พบผลลัพธ์ทั้งหมด 811 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1267/2517
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ตั๋วสัญญาใช้เงินมีคำมั่นสัญญาที่แน่นอน ผู้รับสลักหลังไม่มีสิทธิฟ้องเมื่อตั๋วถูกยกเลิกและไม่มีการสลักหลังใหม่
กระทรวงกลาโหมจ้างเหมาให้จำเลยที่ 1 ก่อสร้างโรงงานกลั่นน้ำมันจะจ่ายเงินค่าจ้างให้เมื่อมีการรับมอบโรงงานแล้ว 1 ปี โดยให้ธนาคาร ก. เป็นผู้จ่ายค่าจ้างแทนเพื่อเป็นหลักประกันในการจ่ายเงินค่าจ้าง ธนาคาร ก.จึงออกตั๋วสัญญาใช้เงินตามจำนวนเงินค่าจ้างให้จำเลยที่ 1 หลายฉบับกำหนดวันใช้เงินตามตั๋วในวันหลังจากที่คาดคิดว่าการก่อสร้างจะแล้วเสร็จแล้วได้มอบตั๋วสัญญาใช้เงินให้ธนาคารจำเลยที่ 2 ยึดไว้เพื่อมอบให้แก่จำเลยที่ 1 เมื่อถึงกำหนดการใช้เงินดังนี้ตั๋วสัญญาใช้เงินดังกล่าวได้ระบุวันถึงกำหนดใช้เงินและคำมั่นสัญญาอันปราศจากเงื่อนไขว่าจะใช้เงินเป็นจำนวนแน่นอน ดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 983(2)(3) แล้วข้อความที่บันทึกไว้ในตั๋วว่าเป็นการออกให้ตามสัญญาฉบับใดฉบับหนึ่งเป็นเพียงแสดงเหตุว่าตั๋วออกให้เพราะมีหนี้สินตามสัญญาที่ระบุไว้เท่านั้นหาใช่เรื่องตั๋วสัญญาใช้เงินมีเงื่อนไขไม่
จำเลยที่ 1 สลักหลังตั๋วสัญญาใช้เงินซึ่งธนาคารจำเลยที่ 2 ยึดไว้ดังกล่าวข้างต้นให้โจทก์ 1 ฉบับ แต่การก่อสร้างไม่แล้วเสร็จตามกำหนด ตั๋วสัญญาใช้เงินหมดกำหนดรับเงิน ธนาคาร ก.ได้เรียกตั๋วคืนไปแล้วได้ออกตั๋วฉบับใหม่ให้ธนาคารจำเลยที่ 2 ยึดถือไว้แทน แต่ตั๋วสัญญาใช้เงินที่ออกใหม่นี้จำเลยที่ 1 หาได้สลักหลังให้โจทก์ไม่ ฐานะของโจทก์ซึ่งเป็นผู้ทรงตั๋วสัญญาใช้เงินฉบับเก่าได้หมดสิ้นไปแล้วเมื่อมีการยกเลิกตั๋วนั้นส่วนตั๋วสัญญาใช้เงินฉบับใหม่ก็ไม่ได้มีการสลักหลังโจทก์จึงไม่ใช่ผู้ทรงไม่มีอำนาจฟ้องเรียกตั๋วสัญญาใช้เงินหรือเงินตามตั๋วนั้นจากจำเลย
จำเลยที่ 1 สลักหลังตั๋วสัญญาใช้เงินซึ่งธนาคารจำเลยที่ 2 ยึดไว้ดังกล่าวข้างต้นให้โจทก์ 1 ฉบับ แต่การก่อสร้างไม่แล้วเสร็จตามกำหนด ตั๋วสัญญาใช้เงินหมดกำหนดรับเงิน ธนาคาร ก.ได้เรียกตั๋วคืนไปแล้วได้ออกตั๋วฉบับใหม่ให้ธนาคารจำเลยที่ 2 ยึดถือไว้แทน แต่ตั๋วสัญญาใช้เงินที่ออกใหม่นี้จำเลยที่ 1 หาได้สลักหลังให้โจทก์ไม่ ฐานะของโจทก์ซึ่งเป็นผู้ทรงตั๋วสัญญาใช้เงินฉบับเก่าได้หมดสิ้นไปแล้วเมื่อมีการยกเลิกตั๋วนั้นส่วนตั๋วสัญญาใช้เงินฉบับใหม่ก็ไม่ได้มีการสลักหลังโจทก์จึงไม่ใช่ผู้ทรงไม่มีอำนาจฟ้องเรียกตั๋วสัญญาใช้เงินหรือเงินตามตั๋วนั้นจากจำเลย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2297/2515
