พบผลลัพธ์ทั้งหมด 244 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 545/2513 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องซ้ำและการได้มาซึ่งกรรมสิทธิ์โดยการครอบครอง: ศาลฎีกาตัดสินว่าการฟ้องในประเด็นต่างกันไม่ถือเป็นการฟ้องซ้ำ
คดีแพ่งแดงที่ 473/2505 ที่โจทก์ฟ้องคดีแรกนั้นอ้างว่าที่ดินพิพาทป. บิดาเป็นผู้ซื้อ เมื่อ ป. ตาย ที่ดินพิพาทเป็นมรดกตกได้แก่โจทก์และจำเลยที่ 1 ศาลฎีกาพิพากษาว่า ป. เป็นผู้ซื้อ แต่ ป. เป็นคนต่างด้าวต้องห้ามมิให้ถือกรรมสิทธิ์ที่ดิน การซื้อขายเป็นโมฆะ ที่ดินพิพาทจึงไม่เป็นทรัพย์มรดกของ ป. คดีมีประเด็นเพียงว่าที่ดินพิพาทเป็นมรดกของ ป.หรือไม่ ส่วนคดีหลังคือคดีนี้โจทก์ฟ้องว่า ที่ดินพิพาท ป. ซื้อมาตั้งแต่พ.ศ. 2486 เมื่อซื้อแล้วโจทก์และ ป. ครอบครองอย่างเป็นเจ้าของตลอดมาโดยสงบและเปิดเผยมากว่า 10 ปี โจทก์จึงมีกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทเป็นเรื่องอ้างสิทธิทางครอบครอง เมื่อประเด็นคดีแรกเป็นเรื่องอ้างสิทธิการได้มาทางมรดก แต่ประเด็นคดีหลังเป็นเรื่องอ้างสิทธิการได้มาทางครอบครอง จึงเป็นคนละประเด็นต่างกัน ในการวินิจฉัยก็มิได้อาศัยมูลเหตุอย่างเดียวกันฟ้องของโจทก์คดีนี้จึงไม่เป็นการฟ้องซ้ำกับคดีแรก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 545/2513
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องซ้ำทางแพ่ง: ประเด็นต่างกันระหว่างการอ้างสิทธิมรดกกับการอ้างสิทธิโดยครอบครอง
คดีแพ่งแดงที่ 473/2505 ที่โจทก์ฟ้องคดีแรกนั้นอ้างว่า ที่ดินพิพาทป. บิดาเป็นผู้ซื้อ เมื่อ ป. ตาย ที่ดินพิพาทเป็นมรดกตกได้แก่โจทก์และจำเลยที่ 1 ศาลฎีกาพิพากษาว่า ป. เป็นผู้ซื้อ แต่ ป. เป็นคนต่างด้าว ต้องห้ามมิให้ถือกรรมสิทธิ์ที่ดิน การซื้อขายเป็นโมฆะ ที่ดินพิพาทจึงไม่เป็นทรัพย์มรดกของ ป. คดีมีประเด็นเพียงว่าที่ดินพิพาทเป็นมรดกของ ป. หรือไม่ ส่วนคดีหลังคือคดีนี้โจทก์ฟ้องว่า ที่ดินพิพาท ป. ซื้อมาตั้งแต่พ.ศ. 2486 เมื่อซื้อแล้วโจทก์และ ป. ครอบครองอย่างเป็นเจ้าของตลอดมาโดยสงบและเปิดเผยมากว่า 10 ปี โจทก์จึงมีกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาท เป็นเรื่องอ้างสิทธิทางครอบครอง เมื่อประเด็นคดีแรกเป็นเรื่องอ้างสิทธิการได้มาทางมรดก แต่ประเด็นคดีหลังเป็นเรื่องอ้างสิทธิการได้มาทางครอบครอง จึงเป็นคนละประเด็นต่างกัน ในการวินิจฉัยก็มิได้อาศัยมูลเหตุอย่างเดียวกัน ฟ้องของโจทก์คดีนี้จึงไม่เป็นการฟ้องซ้ำกับคดีแรก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 523/2513
