดเวลา 2 เดือน นับแต่วันโฆษณาคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดผู้ขอรับชำระหนี้จึงมีสิทธิยื่นคำขอรับชำระหนี้ในคดีนี้ได้อีกในฐานะจำเลยผู้ล้มละลายเป็นผู้ค้ำประกันลูกหนี้ผู้ล้มละลายอีกคดีหนึ่งอยู่ถ้าจะให้ผู้ขอรับชำระหนี้รอไว้จนกว่าจะได้รับส่วนแบ่งชำระหนี้จากคดีล้มละลายแดงที่99/2507 เสียก่อนก็จะพ้นกำหนดเวลายื่นคำขอรับชำระหนี้ในคดีนี้ผู้ขอรับชำระหนี้ไม่อาจจะยื่นคำขอรับชำระหนี้ได้ทำให้ผู้ขอรับชำระหนี้เสียหายและลบล้างอำนาจของเจ้าหนี้ซึ่งมีอยู่ฉะนั้น ผู้ขอรับชำระหนี้จึงมีสิทธิยื่นคำขอรับชำระหนี้ในคดีนี้ได้อีกแต่ผู้ขอรับชำระหนี้มีสิทธิได้รับชำระหนี้ในคดีนี้และคดีแดงที่ 99/2507 รวม 2 คดีไม่เกินจำนวนเงินตามที่เป็นเจ้าหนี้อยู่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 185/2512

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิการรับชำระหนี้ของผู้ค้ำประกันในคดีล้มละลาย: ยื่นคำขอได้แม้ลูกหนี้ได้รับชำระหนี้บางส่วน
หนี้เงินกู้เป็นหนี้ที่จำเลยได้ทำสัญญาค้ำประกันบริษัทส.ซึ่งได้กู้เงินเจ้าหนี้ไป.แต่ปรากฏว่าบริษัทส.ถูกพิพากษาให้ล้มละลาย. เจ้าหนี้ก็ได้ยื่นคำขอรับชำระหนี้เอาจากกองทรัพย์สินของบริษัท ส. และศาลได้สั่งให้ได้รับชำระหนี้เต็มจำนวน. ดังนี้การที่ศาลมีคำสั่งให้ผู้ขอรับชำระหนี้ในคดีแดงที่ 99/2507 ซึ่งบริษัท ส. เป็นลูกหนี้และล้มละลายให้ได้รับชำระหนี้นั้นมีผลเพียงให้ผู้ขอรับชำระหนี้มีสิทธิที่จะได้รับชำระหนี้เต็มจำนวนที่ได้ยื่นขอรับชำระหนี้เท่านั้น. ซึ่งผู้ขอรับชำระหนี้ยังไม่ได้รับชำระหนี้รายนี้เลย. จำเลยซึ่งเป็นผู้ค้ำประกันลูกหนี้ผู้ล้มละลายมีหน้าที่ผูกพันตนต่อเจ้าหนี้เพื่อชำระหนี้.ในเมื่อลูกหนี้ไม่สามารถชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้เต็มตามจำนวนที่เป็นหนี้. โดยผู้ขอรับชำระหนี้มีสิทธิเรียกร้องให้จำเลยชำระหนี้ได้เต็มตามจำนวนตามอำนาจของเจ้าหนี้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 194. และเมื่อปรากฏว่าจำเลยซึ่งเป็นผู้ค้ำประกันถูกศาลพิพากษาให้เป็นบุคคลล้มละลาย โดยหนี้นั้น.ลูกหนี้ยังไม่ได้ชำระหนี้แก่เจ้าหนี้. ประกอบกับพระราชบัญญัติล้มละลาย มาตรา 91 ได้บัญญัติให้เจ้าหนี้ซึ่งจะขอรับชำระหนี้ในคดีล้มละลายต้องยื่นคำขอต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ภายในกำหนดเวลา 2 เดือน นับแต่วันโฆษณาคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด. ผู้ขอรับชำระหนี้จึงมีสิทธิยื่นคำขอรับชำระหนี้ในคดีนี้ได้อีกในฐานะจำเลยผู้ล้มละลายเป็นผู้ค้ำประกันลูกหนี้ผู้ล้มละลายอีกคดีหนึ่งอยู่. ถ้าจะให้ผู้ขอรับชำระหนี้รอไว้จนกว่าจะได้รับส่วนแบ่งชำระหนี้จากคดีล้มละลายแดงที่ 99/2507 เสียก่อน.ก็จะพ้นกำหนดเวลายื่นคำขอรับชำระหนี้ในคดีนี้.ผู้ขอรับชำระหนี้ไม่อาจจะยื่นคำขอรับชำระหนี้ได้. ทำให้ผู้ขอรับชำระหนี้เสียหายและลบล้างอำนาจของเจ้าหนี้ซึ่งมีอยู่. ฉะนั้น ผู้ขอรับชำระหนี้จึงมีสิทธิยื่นคำขอรับชำระหนี้ในคดีนี้ได้อีก. แต่ผู้ขอรับชำระหนี้มีสิทธิได้รับชำระหนี้ในคดีนี้และคดีแดงที่ 99/2507 รวม 2 คดีไม่เกินจำนวนเงินตามที่เป็นเจ้าหนี้อยู่.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 116/2512

