คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
จินตา บุณยอาคม

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 811 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 314/2511 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิดฐานฆ่าคนโดยเจตนา และประเด็นการกระทำโดยทารุณโหดร้ายตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยกระทำผิดเมื่อวันเวลาใดไม่ปรากฏชัดระหว่างวันที่ 27 ตุลาคม 2508 เวลากลางคืนหลังเที่ยงติดต่อกับวันที่ 28 ตุลาคม 2508 เวลากลางคืนก่อนเที่ยงซึ่งหมายถึงเวลากลางคืนของวันที่ 27 ตุลาคม 2508 ตลอดคืน และจำเลยก็นำสืบต่อสู้คดีว่า ในวันที่ 27 ตุลาคม 2508 ตั้งแต่เวลา 17 นาฬิกาจำเลยไปเยี่ยมญาติซึ่งป่วยจนถึงเที่ยงคืนจึงกลับไปอยู่บ้านแสดงว่าจำเลยเข้าใจข้อหาได้ดีว่ากล่าวหาจำเลยกระทำผิดในวันเวลาใด ฟ้องโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม
จำเลยขึ้นไปบนเรือนและใช้ขวานฟันผู้ตายที่คอ ผู้ตายยังไม่ตายทันที เมื่อจำเลยลงจากเรือนผู้ตายไปแล้วผู้ตายร้องครางขึ้นจำเลยจึงย้อนขึ้นไปฟันที่คอผู้ตายอีกครั้งหนึ่งเป็นการฟันซ้ำที่แผลเดิมเพื่อจะให้ผู้ตายถึงแก่ความตาย ยังไม่เข้าลักษณะที่เป็นการฆ่าโดยทารุณโหดร้ายตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289(5)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 314/2511 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความชัดเจนของวันเวลาทำผิดและการพิจารณาความทารุณโหดร้ายในการฆ่า
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยกระทำผิดเมื่อวันเวลาใดไม่ปรากฏชัด ระหว่างวันที่ 27 ตุลาคม 2508 เวลากลางคืนหลังเที่ยงติดต่อกับวันที่ 28 ตุลาคม 2508 เวลากลางคืนก่อนเที่ยง ซึ่งหมายถึงเวลากลางคืนของวันที่ 27 ตุลาคม 2508 ตลอดคืน และจำเลยก็นำสืบต่อสู้คดีว่า ในวันที่ 27 ตุลาคม 2508 ตั้งแต่เวลา 17 นาฬิกา จำเลยไปเยี่ยมญาติซึ่งป่วยจนถึงเที่ยงคืนจึงกลับไปอยู่บ้าน แสดงว่าจำเลยเข้าใจข้อหาได้ดีว่ากล่าวหาจำเลยกระทำผิดในวันเวลาใด ฟ้องโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม
จำเลยขึ้นไปบนเรือนและใช้ขวานฟันผู้ตายที่คอ ผู้ตายยังไม่ตายทันที เมื่อจำเลยลงจากเรือนผู้ตายไปแล้ว ผู้ตายร้องครางขึ้น จำเลยจึงย้อนขึ้นไปพันที่คอผู้ตายอีกครั้งหนึ่ง เป็นการฟันซ้ำที่แผลเดิมเพื่อจะให้ผู้ตายถึงแก่ความตาย ยังไม่เข้าลักษณะที่เป็นการฆ่าโดยทารุณโหดร้ายตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289 (5)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 168/2511

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความรับผิดของผู้จัดการและผู้ช่วยผู้จัดการต่อความเสียหายจากสินค้าขาดหาย อันเกิดจากความประมาทเลินเล่อ
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เป็นผู้จัดการบริษัทโจทก์จำเลยที่ 2 เป็นผู้ช่วยผู้จัดการ. มีหน้าที่ปฏิบัติงานเกี่ยวข้องรับผิดชอบร่วมกันเพื่อจัดการเกี่ยวกับกิจการค้า.ทำบัญชีรักษาผลประโยชน์และทรัพย์สินของบริษัทโจทก์. ระหว่างปฏิบัติหน้าที่ได้ทำให้สินค้าบุหรี่ของบริษัทโจทก์ขาดหายไป. ทั้งนี้ เป็นด้วยการจงใจหรือประมาทเลินเล่อของจำเลยทั้งสองละเลยมิได้จัดการควบคุมดูแลรักษาตามหน้าที่. จำเลยทั้งสองให้การว่า สินค้าบุหรี่ของบริษัทโจทก์มิได้ขาดหาย.หรืออาจจะขาดหายไปก่อนจำเลยเข้ารับตำแหน่งหน้าที่ซึ่งจำเลยไม่รับรู้. ดังนี้ คำให้การของจำเลยเป็นข้อต่อสู้ในตัวว่าจำเลยทั้งสองมิได้ประมาทเลินเล่อทำให้บุหรี่ของบริษัทโจทก์ขาดหาย.