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การขยายเวลายื่นฎีกาต้องมีเหตุพิเศษ การจัดพิมพ์ฎีกาไม่ถือเป็นเหตุพิเศษ ศาลชั้นต้นอนุญาตขยายเวลาไม่ชอบ
คำร้องขอขยายเวลายื่นฎีกาของจำเลยยอมรับว่าทนายจำเลยได้เรียงฎีกาเสร็จแล้ว แต่จัดพิมพ์ไม่ทัน จึงขอเลื่อนการยื่นฎีกาไปอีก 7 วันเพื่อจัดพิมพ์เท่านั้น จึงมิใช่พฤติการณ์พิเศษ เพราะฎีกาเป็นคำฟ้องและเป็นคำคู่ความตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 1(3) และ (5) ซึ่งตามมาตรา 46 วรรคสอง ทนายจำเลยจะเขียนฎีกาที่เรียงไว้เสร็จแล้วด้วยหมึก ไม่ต้องดีดพิมพ์หรือตีพิมพ์ก็ได้ ซึ่งทนายจำเลยจะยื่นฎีกาที่เรียงเขียนไว้เสร็จแล้วต่อศาลในวันนั้นก็ทำได้โดยชอบ ปรากฏในฎีกาของจำเลยว่าได้พิมพ์แล้วตั้งแต่วันที่ 9 มกราคม 2513 ซึ่งเป็นวันยื่นคำร้องขอขยายเวลายื่นฎีกาแต่ขีดฆ่าตัวพิมพ์วันที่ 9 แล้วเขียนแก้เป็นวันที่ 14 ที่นำฎีกามายื่นต่อศาลฎีกานี้มี 19 แผ่น หรือ 38 หน้าพิมพ์ทนายจำเลยมายื่นคำร้องขอเลื่อนเวลาเมื่อเวลา 11.00 นาฬิกา และยังมีเวลาอีก 5 ชั่วโมงเศษที่จะพิมพ์ต่อไปให้เสร็จได้แน่นอน เพราะจะต้องได้พิมพ์ฎีกาบางส่วนมาแล้วตั้งแต่ตอนเช้าวันที่ 9 นั้นเองเป็นอย่างช้า ดังนี้ จึงไม่มีพฤติการณ์พิเศษที่จะขยายเวลาให้ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 523/2513 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การขยายเวลายื่นฎีกาต้องมีเหตุพิเศษ การพิมพ์เอกสารไม่ทันไม่ใช่เหตุขยายเวลาได้
คำร้องขอขยายเวลายื่นฎีกาของจำเลยยอมรับว่าทนายจำเลยได้เรียงฎีกาเสร็จแล้ว แต่จัดพิมพ์ไม่ทัน จึงขอเลื่อนการยื่นฎีกาไปอีก 7 วันเพื่อจัดพิมพ์เท่านั้น จึงมิใช่พฤติการณ์พิเศษ เพราะฎีกาเป็นคำฟ้องและเป็นคำคู่ความตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 1 (3) และ (5) ซึ่งตามมาตรา 46 วรรค 2 ทนายจำเลยจะเขียนฎีกาที่เรียงไว้เสร็จแล้วด้วยหมึกไม่ต้องดีดพิมพ์หรือตีพิมพ์ก็ได้ ซึ่งทนายจำเลยจะยื่นฎีกาที่เรียงเขียนไว้เสร็จแล้วต่อศาลในวันนั้นก็ทำได้โดยชอบ ปรากฏในฎีกาของจำเลยว่าได้พิมพ์แล้ว ตั้งแต่วันที่ 9 มกราคม 2513 ซึ่งเป็นวันยื่นคำร้องขอขยายเวลายื่นฎีกา แต่ขีดฆ่าตัวพิมพ์วันที่ 9 แล้วเขียนแก้เป็นวันที่ 14 ที่นำฎีกามายื่นต่อศาลฎีกานี้มี 19 แผ่น หรือ 38 หน้าพิมพ์ทนายจำเลยมายื่นคำร้องขอเลื่อนเวลาเมื่อเวลา 11.00 นาฬิกา และยังมีเวลาอีก 5 ชั่วโมงเศษที่จะพิมพ์ต่อไปให้เสร็จได้แน่นอน เพราะจะต้องได้พิมพ์ฎีกาบางส่วนมาแล้วตั้งแต่ตอนเช้าวันที่ 9 นั้นเองเป็นอย่างช้า ดังนี้ จึงไม่มีพฤติการณ์พิเศษที่จะขยายเวลาให้ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 480/2513
