พบผลลัพธ์ทั้งหมด 811 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1747/2511
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิในทรัพย์มรดกหลังขายทอดตลาด: ผู้อ้างสิทธิใหม่ต้องฟ้องคดีใหม่ ไม่สามารถแทรกแซงคดีเดิมได้
ทรัพย์ซึ่งคู่ความในฐานะทายาทพิพาทกันอ้างว่าเป็นมรดกของผู้ตาย. และคู่ความตกลงทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันให้ขายทอดตลาดเอาเงินแบ่งกันในระหว่างคู่ความ. ซึ่งศาลได้พิพากษาตามยอมคดีถึงที่สุดแล้ว. ในชั้นบังคับคดีขายทอดตลาดทรัพย์เพื่อปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความ. บุคคลภายนอกจะร้องขอเข้ามาในคดีอ้างว่ามีส่วนเป็นเจ้าของทรัพย์ที่ขายทอดตลาดอยู่ครึ่งหนึ่ง. และขอรับเงินส่วนแบ่งจากการขายทอดตลาดโดยคู่ความเดิม.ไม่.ยินยอม. หาได้ไม่. เพราะเป็นกรณีที่บุคคลภายนอกนั้นตั้งประเด็นขึ้นใหม่พิพาทกับคู่ความเดิมเกี่ยวกับทรัพย์ซึ่งศาลพิพากษาถึงที่สุดแล้ว.
หากบุคคลภายนอกมีสิทธิในทรัพย์ที่ขายทอดตลาดอย่างไร.หรือถูกโต้แย้งสิทธิตามกฎหมายประการใด ก็ชอบที่จะฟ้องร้องเป็นคดีใหม่.
หากบุคคลภายนอกมีสิทธิในทรัพย์ที่ขายทอดตลาดอย่างไร.หรือถูกโต้แย้งสิทธิตามกฎหมายประการใด ก็ชอบที่จะฟ้องร้องเป็นคดีใหม่.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1746/2511
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
จำเลยใช้เงินยืมรองจ่ายตามหน้าที่ครบถ้วนสมประโยชน์แล้ว ไม่ต้องคืน แม้ไม่ส่งใบสำคัญ
จำเลยรับราชการในตำแหน่งอาจารย์ใหญ่โรงเรียนรัฐบาล ซึ่งมีหน้าที่รับผิดชอบเกี่ยวกับการเงินของโรงเรียน ได้รับอนุมัติจากทางราชการให้ยืมเงินรองจ่ายมาเพื่อใข้จ่ายดำเนินกิจการของโรงเรียนตามหน้าที่ เมื่อจำเลยได้ใช้จ่ายเงินรองจ่ายที่ได้รับอนุมัตินั้นเพื่อกิจการของโรงเรียนไปหมดสิ้นแล้ว โดยมิได้เบียดบังไว้เป็นประโยชน์ส่วนตัว ทั้งทางราชการก็ได้ยอมรับเอาผลงานที่จำเลยได้กระทำไปเรียบร้อยสมประโยชน์แล้ว ไม่เกิดความเสียหายอย่างใด แม้จำเลยจะมิได้ส่งใบสำคัญการจ่ายเงินให้ตรวจสอบตามระเบียบของทางราชการก็เป็นเรื่องจะดำเนินการทางวินัย จำเลยไม่มีหน้าที่ตามกฎหมายที่จะต้องคืนหรือชดใข้เงินรองจ่ายที่ยืมมานั้น
เมื่อจำเลยไม่ต้องรับผิดใช้เงินรองจ่ายคืนปัญหาข้อกฎหมายที่ว่าสิทธิเรียกร้องเงินรองจ่ายคืนขาดอายุความฟ้องร้องแล้วหรือไม่ ย่อมไม่เป็นสารแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัย
เมื่อจำเลยไม่ต้องรับผิดใช้เงินรองจ่ายคืนปัญหาข้อกฎหมายที่ว่าสิทธิเรียกร้องเงินรองจ่ายคืนขาดอายุความฟ้องร้องแล้วหรือไม่ ย่อมไม่เป็นสารแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1674/2511 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิฎีกาของโจทก์เมื่อศาลอุทธรณ์กลับคำสั่งที่ไม่รับคำร้องอนาถาของจำเลย และหลักการพิจารณาคำขออนาถาใหม่