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
แก้ไขคำให้การได้ แม้ไม่เกี่ยวกับคำให้การเดิม ศาลพิพากษาตามเนื้อที่พิพาทที่คู่ความรับรอง ไม่เกินคำขอ
การแก้ไขคำให้การนั้น กฎหมายมิได้บัญญัติว่า ข้อความที่ขอแก้ไขใหม่จะต้องเกี่ยวกับคำให้การเดิมหรือข้ออ้างเดิมคงบัญญัติห้ามเฉพาะเรื่องคำฟ้องเท่านั้น ฉะนั้น การแก้ไขเพิ่มเติมคำให้การ จะเป็นการยกข้อต่อสู้ขึ้นใหม่กล่าวแก้ข้อหาของโจทก์ซึ่งจะเกี่ยวข้องกับคำให้การเดิมหรือไม่ จึงไม่สำคัญ
แม้ศาลชั้นต้นสั่งยกคำร้องขอแก้ไขเพิ่มเติมคำให้การของจำเลยแต่ศาลฎีกาสั่งรับหากปรากฏว่าข้อเท็จจริงตามพยานหลักฐานในท้องสำนวน พอแก่การวินิจฉัยแล้ว ศาลฎีกาก็ไม่จำต้องให้ศาลชั้นต้นสืบพยานฟังข้อเท็จจริงตามคำให้การเพิ่มเติมอีก
โจทก์ฟ้องขอแบ่งที่ดินมีโฉนดที่โจทก์ครอบครอง โดยอ้างว่าเป็นของโจทก์รวม 3 ส่วน ในจำนวน 6 ส่วนหรือเท่ากับครึ่งหนึ่งของโฉนด แม้มิได้ขอเจาะจงว่าที่ดินส่วนใดเป็นของโจทก์ แต่เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงว่าที่พิพาทภายในเส้นสีแดงตามแผนที่ซึ่งคู่ความนำชี้เนื้อที่ประมาณ 1 ใน 4 ของโฉนดเป็นของโจทก์ศาลย่อมพิพากษาว่าที่พิพาทภายในเส้นสีแดงเป็นของโจทก์ได้หาเป็นการพิพากษาเกินคำขอหรือเกินคำฟ้องไม่
แม้ศาลชั้นต้นสั่งยกคำร้องขอแก้ไขเพิ่มเติมคำให้การของจำเลยแต่ศาลฎีกาสั่งรับหากปรากฏว่าข้อเท็จจริงตามพยานหลักฐานในท้องสำนวน พอแก่การวินิจฉัยแล้ว ศาลฎีกาก็ไม่จำต้องให้ศาลชั้นต้นสืบพยานฟังข้อเท็จจริงตามคำให้การเพิ่มเติมอีก
โจทก์ฟ้องขอแบ่งที่ดินมีโฉนดที่โจทก์ครอบครอง โดยอ้างว่าเป็นของโจทก์รวม 3 ส่วน ในจำนวน 6 ส่วนหรือเท่ากับครึ่งหนึ่งของโฉนด แม้มิได้ขอเจาะจงว่าที่ดินส่วนใดเป็นของโจทก์ แต่เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงว่าที่พิพาทภายในเส้นสีแดงตามแผนที่ซึ่งคู่ความนำชี้เนื้อที่ประมาณ 1 ใน 4 ของโฉนดเป็นของโจทก์ศาลย่อมพิพากษาว่าที่พิพาทภายในเส้นสีแดงเป็นของโจทก์ได้หาเป็นการพิพากษาเกินคำขอหรือเกินคำฟ้องไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2240/2515
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การผูกพันตามคำท้าสาบานและการฟ้องซ้ำในประเด็นเดิม
