คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
โกวิท ถิระวัฒน์

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 244 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1087/2513 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องเรียกเงินคืนจากการสัญญาช่วยเหลือทางคดี การฟ้องไม่เคลือบคลุม และไม่ใช่การช่วยเหลือที่ผิดกฎหมาย
ฟ้องเรียกเงินคืนที่โจทก์บรรยายข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหามาแล้วว่า เมื่อเดือนมกราคม และกุมภาพันธ์ 2511 ก่อนพนักงานอัยการยื่นฟ้องบุตรโจทก์ต่อศาล จำเลยได้เรียกเอาเงินโจทก์ไป 2 คราว ๆ ละ 500 บาท โดยจำเลยรับจะช่วยบุตรโจทก์ให้พ้นโทษ โดยจะหาทนายสู้คดีหรือช่วยด้วยวิธีอื่นให้บุตรโจทก์ถูกปล่อย โจทก์หลงเชื่อจึงมอบเงินให้จำเลยไป เมื่อบุตรโจทก์ถูกฟ้องศาล จำเลยไม่ช่วยเหลืออย่างใด กลับบอกให้บุตรโจทก์รับสารภาพโดยบอกว่าอายุยังไม่ถึง 20 ปี ศาลไม่ลงโทษ เป็นเหตุให้บุตรโจทก์หลงเชื่อรับสารภาพ ดังนี้ ไม่จำเป็นต้องระบุว่าจำเลยเรียกเอาเงินจากโจทก์ที่ไหน จำเลยก็เข้าใจฟ้องได้ดีแล้ว เป็นฟ้องไม่เคลือบคลุมและไม่ใช่เป็นฟ้องที่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน เพราะไม่ใช่ให้เงินแก่จำเลยเพื่อช่วยเหลือโดยวิธีที่ผิดกฎหมาย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1086/2513

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การขัดทรัพย์ก่อนการบังคับคดี การถอนคำร้องไต่สวน และสิทธิในการอุทธรณ์
ศาลสั่งอนุญาตให้เจ้าพนักงานบังคับคดีขายนาพิพาทไปก่อนสั่งคำร้องขัดทรัพย์ของผู้ร้อง ดังนี้ ผู้ร้องยังเป็นคนนอกคดีในขณะศาลอนุญาตให้ขาย เมื่อผู้ร้องเห็นว่าการขายทำไปโดยไม่ถูกต้องไม่สมควรประการใด ถ้าหากตนมีส่วนได้เสียก็ชอบที่จะร้องขอต่อศาลให้สั่งยกคำสั่งอนุญาตให้ขาย และกำหนดวิธีการอย่างใด ๆ ตามที่เห็นสมควร ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 296 วรรคสองเมื่อศาลไต่สวนสั่งต่อไปประการใด หากไม่พอใจก็อุทธรณ์ฎีกาต่อไป กรณีนี้ ในชั้นแรกศาลก็สั่งนัดไต่สวนหาข้อเท็จจริงเพื่อสั่งคำร้องของผู้ร้องแล้ว แต่ผู้ร้องกลับขอให้งดการไต่สวนเสียเอง แล้วยื่นอุทธรณ์ขอให้เพิกถอนคำสั่งศาลชั้นต้นที่อนุญาตให้ขายนาที่พิพาทเสียทีเดียวดังนี้ ย่อมไม่มีข้อเท็จจริงที่จะรับฟังตามคำร้องของผู้ร้องได้ ผู้ร้องจึงไม่มีข้ออ้างที่จะยกเป็นข้ออุทธรณ์ ขอให้เพิกถอนคำสั่งศาลชั้นต้นที่ให้ขายทอดตลาดไปก่อนแล้วได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1075/2513

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การแก้ไขโทษจำคุกโดยศาลอุทธรณ์ โจทก์ฎีกาได้ ศาลฎีกายืนตามดุลพินิจ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288, 81 ลงโทษจำคุกจำเลย 2 ปี ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เฉพาะเรื่องโทษ เป็นให้จำคุกจำเลย 1 ปี และให้รอการลงโทษจำเลยไว้มีกำหนด3 ปี เช่นนี้เป็นการแก้มาก โจทก์ฎีกาคัดค้านดุลพินิจในการวางโทษของศาลอุทธรณ์ได้ ไม่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 218 และ 220

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1075/2513 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การแก้ไขโทษที่ศาลอุทธรณ์ และการใช้ดุลพินิจในการวางโทษที่เหมาะสม
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 81 ลงโทษจำคุกจำเลย 2 ปี ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เฉพาะเรื่องโทษ เป็นให้จำคุกจำเลย 1 ปี และให้รอการลงโทษจำเลยไว้มีกำหนด 3 ปี เช่นนี้เป็นการแก้มาก โจทก์ฎีกาคัดค้านดุลพินิจในการวางโทษของศาลอุทธรณ์ได้ ไม่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 และ 220