บุหรี่ของบริษัทโจทก์ขาดหายไปเนื่องจากความทุจริตของเจ้าหน้าที่ในบริษัทโจทก์. หากผู้จัดการและผู้ช่วยผู้จัดการบริษัทโจทก์ไม่ปล่อยปละละเลยต่อหน้าที่. ก็ย่อมจะทราบได้ว่าบุหรี่ขาดหายไปจากบัญชี การปล่อยปละละเลยเช่นนี้ถือได้ว่า เป็นการประมาทเลินเล่อทำให้บริษัทโจทก์เสียหายผู้จัดการและผู้ช่วยผู้จัดการบริษัทโจทก์ต้องรับผิด.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 168/2511 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความรับผิดของผู้จัดการ-ผู้ช่วยจัดการต่อการขาดหายของสินค้าบริษัทจากการประมาทเลินเล่อ
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เป็นผู้จัดการบริษัทโจทก์ จำเลยที่ 2 เป็นผู้ช่วยผู้จัดการ มีหน้าที่ปฏิบัติงานเกี่ยวข้องรับผิดชอบร่วมกัน เพื่อจัดการเกี่ยวกับกิจการค้า ทำบัญชีรักษาผลประโยชน์และทรัพย์สินของบริษัทโจทก์ ระหว่างปฏิบัติหน้าที่ได้ทำให้สินค้าบุหรี่ของบริษัทโจทก์ขาดหายไป ทั้งนี้ เป็นด้วยการจงใจหรือประมาทเลินเล่อของจำเลยทั้งสอง ละเลยมิได้จัดการควบคุมดูแลรักษาตามหน้าที่ จำเลยทั้งสองให้การว่า สินค้าบุหรี่ของบริษัทโจทก์มิได้ขาดหาย หรืออาจจะขาดหายไปก่อนจำเลยเข้ารับตำแหน่งหน้าที่ซึ่งจำเลยไม่รับรู้ดังนี้ คำให้การของจำเลยเป็นข้อต่อสู้ในตัวว่าจำเลยทั้งสองมิได้ประมาทเลินเล่อทำให้บุหรี่ของบริษัทโจทก์ขาดหาย
บุหรี่ของบริษัทโจทก์ขาดหายไปเนื่องจากความทุจริตของเจ้าหน้าที่ในบริษัทโจทก์ หากผู้จัดการและผู้ช่วยผู้จัดการบริษัทโจทก์ไม่ปล่อยปละละเลยต่อหน้าที่ ก็ย่อมจะทราบได้ว่าบุหรี่ขาดหายไปจากบัญชี การปล่อยปละละเลยเช่นนี้ถือได้ว่า เป็นการประมาทเลินเล่อทำให้บริษัทโจทก์เสียหาย ผู้จัดการและผู้ช่วยผู้จัดการบริษัทโจทก์ต้องรับผิด

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 168/2511 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความรับผิดของผู้จัดการและผู้ช่วยผู้จัดการต่อการขาดหายของสินค้า หากละเลยหน้าที่ตรวจสอบ
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เป็นผู้จัดการบริษัทโจทก์จำเลยที่ 2 เป็นผู้ช่วยผู้จัดการ มีหน้าที่ปฏิบัติงานเกี่ยวข้องรับผิดชอบร่วมกันเพื่อจัดการเกี่ยวกับกิจการค้าทำบัญชีรักษาผลประโยชน์และทรัพย์สินของบริษัทโจทก์ระหว่างปฏิบัติหน้าที่ได้ทำให้สินค้าบุหรี่ของบริษัทโจทก์ขาดหายไป ทั้งนี้ เป็นด้วยการจงใจหรือประมาทเลินเล่อของจำเลยทั้งสองละเลยมิได้จัดการควบคุมดูแลรักษาตามหน้าที่จำเลยทั้งสองให้การว่า สินค้าบุหรี่ของบริษัทโจทก์มิได้ขาดหายหรืออาจจะขาดหายไปก่อนจำเลยเข้ารับตำแหน่งหน้าที่ซึ่งจำเลยไม่รับรู้ ดังนี้ คำให้การของจำเลยเป็นข้อต่อสู้ในตัวว่าจำเลยทั้งสองมิได้ประมาทเลินเล่อทำให้บุหรี่ของบริษัทโจทก์ขาดหาย