โจทก์เคยฟ้องจำเลยขอให้จดทะเบียนรับรอง ก. เป็นบุตรแล้วตกลงท้าสาบานกันโดยถ้าจำเลยสาบานได้ ต้องฟังว่าก. ไม่ใช่บุตรของจำเลย จำเลยสาบานได้ตามคำท้า โจทก์จึงขอถอนฟ้อง และแถลงต่อศาลว่า ไม่ติดใจดำเนินคดีแก่จำเลยอีก ศาลสั่งอนุญาต คำแถลงของโจทก์เช่นนี้เป็นการยอมสละสิทธิของตนที่มีอยู่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 176 ซึ่งบัญญัติมิให้โจทก์มีสิทธินำคดีมาฟ้องจำเลยได้ใหม่ จึงผูกมัดตัวโจทก์ตามคำท้า โจทก์จะนำคดีมาฟ้องจำเลยขอให้จดทะเบียนรับ ก. เป็นบุตร อันมีประเด็นอย่างเดียวกันอีกหาได้ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2229/2515 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การจำแนกสภาพไม้แปรรูปเพื่อหลีกเลี่ยงกฎหมายป่าไม้: ไม้ที่ตกแต่งเป็นรูปลักษณ์เครื่องใช้แต่ไม่มีเจตนาใช้งานจริง ไม่ถือเป็นเครื่องใช้
ไม้ของกลางมีลักษณะใหม่และสด ตัดมาจากป่าไม่เกินสองปี ดูไม่ออกว่าเป็นชิ้นส่วนของเตียงนอนเพียงแต่ไสกบตบแต่งและบางชิ้นทาแชลแล็คไว้ลักษณะของไม้ดังกล่าวประกอบเป็นเครื่องใช้พอเป็นพิธีมิได้มีเจตนาจะใช้เป็นเตียงนอนอย่างจริงจัง แต่เป็นการทำเพียงให้เห็นเป็นรูปลักษณะของเตียงนอนเพื่อพรางหรือลวงโดยเจตนาจะหลีกเลี่ยงกฎหมาย จะถือว่าเป็นไม้ที่อยู่ในสภาพเป็นเครื่องใช้ ตามความหมายแห่งพระราชบัญญัติป่าไม้ (ฉบับที่ 4)พ.ศ.2503 มาตรา 4(4)หาได้ไม่ แต่เป็นไม้แปรรูปตามกฎหมาย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2229/2515
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิจารณาว่าไม้แปรรูปอยู่ในสภาพเป็นเครื่องใช้เพื่อเลี่ยงกฎหมายป่าไม้
ไม้ของกลางมีลักษณะใหม่และสด ตัดมาจากป่าไม่เกินสองปี ดูไม่ออกว่าเป็นชิ้นส่วนของเตียงนอน เพียงแต่ไสกบตบแต่งและบางชิ้นทาแชลแล็คไว้ ลักษณะของไม้ดังกล่าวประกอบเป็นเครื่องใช้พอเป็นพิธี มิได้มีเจตนาจะใช้เป็นเตียงนอนอย่างจริงจัง แต่เป็นการทำเพียงให้เห็นเป็นรูปลักษณะของเตียงนอนเพื่อพรางหรือลวงโดยเจตนาจะหลีกเลี่ยงกฎหมาย จะถือว่าเป็นไม้ที่อยู่ในสภาพเป็นเครื่องใช้ ตามความหมายแห่งพระราชบัญญัติป่าไม้ (ฉบับที่ 4) พ.ศ.2503 มาตรา 4(4)หาได้ไม่ แต่เป็นไม้แปรรูปตามกฎหมาย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2043/2515
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การปล่อยตัวผู้ถูกหน่วงเหนี่ยวก่อนศาลตัดสินและผลกระทบต่อการลงโทษตามมาตรา 316
จำเลยกับพวกจับ ก. ใส่กุญแจมือพาตัวไป มารดาของ ก. ตามไปทันจำเลย ขอตัว ก. คืน จำเลยเรียกเงินค่าไถ่ 2,000 บาท พวกผู้เสียหายมอบเงิน 2,000 บาทให้จำเลยเพื่อเป็นค่าไถ่ตามที่จำเลยเรียกร้อง แล้วจำเลยจึงได้จัดการปล่อยตัว ก. โดยไม่ปรากฏว่า ก. ได้รับอันตรายสาหัส หรือตกอยู่ในภาวะอันใกล้จะเป็นอันตรายต่อชีวิต พฤติการณ์เช่นนี้ถือได้ว่าจำเลยได้จัดให้ผู้ถูกเอาตัวไป ผู้ถูกหน่วงเหนี่ยวหรือผู้ถูกกักขังได้รับเสรีภาพก่อนศาลชั้นต้นพิพากษา โดยผู้นั้นมิได้รับอันตรายสาหัส หรือตกอยู่ในภาวะอันใกล้จะเป็นอันตรายต่อชีวิต ซึ่งมาตรา 316 ให้ลงโทษน้อยกว่าที่กำหนดไว้ แต่ไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2009/2515 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิเช่าหลังเลิกสัญญาก่อสร้าง: โจทก์ไม่มีสิทธิบังคับเช่าห้องพิพาท แม้สร้างเสร็จตามสัญญา