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1071/2513 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ แม้มีคำพิพากษาเพิกถอนคืนการให้ แต่หากกรรมสิทธิ์ยังไม่โอน โจทก์ยังบังคับให้จำเลยโอนได้
จำเลยทำสัญญาจะขายที่ดินพิพาทแก่โจทก์และจำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญา โจทก์จึงฟ้องขอให้บังคับจำเลยโอนที่พิพาทให้โจทก์เป็นคดีนี้ ในระหว่างพิจารณา มารดาจำเลยได้ฟ้องเรียกที่ดินคืนจากจำเลยเพราะเหตุเนรคุณ ซึ่งศาลชั้นต้นได้พิพากษาให้เพิกถอนคืนการให้ ถ้าจำเลยไม่ปฏิบัติตามก็ให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย คดีถึงที่สุด ดังนี้ แม้ที่พิพาทที่โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยโอนให้โจทก์ในคดีนี้จะถูกศาลพิพากษาให้เพิกถอนคืนการให้ในคดีระหว่างมารดาจำเลยเป็นโจทก์ฟ้องจำเลยตามสำนวนคดีแพ่งแดงที่ 14/2511 ก็ตาม แต่ยังไม่มีการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์กลับคืนไปยังมารดาจำเลย กรรมสิทธิ์ในที่พิพาทจึงยังเป็นของจำเลยอยู่ จำเลยอยู่ในฐานะที่จะถูกบังคับให้โอนขายให้โจทก์ตามฟ้องได้ ส่วนปัญหาระหว่างโจทก์กับมารดาจำเลยซึ่งต่างเป็นผู้ชนะคดีด้วยกัน ใครจะมีสิทธิดีกว่ากันนั้น ก็จะต้องไปว่ากล่าวกันในชั้นบังคับคดีหรือฟ้องร้องกันใหม่ ไม่ใช่ปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยชี้ขาดในชั้นนี้
คำพิพากษาในคดีแพ่งแดงที่ 14/2511 เป็นคำพิพากษาให้เพิกถอนคืนการให้เพราะเหตุเนรคุณไม่ใช่คำพิพากษาที่วินิจฉัยถึงกรรมสิทธิ์แห่งทรัพย์สินใด ๆ ตามนัยแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145 (2) ใช้ยันโจทก์ซึ่งไม่ได้เป็นคู่ความด้วยไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1071/2513

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาซื้อขายที่ดิน & เพิกถอนคืนการให้: สิทธิเรียกร้องยังคงอยู่แม้มีคำพิพากษาคืนการให้
จำเลยทำสัญญาจะขายที่ดินพิพาทแก่โจทก์และจำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญา โจทก์จึงฟ้องขอให้บังคับจำเลยโอนที่พิพาทให้โจทก์เป็นคดีนี้ ในระหว่างพิจารณา มารดาจำเลยได้ฟ้องเรียกที่ดินคืนจากจำเลยเพราะเหตุเนรคุณ ซึ่งศาลชั้นต้นได้พิพากษาให้เพิกถอนคืนการให้ ถ้าจำเลยไม่ปฏิบัติตามก็ให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย คดีถึงที่สุด ดังนี้ แม้ที่พิพาทที่โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยโอนให้โจทก์ในคดีนี้จะถูกศาลพิพากษาให้เพิกถอนคืนการให้ในคดีระหว่างมารดาจำเลยเป็นโจทก์ฟ้องจำเลยตามสำนวนคดีแพ่งแดงที่ 14/2511 ก็ตาม แต่ยังไม่มีการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์กลับคืนไปยังมารดาจำเลย กรรมสิทธิ์ในที่พิพาทจึงยังเป็นของจำเลยอยู่ จำเลยอยู่ในฐานะที่จะถูกบังคับให้โอนขายให้โจทก์ตามฟ้องได้ ส่วนปัญหาระหว่างโจทก์กับมารดาจำเลยซึ่งต่างเป็นผู้ชนะคดีด้วยกัน ใครจะมีสิทธิดีกว่ากันนั้น ก็จะต้องไปว่ากล่าวกันในชั้นบังคับคดีหรือฟ้องร้องกันใหม่ ไม่ใช่ปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยชี้ขาดในชั้นนี้
คำพิพากษาในคดีแพ่งแดงที่ 14/2511 เป็นคำพิพากษาให้เพิกถอนคืนการให้เพราะเหตุเนรคุณ ไม่ใช่คำพิพากษาที่วินิจฉัยถึงกรรมสิทธิ์แห่งทรัพย์สินใด ๆ ตามนัยแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145(2) ใช้ยันโจทก์ซึ่งไม่ได้เป็นคู่ความด้วยไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1070/2513

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การยึดทรัพย์ก่อนโอนกรรมสิทธิ์: นิติกรรมหลังยึดใช้ยันโจทก์ไม่ได้
จำเลยทำสัญญาจะขายที่ดินพิพาทให้แก่ผู้ร้องโดยสุจริตก่อนโจทก์นำยึดที่พิพาทนี้ หลังจากโจทก์นำยึดที่พิพาทแล้วจำเลยจึงไปทำนิติกรรมโอนที่พิพาทให้ผู้ร้อง ดังนี้ย่อมถือว่ากรรมสิทธิ์ในที่พิพาทยังไม่โอนไปยังผู้ร้องในขณะที่ถูกยึด ผู้ร้องจึงไม่มีสิทธิร้องขอให้ปล่อยทรัพย์พิพาท