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแยกสินบริคณห์ต้องพิสูจน์สถานะสามีภริยาโดยชอบด้วยกฎหมาย หากพิสูจน์ไม่ได้ คำขอแยกสินบริคณห์ตกไป
โจทก์ยื่นคำร้องว่า จำเลยกับ ผ. เป็นสามีภริยากัน ซึ่งมีส่วนร่วมกันในที่ดินโฉนดที่ 5694 (ที่โจทก์ได้ถอนการยึดไปแล้ว) ขอให้สั่งแยกสินบริคณห์ออกเป็นส่วนของลูกหนี้คือจำเลย เพื่อบังคับคดีตามคำพิพากษาต่อไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1483 ซึ่งหมายถึงสินบริคณห์ของสามีภริยากันโดยชอบด้วยกฎหมายเท่านั้น เมื่อโจทก์นำสืบไม่ได้ว่าจำเลยกับ ผ. เป็นสามีภริยากันโดยชอบด้วยกฎหมาย ที่ดินรายนี้ย่อมไม่ใช่สินบริคณห์ คำขอแยกสินบริคณห์ของโจทก์ย่อมตกไป
คดีที่โจทก์ร้องขอแยกสินบริคณห์หรือขอแยกที่ดินส่วนของจำเลยโดยอ้างเหตุที่จำเลยกับ ผ. เป็นสามีภริยากัน เป็นคดีไม่มีทุนทรัพย์
คดีที่โจทก์ร้องขอแยกสินบริคณห์หรือขอแยกที่ดินส่วนของจำเลยโดยอ้างเหตุที่จำเลยกับ ผ. เป็นสามีภริยากัน เป็นคดีไม่มีทุนทรัพย์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 480/2513 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแยกสินบริคณห์ต้องพิสูจน์สถานะสามีภริยาโดยชอบด้วยกฎหมาย หากพิสูจน์ไม่ได้ คำขอแยกสินบริคณห์ตกไป
โจทก์ยื่นคำร้องว่า จำเลยกับ ผ. เป็นสามีภริยากัน ซึ่งมีส่วนร่วมกันในที่ดินโฉนดที่ 5694 (ที่โจทก์ได้ถอนการยึดไปแล้ว) ขอให้สั่งแยกสินบริคณห์ออกเป็นส่วนของลูกหนี้คือจำเลย เพื่อบังคับคดีตามคำพิพากษาต่อไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1483 ซึ่งหมายถึงสินบริคณห์ของสามีภริยากันโดยชอบด้วยกฎหมายเท่านั้น เมื่อโจทก์นำสืบไม่ได้ว่าจำเลยกับ ผ. เป็นสามีภริยากันโดยชอบด้วยกฎหมาย ที่ดินรายนี้ย่อมไม่ใช่สินบริคณห์ คำขอแยกสินบริคณห์ของโจทก์ย่อมตกไป
คดีที่โจทก์ร้องขอแยกสินบริคณห์หรือขอแยกที่ดินส่วนของจำเลยโดยอ้างเหตุที่จำเลยกับ ผ. เป็นสามีภริยากัน เป็นคดีไม่มีทุนทรัพย์
คดีที่โจทก์ร้องขอแยกสินบริคณห์หรือขอแยกที่ดินส่วนของจำเลยโดยอ้างเหตุที่จำเลยกับ ผ. เป็นสามีภริยากัน เป็นคดีไม่มีทุนทรัพย์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 332/2513
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความสมบูรณ์ของฟ้องฐานปลอมและใช้เอกสารปลอม ไม่จำเป็นต้องระบุรายละเอียดทรัพย์สิน
โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยซึ่งมีหน้าที่เป็นพนักงานขายสินค้าของบริษัทจำกัดได้ทำปลอมสัญญาเช่าซื้อในนามบริษัทขึ้นทั้งฉบับ โดยกรอกข้อความลงในแบบฟอร์มของบริษัทและปลอมลายมือชื่อของบุคคลที่ระบุทั้งสี่คนขึ้นเป็นคู่สัญญากับบริษัท อันเป็นการเสียหายแก่บริษัทและคู่สัญญาที่จำเลยปลอมลายมือนั้น ต่อมาจำเลยได้ใช้สัญญาเช่าซื้อที่ปลอมนั้นมอบให้คนอื่นนำไปอ้างเพื่อขอเบิกเงินล่วงหน้า อันจะเกิดความเสียหายแก่บริษัทและผู้จัดการบริษัท ดังนี้เป็นฟ้องที่ครบองค์ความผิดฐานปลอมและใช้เอกสารปลอม โดยได้บรรยายการกระทำผิดของจำเลย และมีรายละเอียดเกี่ยวกับวันเวลาสถานที่กระทำผิดรวมทั้งบุคคลและสิ่งของที่เกี่ยวข้องในการกระทำผิดพอสมควรที่จำเลยจะเข้าใจข้อหาได้ดีแล้วฟ้องของโจทก์จึงสมบูรณ์ถูกต้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 158(5) โดยไม่จำเป็นต้องบรรยายว่า เป็นสัญญาเช่าซื้อทรัพย์สินอะไรมีราคาเท่าใด และไม่ต้องแนบสัญญาหรือสำเนามาพร้อมฟ้องอย่างคดีแพ่ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 332/2513 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความสมบูรณ์ของฟ้องคดีปลอมและใช้เอกสารปลอม ไม่ต้องระบุรายละเอียดทรัพย์สิน
โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยซึ่งมีหน้าที่เป็นพนักงานขายสินค้าของบริษัทจำกัดได้ทำปลอมสัญญาเช่าซื้อในนามบริษัทขึ้นทั้งฉบับ โดยกรอกข้อความลงในแบบฟอร์มของบริษัทและปลอมลายมือชื่อของบุคคลที่ระบุทั้งสี่คนขึ้นเป็นคู่สัญญากับบริษัท อันเป็นการเสียหายแก่บริษัทและคู่สัญญาที่จำเลยปลอมลายมือนั้น ต่อมาจำเลยได้ใช้สัญญาเช่าซื้อที่ปลอมนั้นมอบให้คนอื่นนำไปอ้าง เพื่อขอเบิกเงินล่วงหน้า อันจะเกิดความเสียหายแก่บริษัทและผู้จัดการบริษัท ดังนี้เป็นฟ้องที่ครบองค์ความผิดฐานปลอมและใช้เอกสารปลอม โดยได้บรรยายการกระทำผิดของจำเลย และมีรายละเอียดเกี่ยวกับวันเวลาสถานที่กระทำผิดรวมทั้งบุคคลและสิ่งของที่เกี่ยวข้องในการกระทำผิดพอสมควรที่จำเลยจะเข้าใจข้อหาได้ดีแล้วฟ้องของโจทก์จึงสมบูรณ์ถูกต้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 158 (5) โดยไม่จำเป็นต้องบรรยายว่าเป็นสัญญาเช่าซื้อทรัพย์สินอะไรมีราคาเท่าใด และไม่ต้องแนบสัญญาหรือสำเนามาพร้อมฟ้องอย่างคดีแพ่ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 317/2513 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิจารณาคดีอาญาโดยไม่ตรวจสอบสำนวนสอบสวนอย่างถูกต้อง ทำให้ศาลฎีกาไม่สามารถวินิจฉัยสาเหตุการกระทำผิดได้
