พบผลลัพธ์ทั้งหมด 390 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2101/2511
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจสอบสวนของพนักงานสอบสวนและการยกข้อต่อสู้ในชั้นฎีกา
การที่จะพิจารณาว่าเจ้าพนักงานสอบสวนมีอำนาจสอบสวนหรือไม่นั้นเป็นข้อเท็จจริง. เพราะจะต้องพิจารณาข้อบังคับทั้งหลายซึ่งว่าด้วยอำนาจและหน้าที่ของตำรวจเป็นข้อประกอบด้วย. ดังที่ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 16 ได้บัญญัติไว้. ดังนั้น เมื่อจำเลยมิได้ยกข้อนี้ขึ้นต่อสู้ในศาลชั้นต้น. จำเลยจะยกปัญหาข้อนี้ขึ้นฎีกาไม่ได้.ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 193 วรรคสอง ประกอบด้วย มาตรา 225.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2007/2511 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำสั่งระหว่างพิจารณาที่ไม่ทำให้คดีเสร็จสิ้นยังคงมีสิทธิอุทธรณ์ได้ตามกฎหมาย
คำสั่งศาลชั้นต้นที่ว่า "คดีก่อนศาลสั่งจำหน่ายคดีโจทก์มีสิทธิฟ้องจำเลยที่ 1 ได้อีกไม่เป็นฟ้องซ้ำ ให้ดำเนินคดีสืบพยานโจทก์ไป" นั้น หาทำให้คดีเสร็จสำนวนไม่ เพราะศาลยังต้องทำการสืบพยานและพิพากษาชี้ขาดต่อไป เมื่อมีการอุทธรณ์คำสั่งนี้ จึงเป็นอุทธรณ์คำสั่งระหว่างพิจารณา ซึ่งต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 196
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2007/2511
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำสั่งศาลระหว่างพิจารณาไม่ทำให้คดีเสร็จสิ้น การอุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวจึงเป็นอุทธรณ์ที่ไม่ชอบ
คำสั่งศาลชั้นต้นที่ว่า 'คดีก่อนศาลสั่งจำหน่ายคดีโจทก์มีสิทธิฟ้องจำเลยที่ 1 ได้อีกไม่เป็นฟ้องซ้ำ. ให้ดำเนินคดีสืบพยานโจทก์ไป' นั้น หาทำให้คดีเสร็จสำนวนไม่. เพราะศาลยังต้องทำการสืบพยานและพิพากษาชี้ขาดต่อไป. เมื่อมีการอุทธรณ์คำสั่งนี้. จึงเป็นอุทธรณ์คำสั่งระหว่างพิจารณา. ซึ่งต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 196.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2007/2511 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำสั่งระหว่างพิจารณาที่ไม่ทำให้คดีเสร็จสิ้น ยังคงมีสิทธิอุทธรณ์ตามกฎหมาย
คำสั่งศาลชั้นต้นที่ว่า 'คดีก่อนศาลสั่งจำหน่ายคดีโจทก์มีสิทธิฟ้องจำเลยที่ 1 ได้อีกไม่เป็นฟ้องซ้ำ ให้ดำเนินคดีสืบพยานโจทก์ไป' นั้น หาทำให้คดีเสร็จสำนวนไม่ เพราะศาลยังต้องทำการสืบพยานและพิพากษาชี้ขาดต่อไป เมื่อมีการอุทธรณ์คำสั่งนี้ จึงเป็นอุทธรณ์คำสั่งระหว่างพิจารณา ซึ่งต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 196
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2006/2511 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
รับของโจรกรรมเดียว: การฟ้องซ้ำเป็นเหตุระงับความผิดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39(4)