เมื่อจำเลยอุทธรณ์คำสั่งที่ไม่รับคำร้องของจำเลยที่ขอให้ศาลชั้นต้นพิจารณาคำขออุทธรณ์อย่างคนอนาถาของจำเลยใหม่ และศาลอุทธรณ์พิพากษากลับคำสั่งศาลชั้นต้นให้ศาลชั้นต้นรับคำร้อง ดังนี้ โจทก์ซึ่งเป็นคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งก็ย่อมมีสิทธิฎีกาคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 247
ตามคำร้องของจำเลยที่ขอต่อศาลชั้นต้นให้พิจารณาคำขออุทธรณ์อย่างคนอนาถาใหม่ กล่าวว่าจำเลยมีหลักฐานอีกเป็นอันมากที่จะแสดงว่าจำเลยเป็นคนยากจนจริงซึ่งเป็นข้ออ้างว่าจำเลยไม่มีทรัพย์สินพอจะเสียค่าธรรมเนียมศาล ขอให้ศาลพิจารณาคำขอใหม่จึงมีประเด็นชัดแจ้งพอที่ศาลจะหยิบยกขึ้นพิจารณา และมีคำสั่งในข้อนี้ได้แล้ว ส่วนพยานหลักฐานที่จะนำมาแสดงเพิ่มเติมว่าจำเลยเป็นคนยากจนมีอย่างไร ก็เป็นเรื่องที่ศาลจะพึงต้องไต่สวนให้ได้ความต่อไป
คำร้องขอให้ศาลชั้นต้นพิจารณาคำขออุทธรณ์อย่างคนอนาถาใหม่มิใช่เป็นอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นต่อศาลอุทธรณ์ จึงไม่ต้องยื่นภายใน 7 วัน นับแต่วันที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำขออนุญาตอุทธรณ์อย่างคนอนาถาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 156 วรรค 5 และเป็นคำร้องที่ไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียม เพราะเป็นคำร้องขอดำเนินกระบวนพิจารณาเกี่ยวด้วยการดำเนินคดีอนาถา
ตามคำร้องของจำเลยที่ขอต่อศาลชั้นต้นให้พิจารณาคำขออุทธรณ์อย่างคนอนาถาใหม่ กล่าวว่าจำเลยมีหลักฐานอีกเป็นอันมากที่จะแสดงว่าจำเลยเป็นคนยากจนจริงซึ่งเป็นข้ออ้างว่าจำเลยไม่มีทรัพย์สินพอจะเสียค่าธรรมเนียมศาล ขอให้ศาลพิจารณาคำขอใหม่จึงมีประเด็นชัดแจ้งพอที่ศาลจะหยิบยกขึ้นพิจารณา และมีคำสั่งในข้อนี้ได้แล้ว ส่วนพยานหลักฐานที่จะนำมาแสดงเพิ่มเติมว่าจำเลยเป็นคนยากจนมีอย่างไร ก็เป็นเรื่องที่ศาลจะพึงต้องไต่สวนให้ได้ความต่อไป
คำร้องขอให้ศาลชั้นต้นพิจารณาคำขออุทธรณ์อย่างคนอนาถาใหม่มิใช่เป็นอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นต่อศาลอุทธรณ์ จึงไม่ต้องยื่นภายใน 7 วัน นับแต่วันที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำขออนุญาตอุทธรณ์อย่างคนอนาถาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 156 วรรค 5 และเป็นคำร้องที่ไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียม เพราะเป็นคำร้องขอดำเนินกระบวนพิจารณาเกี่ยวด้วยการดำเนินคดีอนาถา
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1674/2511 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิฎีกาคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ที่กลับคำสั่งไม่รับคำร้องขออุทธรณ์อย่างคนอนาถา และการพิจารณาคำร้องใหม่
เมื่อจำเลยอุทธรณ์คำสั่งที่ไม่รับคำร้องของจำเลยที่ขอให้ศาลชั้นต้นพิจารณาคำขออุทธรณ์อย่างคนอนาถาของจำเลยใหม่ และศาลอุทธรณ์พิพากษากลับคำสั่งศาลชั้นต้นให้ศาลชั้นต้นรับคำร้อง ดังนี้โจทก์ซึ่งเป็นคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งก็ย่อมมีสิทธิฎีกาคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 247