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1070/2513 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การยึดทรัพย์ก่อนการโอนกรรมสิทธิ์: การโอนหลังการยึดไม่ผูกพันโจทก์
จำเลยทำสัญญาจะขายที่ดินพิพาทให้แก่ผู้ร้องโดยสุจริตก่อนโจทก์นำยึดที่พิพาทนี้ หลังจากโจทก์นำยึดที่พิพาทแล้วจำเลยจึงไปทำนิติกรรมโอนที่พิพาทให้ผู้ร้อง ดังนี้ ย่อมถือว่ากรรมสิทธิ์ในที่พิพาทยังไม่โอนไปยังผู้ร้องในขณะที่ถูกยึด ผู้ร้องจึงไม่มีสิทธิร้องขอให้ปล่อยทรัพย์พิพาท

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1066/2513

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจสั่งบรรจุ/สั่งออกจากราชการเป็นอำนาจบริหาร ศาลไม่สามารถแทรกแซงได้
คำสั่งของกระทรวงการคลังจำเลย ที่ตั้งกรรมการสอบสวนโจทก์ซึ่งเป็นข้าราชการพลเรือนผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาว่า ปฏิบัติการไม่ชอบในการจ่ายเงินของทางราชการโดยให้โจทก์พักราชการระหว่างสอบสวนก็ดีคำสั่งให้โจทก์ออกจากราชการไว้ก่อนและให้ยับยั้งการขอบำเหน็จบำนาญไว้จนกว่าเรื่องจะถึงที่สุดก็ดี และคำสั่งให้โจทก์ออกจากราชการฐานมีมลทินมัวหมองก็ดี ล้วนเป็นคำสั่งของกระทรวงการคลังที่ออกโดยอาศัยอำนาจแห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน อันเป็นกฎหมายพิเศษที่ใช้บังคับ ฉะนั้น เมื่อโจทก์เห็นว่าคำสั่งดังกล่าวไม่ถูกต้องหรือไม่ได้รับความเป็นธรรม ก็ชอบที่จะต้องปฏิบัติตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือนประกอบด้วยกฎกระทรวง และระเบียบแบบแผนว่าด้วยการนั้น โจทก์จะนำคดีมาฟ้องขอให้ศาลพิพากษาว่า คำสั่งดังกล่าวของกระทรวงการคลังเป็นโมฆะ และสั่งบังคับกระทรวงการคลังให้สั่งโจทก์กลับเข้ารับราชการในตำแหน่งเดิมหาได้ไม่เพราะเป็นอำนาจของทางราชการฝ่ายบริหาร และมิใช่หน้าที่ของศาลที่จะสั่งได้
(อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 818/2499 และคำพิพากษาฎีกาที่ 568/2502)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1066/2513 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจสั่งบรรจุ/ไล่ออกข้าราชการเป็นอำนาจบริหาร ศาลไม่สามารถแทรกแซงได้
คำสั่งของกระทรวงการคลังจำเลย ที่ตั้งกรรมการสอบสวนโจทก์ซึ่งเป็นข้าราชการพลเรือนผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาว่า ปฏิบัติการไม่ชอบในการจ่ายเงินของทางราชการ โดยให้โจทก์พักราชการระหว่างสอบสวนก็ดี คำสั่งให้โจทก์ออกจากราชการไว้ก่อนและให้ยับยั้งการขอบำเหน็จบำนาญไว้จนกว่าเรื่องจะถึงที่สุดก็ดี และคำสั่งให้โจทก์ออกจากราชการฐานมีมลทินมัวหมองก็ดี ล้วนเป็นคำสั่งของกระทรวงการคลังที่ออกโดยอาศัยอานาจแห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน อันเป็นกฎหมายพิเศษที่ใช้บังคับ ฉะนั้น เมื่อโจทก์เห็นว่าคำสั่งดังกล่าวไม่ถูกต้อง หรือไม่ได้รับความเป็นธรรม ก็ชอบที่จะต้องปฏิบัติตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน ประกอบด้วยกฎกระทรวง และระเบียบแบบแผนว่าด้วยการนั้น โจทก์จะนำคดีมาฟ้องจอให้ศาลพิพากษาว่า คำสั่งดังกล่าวของกระทรวงการคลังเป็นโมฆะ และสั่งบังคับกระทรวงการคลังให้สั่งโจทก์กลับเข้ารับราชการในตำแหน่งเดิมหาได้ไม่ เพราะเป็นอำนาจของทางราชการฝ่ายบริหาร และมิใช่หน้าที่ของศาลที่จะสั่งได้
(อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 818/2499 และคำพิพากษาฎีกาที่ 568/2502)
of 25