บุหรี่ของบริษัทโจทก์ขาดหายไปเนื่องจากความทุจริตของเจ้าหน้าที่ในบริษัทโจทก์ หากผู้จัดการและผู้ช่วยผู้จัดการบริษัทโจทก์ไม่ปล่อยปละละเลยต่อหน้าที่ก็ย่อมจะทราบได้ว่าบุหรี่ขาดหายไปจากบัญชี การปล่อยปละละเลยเช่นนี้ถือได้ว่า เป็นการประมาทเลินเล่อทำให้บริษัทโจทก์เสียหายผู้จัดการและผู้ช่วยผู้จัดการบริษัทโจทก์ต้องรับผิด

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 111/2511 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเรียกร้องค่าชดใช้จากผู้ขายเมื่อการซื้อขายไม่สมบูรณ์ และการรับช่วงสิทธิเรียกร้องจากผู้ซื้อรายก่อน
ทำสัญญาจะซื้อขายที่ดิน ผู้ขายมอบที่ดินให้ผู้ซื้อครอบครองผู้ซื้อได้ลงทุนทำประโยชน์ในที่ดินแล้ว ต่อมาผู้ขายไม่สามารถโอนขายที่ดินให้ผู้ซื้อได้เมื่อผู้ซื้อต้องส่งมอบที่ดินคืนผู้ขายกรณีต้องบังคับตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1376 ซึ่งให้นำบทบัญญัติว่าด้วยลาภมิควรได้มาใช้ผู้ซื้อจึงเป็นเจ้าหนี้เรียกร้องเอาค่าใช้จ่ายดังกล่าวในฐานะที่เป็นลาภมิควรได้จาก(ผู้ขาย) จำเลยได้
โจทก์ซึ่งเป็นผู้ซื้อคนใหม่ ได้จ่ายเงินค่าที่ดินและค่าใช้จ่ายในการทำที่ดินให้เป็นที่สวนให้แก่ผู้ซื้อ จึงเป็นการที่โจทก์ผู้มีส่วนได้เสียได้เข้ามาใช้หนี้แทนจำเลย โจทก์จึงเป็นผู้เข้ารับช่วงสิทธิเรียกร้องของผู้ซื้อมีสิทธิฟ้องเรียกค่าใช้จ่ายที่ผู้ซื้อทำให้ที่ดินรายนี้มีราคาเพิ่มขึ้นจากจำเลยได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 111/2511

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ลาภมิควรได้จากการปรับปรุงที่ดินก่อนการซื้อขายที่ตกเป็นโมฆะ สิทธิเรียกร้องของผู้รับช่วงสิทธิ
ทำสัญญาจะซื้อขายที่ดิน ผู้ขายมอบที่ดินให้ผู้ซื้อครอบครอง. ผู้ซื้อได้ลงทุนทำประโยชน์ในที่ดินแล้ว. ต่อมาผู้ขายไม่สามารถโอนขายที่ดินให้ผู้ซื้อได้. เมื่อผู้ซื้อต้องส่งมอบที่ดินคืนผู้ขาย. กรณีต้องบังคับตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1376 ซึ่งให้นำบทบัญญัติว่าด้วยลาภมิควรได้มาใช้. ผู้ซื้อจึงเป็นเจ้าหนี้เรียกร้องเอาค่าใช้จ่ายดังกล่าวในฐานะที่เป็นลาภมิควรได้จาก(ผู้ขาย) จำเลยได้.