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การริบเงินมัดจำสัญญาเช่า: สัญญาเช่าระบุเงื่อนไขคืนเงินมัดจำเมื่อสัญญาครบกำหนด การเลิกสัญญาก่อนกำหนดทำให้จำเลยมีสิทธิริบได้
โจทก์เช่าบ้านจากจำเลยมีกำหนด 3 ปี. สัญญาเช่าข้อ3 มีข้อความว่า'ผู้เช่า(โจทก์)ได้ชำระเงินค่ามัดจำก่อนทำสัญญาเป็นจำนวน 9,000 บาท ให้ผู้ให้เช่ายึดถือไว้.และผู้ให้เช่าจะคืนเงินมัดจำครบตามจำนวนให้แก่ผู้ให้เช่าในเมื่อสัญญาสิ้นสุดลงฯลฯ'. ดังนี้ เห็นได้ว่า จำเลยจะต้องคืนเงินมัดจำให้โจทก์ต่อเมื่อสัญญาเช่าสิ้นสุดลง คือเมื่อโจทก์เช่าบ้านจำเลยครบกำหนด 3 ปี. แต่โจทก์เช่าบ้านจำเลยได้เพียง 3 เดือน ก็มีหนังสือบอกเลิกการเช่าไปยังจำเลย. โดยอ้างเหตุผลว่า โจทก์(สมาคม)ได้ขออนุญาตต่อทางราชการตำรวจหลายวันแล้ว. แต่มิได้รับอนุญาตให้สมาคมย้ายไปอยู่ที่บ้านจำเลยได้ขอเลิกสัญญาเช่า. ซึ่งข้ออ้างดังกล่าวโจทก์จำเลยไม่ได้ตกลงกันไว้ในสัญญา. โจทก์จะสืบเพิ่มเติมสัญญาเช่าไม่ได้. การที่โจทก์เลิกสัญญาก่อนครบกำหนด จึงเป็นความผิดของโจทก์ และเป็นการผิดสัญญาเช่าข้อ 3. จำเลยมีสิทธิริบเงินมัดจำได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 378(2). เพราะเป็นเงินมัดจำในการที่โจทก์จะต้องปฏิบัติตามสัญญาเช่า. สิทธิของจำเลยที่จะริบเงินมัดจำของโจทก์ เกิดจากการที่โจทก์เลิกสัญญาโดยความผิดของโจทก์. ซึ่งกฎหมายดังกล่าวบัญญัติให้จำเลยริบได้ไว้แล้ว. โจทก์จำเลยไม่จำต้องตกลงในเรื่องริบนี้อีก. ตามสัญญาข้อ 3 ถือว่า โจทก์จำเลยตกลงกันแล้วว่าจำเลยจะคืนเงินมัดจำให้โจทก์ต่อเมื่อโจทก์ไม่ได้ผิดสัญญา. เมื่อโจทก์ผิดสัญญา จำเลยจึงมีสิทธิริบเงินมัดจำได้.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 116/2512 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การริบเงินมัดจำสัญญาเช่า: ผู้เช่าเลิกสัญญาก่อนกำหนดด้วยเหตุผลที่ไม่ได้ตกลงกันไว้ จำเลยมีสิทธิริบเงินมัดจำได้
โจทก์เช่าบ้านจากจำเลยมีกำหนด 3 ปี สัญญาเช่าข้อ3 มีข้อความว่า'ผู้เช่า(โจทก์)ได้ชำระเงินค่ามัดจำก่อนทำสัญญาเป็นจำนวน 9,000 บาท ให้ผู้ให้เช่ายึดถือไว้และผู้ให้เช่าจะคืนเงินมัดจำครบตามจำนวนให้แก่ผู้ให้เช่าในเมื่อสัญญาสิ้นสุดลงฯลฯ' ดังนี้ เห็นได้ว่า จำเลยจะต้องคืนเงินมัดจำให้โจทก์ต่อเมื่อสัญญาเช่าสิ้นสุดลง คือเมื่อโจทก์เช่าบ้านจำเลยครบกำหนด 3 ปี แต่โจทก์เช่าบ้านจำเลยได้เพียง 3 เดือน ก็มีหนังสือบอกเลิกการเช่าไปยังจำเลยโดยอ้างเหตุผลว่า โจทก์(สมาคม)ได้ขออนุญาตต่อทางราชการตำรวจหลายวันแล้วแต่มิได้รับอนุญาตให้สมาคมย้ายไปอยู่ที่บ้านจำเลยได้ขอเลิกสัญญาเช่าซึ่งข้ออ้างดังกล่าวโจทก์จำเลยไม่ได้ตกลงกันไว้ในสัญญาโจทก์จะสืบเพิ่มเติมสัญญาเช่าไม่ได้ การที่โจทก์เลิกสัญญาก่อนครบกำหนด จึงเป็นความผิดของโจทก์ และเป็นการผิดสัญญาเช่าข้อ 3 จำเลยมีสิทธิริบเงินมัดจำได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 378(2) เพราะเป็นเงินมัดจำในการที่โจทก์จะต้องปฏิบัติตามสัญญาเช่าสิทธิของจำเลยที่จะริบเงินมัดจำของโจทก์ เกิดจากการที่โจทก์เลิกสัญญาโดยความผิดของโจทก์ซึ่งกฎหมายดังกล่าวบัญญัติให้จำเลยริบได้ไว้แล้วโจทก์จำเลยไม่จำต้องตกลงในเรื่องริบนี้อีก ตามสัญญาข้อ 3 ถือว่า โจทก์จำเลยตกลงกันแล้วว่าจำเลยจะคืนเงินมัดจำให้โจทก์ต่อเมื่อโจทก์ไม่ได้ผิดสัญญาเมื่อโจทก์ผิดสัญญา จำเลยจึงมีสิทธิริบเงินมัดจำได้
of 82