ตามคำร้องของจำเลยที่ขอต่อศาลชั้นต้นให้พิจารณาคำขออุทธรณ์อย่างคนอนาถาใหม่ กล่าวว่าจำเลยมีหลักฐานอีกเป็นอันมากที่จะแสดงว่าจำเลยเป็นคนยากจนจริงซึ่งเป็นข้ออ้างว่าจำเลยไม่มีทรัพย์สินพอจะเสียค่าธรรมเนียมศาล ขอให้ศาลพิจารณาคำขอใหม่จึงมีประเด็นชัดแจ้งพอที่ศาลจะหยิบยกขึ้นพิจารณา และมีคำสั่งในข้อนี้ได้แล้ว ส่วนพยานหลักฐานที่จะนำมาแสดงเพิ่มเติมว่าจำเลยเป็นคนยากจนมีอย่างไร ก็เป็นเรื่องที่ศาลจะพึงต้องไต่สวนให้ได้ความต่อไป
คำร้องขอให้ศาลชั้นต้นพิจารณาคำขออุทธรณ์อย่างคนอนาถาใหม่มิใช่เป็นอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นต่อศาลอุทธรณ์ จึงไม่ต้องยื่นภายใน 7 วัน นับแต่วันที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำขออนุญาตอุทธรณ์อย่างคนอนาถาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 156 วรรคห้า และเป็นคำร้องที่ไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียม เพราะเป็นคำร้องขอดำเนินกระบวนพิจารณาเกี่ยวด้วยการดำเนินคดีอนาถา
ตามคำร้องของจำเลยที่ขอต่อศาลชั้นต้นให้พิจารณาคำขออุทธรณ์อย่างคนอนาถาใหม่ กล่าวว่าจำเลยมีหลักฐานอีกเป็นอันมากที่จะแสดงว่าจำเลยเป็นคนยากจนจริงซึ่งเป็นข้ออ้างว่าจำเลยไม่มีทรัพย์สินพอจะเสียค่าธรรมเนียมศาล ขอให้ศาลพิจารณาคำขอใหม่จึงมีประเด็นชัดแจ้งพอที่ศาลจะหยิบยกขึ้นพิจารณา และมีคำสั่งในข้อนี้ได้แล้ว ส่วนพยานหลักฐานที่จะนำมาแสดงเพิ่มเติมว่าจำเลยเป็นคนยากจนมีอย่างไร ก็เป็นเรื่องที่ศาลจะพึงต้องไต่สวนให้ได้ความต่อไป
คำร้องขอให้ศาลชั้นต้นพิจารณาคำขออุทธรณ์อย่างคนอนาถาใหม่มิใช่เป็นอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นต่อศาลอุทธรณ์ จึงไม่ต้องยื่นภายใน 7 วัน นับแต่วันที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำขออนุญาตอุทธรณ์อย่างคนอนาถาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 156 วรรคห้า และเป็นคำร้องที่ไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียม เพราะเป็นคำร้องขอดำเนินกระบวนพิจารณาเกี่ยวด้วยการดำเนินคดีอนาถา
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1674/2511
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิฎีกาคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ที่กลับคำสั่งไม่รับคำร้องขอเป็นคนอนาถา และการพิจารณาคำร้องใหม่
เมื่อจำเลยอุทธรณ์คำสั่งที่ไม่รับคำร้องของจำเลยที่ขอให้ศาลชั้นต้นพิจารณาคำขออุทธรณ์อย่างคนอนาถาของจำเลยใหม่. และศาลอุทธรณ์พิพากษากลับคำสั่งศาลชั้นต้นให้ศาลชั้นต้นรับคำร้อง. ดังนี้โจทก์ซึ่งเป็นคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งก็ย่อมมีสิทธิฎีกาคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 247.