กระทรวงการคลัง ทำสัญญากับโจทก์ให้โจทก์เป็นผู้ออกทุนทรัพย์ปลูกสร้างอาคารและสิ่งปลูกสร้างในที่ดินราชพัสดุ ยกกรรมสิทธิ์ให้กระทรวงการคลังและกระทรวงการคลังยอมให้โจทก์มีสิทธิเช่ามีกำหนด 20 ปี หากโจทก์ปลูกสร้างไม่เสร็จตามกำหนดสัญญาโจทก์ต้องส่งมอบสิ่งปลูกสร้างส่วนที่สร้างไม่เสร็จให้กระทรวงการคลังพร้อมกับชดใช้เงินจำนวนหนึ่ง ให้กระทรวงการคลังริบเอาเป็นของกระทรวงการคลัง และให้บอกเลิกสัญญาได้ทันที ปรากฏว่าโจทก์ปลูกสร้างอาคารตึกแถวงวดที่ 1 ซึ่งจะต้องทำรวม 52 คูหาเสร็จเพียง 40คูหารวมทั้งห้องพิพาทด้วย อีก 12 คูหายังไม่เสร็จกระทรวงการคลังได้บอกเลิกสัญญาทั้งหมดและบอกริบเอาตึกแถวที่สร้างเสร็จ 40 คูหา เมื่อสัญญาระหว่างโจทก์กับกระทรวงการคลังได้ยกเลิกกันไปโดยชอบเสียก่อนแล้ว โจทก์ย่อมไม่มีเหตุที่จะอาศัยข้อสัญญาที่หมดผลไปแล้วนั้น มาฟ้องขอให้บังคับกระทรวงการคลังยอมให้โจทก์เช่าห้องพิพาทได้ ส่วนผลงานที่โจทก์ได้ทำไปแล้วโจทก์จะมีสิทธิเรียกร้องจากกระทรวงการคลังประการใดเป็นเรื่องที่จะต้องว่ากล่าวกันอีกส่วนหนึ่งต่างหาก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2009/2515
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิเช่าหลังสัญญาก่อสร้างเลิก: โจทก์ไม่มีสิทธิบังคับเช่าเมื่อสัญญาหมดผล
กระทรวงการคลัง ทำสัญญากับโจทก์ให้โจทก์เป็นผู้ออกทุนทรัพย์ปลูกสร้างอาคารและสิ่งปลูกสร้างในที่ดินราชพัสดุ ยกกรรมสิทธิ์ให้กระทรวงการคลังและกระทรวงการคลังยอมให้โจทก์มีสิทธิเช่ามีกำหนด 20 ปี หากโจทก์ปลูกสร้างไม่เสร็จตามกำหนดสัญญา โจทก์ต้องส่งมอบสิ่งปลูกสร้างส่วนที่สร้างไม่เสร็จให้กระทรวงการคลังพร้อมกับชดใช้เงินจำนวนหนึ่ง ให้กระทรวงการคลังริบเอาเป็นของกระทรวงการคลัง และให้บอกเลิกสัญญาได้ทันที ปรากฏว่าโจทก์ปลูกสร้างอาคารตึกแถวงวดที่ 1 ซึ่งจะต้องทำรวม 52 คูหา เสร็จเพียง 40คูหารวมทั้งห้องพิพาทด้วย อีก 12 คูหายังไม่เสร็จกระทรวงการคลังได้บอกเลิกสัญญาทั้งหมดและบอกริบเอาตึกแถวที่สร้างเสร็จ 40 คูหา เมื่อสัญญาระหว่างโจทก์กับกระทรวงการคลังได้ยกเลิกกันไปโดยชอบเสียก่อนแล้ว โจทก์ย่อมไม่มีเหตุที่จะอาศัยข้อสัญญาที่หมดผลไปแล้วนั้น มาฟ้องขอให้บังคับกระทรวงการคลังยอมให้โจทก์เช่าห้องพิพาทได้ ส่วนผลงานที่โจทก์ได้ทำไปแล้ว โจทก์จะมีสิทธิเรียกร้องจากกระทรวงการคลังประการใด เป็นเรื่องที่จะต้องว่ากล่าวกันอีกส่วนหนึ่งต่างหาก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1988/2515