โจทก์ซึ่งเป็นผู้ซื้อคนใหม่ ได้จ่ายเงินค่าที่ดินและค่าใช้จ่ายในการทำที่ดินให้เป็นที่สวนให้แก่ผู้ซื้อ. จึงเป็นการที่โจทก์ผู้มีส่วนได้เสียได้เข้ามาใช้หนี้แทนจำเลย. โจทก์จึงเป็นผู้เข้ารับช่วงสิทธิเรียกร้องของผู้ซื้อ. มีสิทธิฟ้องเรียกค่าใช้จ่ายที่ผู้ซื้อทำให้ที่ดินรายนี้มีราคาเพิ่มขึ้นจากจำเลยได้.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 111/2511 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ลาภมิควรได้จากการปรับปรุงที่ดินก่อนสัญญาซื้อขายไม่สมบูรณ์ ผู้ซื้อรายใหม่รับช่วงสิทธิเรียกร้อง
ทำสัญญาจะซื้อขายที่ดิน ผู้ขายมอบที่ดินให้ผู้ซื้อครอบครอง ผู้ซื้อได้ลงทุนทำประโยชน์ในที่ดินแล้ว ต่อมาผู้ขายไม่สามารถโอนขายที่ดินให้ผู้ซื้อได้ เมื่อผู้ซื้อต้องส่งมอบที่ดินคืนผู้ขาย กรณีต้องบังคับตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1376 ซึ่งให้นำบทบัญญัติว่าด้วยลาภมิควรได้มาใช้ ผู้ซื้อจึงเป็นเจ้าหนี้เรียกร้องเอาค่าใช้จ่ายดังกล่าวในฐานะที่เป็นลาภมิควรได้จาก (ผู้ขาย) จำเลยได้
โจทก์ซึ่งเป็นผู้ซื้อคนใหม่ ได้จ่ายเงินค่าที่ดินและค่าใช้จ่ายในการทำที่ดินให้เป็นที่สวนให้แก่ผู้ซื้อ จึงเป็นการที่โจทก์ผู้มีส่วนได้เสียได้เข้ามาใช้หนี้แทนจำเลย โจทก์จึงเป็นผู้เข้ารับช่วงสิทธิเรียกร้องของผู้ซื้อ มีสิทธิฟ้องเรียกค่าใช้จ่ายที่ผู้ซื้อทำให้ที่ดินรายนี้มีราคาเพิ่มขึ้นจากจำเลยได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 99-101/2511 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ขอบเขตอำนาจประกาศคณะปฏิวัติฉบับที่ 19 และการนิยามค่าจ้าง รวมถึงค่าล่วงเวลา
ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 19 ข้อ 2 ที่ให้กระทรวงมหาดไทยมีอำนาจกำหนดการจ่ายค่าจ้างของลูกจ้างนั้น คำว่า'ค่าจ้าง' มิได้มีบทนิยามไว้ จึงต้องเข้าใจตามความหมายสามัญคือหมายถึงสินจ้างที่นายจ้างจ่ายให้แก่ลูกจ้างตลอดเวลาที่ลูกจ้างทำงานให้ หรือนัยหนึ่งหมายถึงสินจ้างที่ให้ตอบแทนการทำงานของลูกจ้าง
ประกาศของกระทรวงมหาดไทยที่ออกโดยอาศัยอำนาจตามความในข้อ2 แห่งประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 19 ได้กำหนดบทนิยามคำว่า 'ค่าจ้าง''ค่าล่วงเวลา'และ'ค่าล่วงเวลาในวันหยุด' ขึ้นเพื่อสะดวกแก่การดำเนินการให้เป็นไปตามประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 19 ในส่วนที่เกี่ยวกับการจ่ายค่าจ้างโดยจำแนกชื่อค่าจ้างหรือสินจ้างที่นายจ้างจ่ายให้แก่ลูกจ้างและหลักเกณฑ์การจ่ายต่างกันไปตามเวลาหรือวันที่ลูกจ้างทำงานให้ คำว่า 'ค่าล่วงเวลา'และ'ค่าล่วงเวลาในวันหยุด'เป็นค่าจ้างหรือสินจ้างที่นายจ้างจ่ายให้แก่ลูกจ้างที่ทำงานเกินเวลาปกติ หรือทำงานในวันหยุดในอัตราพิเศษ อันมีลักษณะและหลักเกณฑ์ในการจ่ายต่างกับคำว่า 'ค่าจ้าง' ตามที่กำหนดไว้ในประกาศของกระทรวงมหาดไทยส่วนที่บทนิยามคำว่า 'ค่าจ้าง'ตามประกาศของกระทรวงมหาดไทยไม่รวม'ค่าล่วงเวลา'และ 'ค่าล่วงเวลาในวันหยุด' เพราะได้มีบทนิยามไว้อีกส่วนหนึ่งต่างหาก ฉะนั้น คำว่า 'ค่าล่วงเวลา' และ'ค่าล่วงเวลาในวันหยุด' จึงเป็นค่าจ้างตามความมุ่งหมายในประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 19 ประกาศของกระทรวงมหาดไทยที่กำหนดการปฏิบัติในเรื่องการจ่ายค่าจ้างโดยจำแนกชื่อสินจ้างต่างกันไปจึงไม่ได้ออกนอกเหนืออำนาจที่ประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 19 กำหนดให้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 99-101/2511

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจกระทรวงมหาดไทยในการกำหนดค่าจ้างและค่าล่วงเวลาตามประกาศคณะปฏิวัติฉบับที่ 19
ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 19 ข้อ 2 ที่ให้กระทรวงมหาดไทยมีอำนาจกำหนดการจ่ายค่าจ้างของลูกจ้างนั้น. คำว่า'ค่าจ้าง' มิได้มีบทนิยามไว้ จึงต้องเข้าใจตามความหมายสามัญ. คือหมายถึงสินจ้างที่นายจ้างจ่ายให้แก่ลูกจ้างตลอดเวลาที่ลูกจ้างทำงานให้. หรือนัยหนึ่งหมายถึงสินจ้างที่ให้ตอบแทนการทำงานของลูกจ้าง.
ประกาศของกระทรวงมหาดไทยที่ออกโดยอาศัยอำนาจตามความในข้อ2 แห่งประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 19 ได้กำหนดบทนิยามคำว่า 'ค่าจ้าง''ค่าล่วงเวลา'และ'ค่าล่วงเวลาในวันหยุด'ขึ้นเพื่อสะดวกแก่การดำเนินการให้เป็นไปตามประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 19 ในส่วนที่เกี่ยวกับการจ่ายค่าจ้างโดยจำแนกชื่อค่าจ้างหรือสินจ้างที่นายจ้างจ่ายให้แก่ลูกจ้าง. และหลักเกณฑ์การจ่ายต่างกันไปตามเวลาหรือวันที่ลูกจ้างทำงานให้ คำว่า 'ค่าล่วงเวลา'และ'ค่าล่วงเวลาในวันหยุด'เป็นค่าจ้างหรือสินจ้างที่นายจ้างจ่ายให้แก่ลูกจ้างที่ทำงานเกินเวลาปกติ หรือทำงานในวันหยุดในอัตราพิเศษ. อันมีลักษณะและหลักเกณฑ์ในการจ่ายต่างกับคำว่า 'ค่าจ้าง' ตามที่กำหนดไว้ในประกาศของกระทรวงมหาดไทย. ส่วนที่บทนิยามคำว่า 'ค่าจ้าง'ตามประกาศของกระทรวงมหาดไทยไม่รวม.'ค่าล่วงเวลา'และ'ค่าล่วงเวลาในวันหยุด' เพราะได้มีบทนิยามไว้อีกส่วนหนึ่งต่างหาก ฉะนั้น คำว่า 'ค่าล่วงเวลา' และ'ค่าล่วงเวลาในวันหยุด' จึงเป็นค่าจ้างตามความมุ่งหมายในประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 19 ประกาศของกระทรวงมหาดไทยที่กำหนดการปฏิบัติในเรื่องการจ่ายค่าจ้างโดยจำแนกชื่อสินจ้างต่างกันไป. จึงไม่ได้ออกนอกเหนืออำนาจที่ประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 19 กำหนดให้.
of 82