ตามคำร้องของจำเลยที่ขอต่อศาลชั้นต้นให้พิจารณาคำขออุทธรณ์อย่างคนอนาถาใหม่. กล่าวว่าจำเลยมีหลักฐานอีกเป็นอันมากที่จะแสดงว่าจำเลยเป็นคนยากจนจริงซึ่งเป็นข้ออ้างว่าจำเลยไม่มีทรัพย์สินพอจะเสียค่าธรรมเนียมศาล. ขอให้ศาลพิจารณาคำขอใหม่จึงมีประเด็นชัดแจ้งพอที่ศาลจะหยิบยกขึ้นพิจารณา และมีคำสั่งในข้อนี้ได้แล้ว. ส่วนพยานหลักฐานที่จะนำมาแสดงเพิ่มเติมว่าจำเลยเป็นคนยากจนมีอย่างไร. ก็เป็นเรื่องที่ศาลจะพึงต้องไต่สวนให้ได้ความต่อไป.
คำร้องขอให้ศาลชั้นต้นพิจารณาคำขออุทธรณ์อย่างคนอนาถาใหม่.มิใช่เป็นอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นต่อศาลอุทธรณ์. จึงไม่ต้องยื่นภายใน 7 วัน. นับแต่วันที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำขออนุญาตอุทธรณ์อย่างคนอนาถาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 156 วรรค5 และเป็นคำร้องที่ไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียม. เพราะเป็นคำร้องขอดำเนินกระบวนพิจารณาเกี่ยวด้วยการดำเนินคดีอนาถา.
ตามคำร้องของจำเลยที่ขอต่อศาลชั้นต้นให้พิจารณาคำขออุทธรณ์อย่างคนอนาถาใหม่. กล่าวว่าจำเลยมีหลักฐานอีกเป็นอันมากที่จะแสดงว่าจำเลยเป็นคนยากจนจริงซึ่งเป็นข้ออ้างว่าจำเลยไม่มีทรัพย์สินพอจะเสียค่าธรรมเนียมศาล. ขอให้ศาลพิจารณาคำขอใหม่จึงมีประเด็นชัดแจ้งพอที่ศาลจะหยิบยกขึ้นพิจารณา และมีคำสั่งในข้อนี้ได้แล้ว. ส่วนพยานหลักฐานที่จะนำมาแสดงเพิ่มเติมว่าจำเลยเป็นคนยากจนมีอย่างไร. ก็เป็นเรื่องที่ศาลจะพึงต้องไต่สวนให้ได้ความต่อไป.
คำร้องขอให้ศาลชั้นต้นพิจารณาคำขออุทธรณ์อย่างคนอนาถาใหม่.มิใช่เป็นอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นต่อศาลอุทธรณ์. จึงไม่ต้องยื่นภายใน 7 วัน. นับแต่วันที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำขออนุญาตอุทธรณ์อย่างคนอนาถาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 156 วรรค5 และเป็นคำร้องที่ไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียม. เพราะเป็นคำร้องขอดำเนินกระบวนพิจารณาเกี่ยวด้วยการดำเนินคดีอนาถา.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1628/2511 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องซ้ำหรือไม่เมื่ออ้างสิทธิตามพินัยกรรมต่างฉบับของเจ้ามรดกต่างคนกัน ศาลฎีกาเห็นว่าไม่เป็นฟ้องซ้ำ
โจทก์ฟ้องจำเลยขอให้ศาลแสดงว่าที่ดินซึ่งโจทก์ได้มาตามพินัยกรรมของนางสาว ก. เป็นของโจทก์ทั้งหมด ศาลพิพากษาคดีถึงที่สุดให้ยกฟ้องโจทก์ เพราะคดีโจทก์ขาดอายุความเรียกร้องมรดกตามพินัยกรรมของนางสาว ก. โจทก์จึงฟ้องจำเลยให้จัดการจำหน่ายที่ดินดังกล่าวแล้วนำเงินแบ่งให้โจทก์ครึ่งหนึ่งตามพินัยกรรมของนาง ร. การที่โจทก์กลับมาฟ้องจำเลยครั้งหลัง จึงเป็นการฟ้องเรียกที่ดินโดยอ้างสิทธิตามพินัยกรรมของนาง ร. ซึ่งเป็นพินัยกรรมอีกฉบับหนึ่ง มีข้อความแตกต่างกัน เป็นการเรียกร้องเอาทรัพย์ตามพินัยกรรมของเจ้ามรดกต่างคนกัน จึงมิใช่อาศัยเหตุอย่างเดียวกัน ฟ้องโจทก์ไม่เป็นฟ้องซ้ำ (ประชุมใหญ่ครั้งที่ 25/2511)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1628/2511 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องซ้ำหรือไม่เมื่ออ้างสิทธิตามพินัยกรรมของเจ้ามรดกต่างกัน แม้คดีก่อนอ้างพินัยกรรมแล้วขาดอายุความ
โจทก์ฟ้องจำเลยขอให้ศาลแสดงว่าที่ดินซึ่งโจทก์ได้มาตามพินัยกรรมของนางสาว ก.เป็นของโจทก์ทั้งหมด ศาลพิพากษาคดีถึงที่สุดให้ยกฟ้องโจทก์ เพราะคดีโจทก์ขาดอายุความเรียกร้องมรดกตามพินัยกรรมของนางสาว ก. โจทก์จึงฟ้องจำเลยให้จัดการจำหน่ายที่ดินดังกล่าวแล้วนำเงินแบ่งให้โจทก์ครึ่งหนึ่งตามพินัยกรรมของนาง ร. การที่โจทก์กลับมาฟ้องจำเลยครั้งหลัง จึงเป็นการฟ้องเรียกที่ดินโดยอ้างสิทธิตามพินัยกรรมของนาง ร. ซึ่งเป็นพินัยกรรมอีกฉบับหนึ่ง มีข้อความแตกต่างกัน เป็นการเรียกร้องเอาทรัพย์ตามพินัยกรรมของเจ้ามรดกต่างคนกัน จึงมิใช่อาศัยเหตุอย่างเดียวกัน ฟ้องโจทก์ไม่เป็นฟ้องซ้ำ (ประชุมใหญ่ครั้งที่ 25/2511)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1628/2511
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องซ้ำหรือไม่เมื่ออ้างสิทธิตามพินัยกรรมของเจ้ามรดกต่างคนกัน ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าไม่เป็นฟ้องซ้ำ
โจทก์ฟ้องจำเลยขอให้ศาลแสดงว่าที่ดินซึ่งโจทก์ได้มาตามพินัยกรรมของนางสาว ก.เป็นของโจทก์ทั้งหมด. ศาลพิพากษาคดีถึงที่สุดให้ยกฟ้องโจทก์. เพราะคดีโจทก์ขาดอายุความเรียกร้องมรดกตามพินัยกรรมของนางสาว ก.. โจทก์จึงฟ้องจำเลยให้จัดการจำหน่ายที่ดินดังกล่าวแล้วนำเงินแบ่งให้โจทก์ครึ่งหนึ่งตามพินัยกรรมของนาง ร.. การที่โจทก์กลับมาฟ้องจำเลยครั้งหลัง. จึงเป็นการฟ้องเรียกที่ดินโดยอ้างสิทธิตามพินัยกรรมของนาง ร. ซึ่งเป็นพินัยกรรมอีกฉบับหนึ่ง มีข้อความแตกต่างกัน. เป็นการเรียกร้องเอาทรัพย์ตามพินัยกรรมของเจ้ามรดกต่างคนกัน. จึงมิใช่อาศัยเหตุอย่างเดียวกัน. ฟ้องโจทก์ไม่เป็นฟ้องซ้ำ.(ประชุมใหญ่ครั้งที่ 25/2511).