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความการเรียกร้องเงินทดรองค่าจ้างทำของและการจ้างเหมา
โจทก์ว่าจ้างจำเลยทำไม้ โดยจำเลยผู้รับจ้างเป็นผู้ตัดฟันชักลาก ล่องนำไม้ไปส่งอู่องค์การอุตสาหกรรมป่าไม้เป็นการจ้างเหมา สัญญาจ้างนี้อยู่ในลักษณะจ้างทำของ
สิทธิเรียกร้องในการที่โจทก์จะฟ้องเรียกเงินทดรองค่าจ้างทำของที่จ่ายล่วงหน้าและเหลืออยู่ คืนจากจำเลยผู้รับจ้าง มีอายุความ 10 ปี
สิทธิเรียกร้องในการที่โจทก์จะฟ้องเรียกเงินทดรองค่าจ้างทำของที่จ่ายล่วงหน้าและเหลืออยู่ คืนจากจำเลยผู้รับจ้าง มีอายุความ 10 ปี
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1973/2515
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องคดีแทนวัด: ไวยาวัจกรต้องได้รับมอบอำนาจจากเจ้าอาวาสหรือผู้รักษาการแทนเท่านั้น
ไวยาวัจกรให้กู้เงินของวัดและทำสัญญาในฐานะไวยาวัจกรของวัด ซึ่งเท่ากับทำสัญญาในฐานะตัวแทนของวัด เมื่อจะฟ้องผู้กู้ให้ชำระหนี้ เจ้าอาวาสหรือผู้รักษาการแทนเท่านั้นที่มีอำนาจฟ้องคดีแทนวัด ไวยาวัจกรซึ่งไม่ได้รับมอบอำนาจจากเจ้าอาวาสหรือผู้รักษาการแทนให้ดำเนินคดี หามีอำนาจฟ้องแทนวัดได้ไม่
เมื่อจำเลยต่อสู้ไว้ในคำให้การว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง ศาลอุทธรณ์ย่อมยกประเด็นเรื่องอำนาจฟ้องขึ้นวินิจฉัยได้
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระหนี้บางส่วน จำเลยไม่อุทธรณ์ โจทก์ฝ่ายเดียวอุทธรณ์ขอให้จำเลยชำระหนี้เต็มจำนวน เมื่อปรากฏว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องศาลอุทธรณ์ย่อมมีอำนาจพิพากษายกฟ้องโจทก์เสียทั้งหมด (ข้อกฎหมายวรรคท้ายสรุปจากผลแห่งคำพิพากษา และโปรดสังเกตคำพิพากษาฎีกาที่ 678/2490 เทียบเคียง)
เมื่อจำเลยต่อสู้ไว้ในคำให้การว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง ศาลอุทธรณ์ย่อมยกประเด็นเรื่องอำนาจฟ้องขึ้นวินิจฉัยได้
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระหนี้บางส่วน จำเลยไม่อุทธรณ์ โจทก์ฝ่ายเดียวอุทธรณ์ขอให้จำเลยชำระหนี้เต็มจำนวน เมื่อปรากฏว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องศาลอุทธรณ์ย่อมมีอำนาจพิพากษายกฟ้องโจทก์เสียทั้งหมด (ข้อกฎหมายวรรคท้ายสรุปจากผลแห่งคำพิพากษา และโปรดสังเกตคำพิพากษาฎีกาที่ 678/2490 เทียบเคียง)