ศาลชั้นต้นตรวจสำนวนการสอบสวนโดยมิได้เรียกสำนวนสอบสวนมาจากโจทก์ แล้วรวมสำนวนไว้เพื่อประกอบการพิจารณาและโจทก์ก็มิได้ส่งสำนวนการสอบสวนต่อศาลหรือขออ้างส่งสำนวนในฐานะเป็นพยานเอกสารศาลอุทธรณ์และศาลฎีกาจึงไม่อาจรู้ได้ว่าสาเหตุแห่งการกระทำผิดเป็นความจริงถูกต้องดังที่ศาลชั้นต้นพิพากษาหรือไม่
ตามใบนำส่งผู้บาดเจ็บให้แพทย์ตรวจชันสูตรของพนักงานสอบสวนระบุว่าถูกคนร้ายใช้มีดแทง บาดแผลผู้เสียหายทั้งสองคนรวม 3 แผลลึกเพียงครึ่งเซนติเมตรทั้ง 3 แผล และรักษา 7 วันหาย จึงไม่ใช่บาดแผลร้ายแรงที่อาจทำให้ถึงตายได้ จึงไม่ควรลงโทษจำคุกจำเลยเต็มตามอัตราโทษจำคุกที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295
ตามใบนำส่งผู้บาดเจ็บให้แพทย์ตรวจชันสูตรของพนักงานสอบสวนระบุว่าถูกคนร้ายใช้มีดแทง บาดแผลผู้เสียหายทั้งสองคนรวม 3 แผลลึกเพียงครึ่งเซนติเมตรทั้ง 3 แผล และรักษา 7 วันหาย จึงไม่ใช่บาดแผลร้ายแรงที่อาจทำให้ถึงตายได้ จึงไม่ควรลงโทษจำคุกจำเลยเต็มตามอัตราโทษจำคุกที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 317/2513
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิจารณาคดีอาญาโดยอาศัยสำนวนสอบสวนที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมายส่งผลต่อการวินิจฉัยสาเหตุแห่งการกระทำผิด
ศาลชั้นต้นตรวจสำนวนการสอบสวนโดยมิได้เรียกสำนวนสอบสวนมาจากโจทก์ แล้วรวมสำนวนไว้เพื่อประกอบการพิจารณาและโจทก์ก็มิได้ส่งสำนวนการสอบสวนต่อศาลหรือขออ้างส่งสำนวนในฐานะเป็นพยานเอกสารศาลอุทธรณ์และศาลฎีกาจึงไม่อาจรู้ได้ว่าสาเหตุแห่งการกระทำผิดเป็นความจริงถูกต้องดังที่ศาลชั้นต้นพิพากษาหรือไม่
ตามใบนำส่งผู้บาดเจ็บให้แพทย์ตรวจชันสูตรของพนักงานสอบสวนระบุว่าถูกคนร้ายใช้มีดแทง บาดแผลผู้เสียหายทั้งสองคนรวม 3 แผล ลึกเพียงครึ่งเซ็นติเมตรทั้ง 3 แผล และรักษา 7 วันหาย จึงไม่ใช่บาดแผลร้ายแรงที่อาจทำให้ถึงตายได้ จึงไม่ควรลงโทษจำคุกจำเลยเต็มตามอัตราโทษจำคุกที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295
ตามใบนำส่งผู้บาดเจ็บให้แพทย์ตรวจชันสูตรของพนักงานสอบสวนระบุว่าถูกคนร้ายใช้มีดแทง บาดแผลผู้เสียหายทั้งสองคนรวม 3 แผล ลึกเพียงครึ่งเซ็นติเมตรทั้ง 3 แผล และรักษา 7 วันหาย จึงไม่ใช่บาดแผลร้ายแรงที่อาจทำให้ถึงตายได้ จึงไม่ควรลงโทษจำคุกจำเลยเต็มตามอัตราโทษจำคุกที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295