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1601/2511 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับฟังความเสียหายสาหัสจากรายงานแพทย์: ไม่ต้องสืบพยานเพิ่มเติมหากรายงานระบุชัดเจนถึงระยะเวลาพักฟื้น
ตามรายงานชันสูตรบาดแผลของแพทย์ประกอบบันทึกคำฟ้องด้วยวาจาที่อ้างว่า บาดแผลของผู้เสียหายซึ่งได้รับเป็นอันตรายสาหัสนี้ปรากฏว่า ผู้เสียหายได้รับอันตรายถึงกระดูกเชิงกรานขวาหัก กระดูกไหปลาร้าเคลื่อน กระดูกซี่โครงแถวขวาหัก นายแพทย์ผู้ตรวจลงความเห็นว่า จะต้องรักษาประมาณ 35 วัน ดังนี้แม้โจทก์จะนำคดีมาฟ้องหลังเกิดเหตุเพียง 6 วันแต่ตามรายงานชันสูตรบาดแผลของแพทย์ดังกล่าวนี้เป็นที่เห็นได้ว่า ในระหว่างการรักษาตัวประมาณ 35 วันนั้นผู้เสียหายจะต้องป่วยเจ็บด้วยอาการทุกขเวทนาหรือประกอบกรณียกิจตามปกติไม่ได้เกินกว่ายี่สิบวัน ฉะนั้นเมื่อพิจารณาบันทึกคำฟ้องประกอบรายงานชันสูตรบาดแผลของแพทย์ดังกล่าว ก็เพียงพอที่จะรับฟังข้อเท็จจริงได้ว่าผู้เสียหายได้รับอันตรายสาหัสแล้ว โจทก์หาจำเป็นต้องนำพยานสืบประกอบว่า ผู้เสียหายต้องทนทุกขเวทนาประกอบกรณียกิจไม่ได้เกินกว่ายี่สิบวันจริงอีกไม่ (อ้างฎีกาที่ 195/2510)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1601/2511 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับฟังอันตรายสาหัสจากรายงานแพทย์: ไม่จำต้องพยานเพิ่มเติมหากรายงานระบุชัดเจนถึงระยะเวลาพักฟื้น
ตามรายงานชันสูตรบาดแผลของแพทย์ประกอบบันทึกคำฟ้องด้วยวาจาที่อ้างว่า บาดแผลของผู้เสียหายซึ่งได้รับเป็นอันตรายสาหัสนี้ปรากฏว่า ผู้เสียหายได้รับอันตรายถึงกระดูกเชิงกรานขวาหัก กระดูกไหปลาร้าเคลื่อน กระดูกซี่โครงแถวขวาหัก นายแพทย์ผู้ตรวจลงความเห็นว่า จะต้องรักษาประมาณ 35 วัน ดังนี้แม้โจทก์จะนำคดีมาฟ้องหลังเกิดเหตุเพียง 6 วันแต่ตามรายงานชันสูตรบาดแผลของแพทย์ดังกล่าวนี้เป็นที่เห็นได้ว่าในระหว่างการรักษาตัวประมาณ 35 วันนั้นผู้เสียหายจะต้องป่วยเจ็บด้วยอาการทุกขเวทนาหรือประกอบกรณียกิจตามปกติไม่ได้เกินกว่ายี่สิบวัน ฉะนั้นเมื่อพิจารณาบันทึกคำฟ้องประกอบรายงานชันสูตรบาดแผลของแพทย์ดังกล่าว ก็เพียงพอที่จะรับฟังข้อเท็จจริงได้ว่าผู้เสียหายได้รับอันตรายสาหัสแล้ว โจทก์หาจำเป็นต้องนำพยานสืบประกอบว่า ผู้เสียหายต้องทนทุกขเวทนาประกอบกรณียกิจไม่ได้เกินกว่ายี่สิบวันจริงอีกไม่ (อ้างฎีกาที่ 195/2510)