คนร้ายลักทรัพย์สองเจ้าของ และจำเลยได้รับทรัพย์ที่ถูกลักทั้งสองเจ้าของนั้นไว้ โดยโจทก์สืบไม่ได้ว่าจำเลยได้รับทรัพย์ของกลางนั้นไว้ต่างคราวต่างวาระกันได้ จึงต้องฟังว่าจำเลยได้รับทรัพย์ของกลางทั้งสองรายนั้นไว้ในคราวเดียวกัน ซึ่งเป็นการกระทำผิดฐานรับของโจรกรรมเดียว แต่โจทก์ได้แยกฟ้องจำเลยเป็นสองคดี คดีแรกจำเลยได้ถูกศาลพิพากษาลงโทษในความผิดฐานรับของโจรเสร็จเด็ดขาดไปแล้ว โจทก์จึงไม่มีสิทธิจะนำคดีมาฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานรับของโจรในคดีหลังอีก เพราะความผิดของจำเลยเป็นอันระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39(4)แล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2006/2511 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
รับของโจรกรรมเดียว: การฟ้องซ้ำเป็นอันระงับตามกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
คนร้ายลักทรัพย์สองเจ้าของ และจำเลยได้รับทรัพย์ที่ถูกลักทั้งสองเจ้าของนั้นไว้ โดยโจทก์สืบไม่ได้ว่าจำเลยได้รับทรัพย์ของกลางนั้นไว้ต่างคราวต่างวาระกันได้ จึงต้องฟังว่าจำเลยได้รับทรัพย์ของกลางทั้งสองรายนั้นไว้ในคราวเดียวกัน ซึ่งเป็นการกระทำผิดฐานรับของโจรกรรมเดียว แต่โจทก์ได้แยกฟ้องจำเลยเป็นสองคดี คดีแรกจำเลยได้ถูกศาลพิพากษาลงโทษในความผิดฐานรับของโจรเสร็จเด็ดขาดไปแล้วโจทก์จึงไม่มีสิทธิจะนำคดีมาฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานรับของโจรในคดีหลังอีก เพราะความผิดของจำเลยเป็นอันระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39(4) แล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2006/2511
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
รับของโจรกรรมเดียว: การฟ้องซ้ำเป็นเหตุให้สิทธิระงับตามกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
คนร้ายลักทรัพย์สองเจ้าของ และจำเลยได้รับทรัพย์ที่ถูกลักทั้งสองเจ้าของนั้นไว้. โดยโจทก์สืบไม่ได้ว่าจำเลยได้รับทรัพย์ของกลางนั้นไว้ต่างคราวต่างวาระกันได้. จึงต้องฟังว่าจำเลยได้รับทรัพย์ของกลางทั้งสองรายนั้นไว้ในคราวเดียวกัน. ซึ่งเป็นการกระทำผิดฐานรับของโจรกรรมเดียว. แต่โจทก์ได้แยกฟ้องจำเลยเป็นสองคดี. คดีแรกจำเลยได้ถูกศาลพิพากษาลงโทษในความผิดฐานรับของโจรเสร็จเด็ดขาดไปแล้ว. โจทก์จึงไม่มีสิทธิจะนำคดีมาฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานรับของโจรในคดีหลังอีก. เพราะความผิดของจำเลยเป็นอันระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39(4)แล้ว.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2004/2511 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การให้โดยเสน่หาแก่บุตรและการแบ่งสินสมรส ศาลพิจารณาความเหมาะสมทางศีลธรรมและการลงชื่อเจ้าของร่วม
โจทก์กับจำเลยที่ 1 เป็นสามีภริยากัน. จำเลยที่ 2 เป็นบุตรโจทก์และจำเลยที่ 1 ได้ช่วยเหลือดูแลทรัพย์สินของโจทก์และจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2 ไปเฝ้าสวนของโจทก์และจำเลยที่ 1 ถูกคนร้ายยิงจนต้องเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลและตัดลำไส้ ในตอนหลังโจทก์กับจำเลยที่ 1 มีเรื่องจนต้องแยกกันอยู่ จำเลยที่ 1 ได้จำเลยที่ 2 ผู้เดียวเป็นผู้ปรนนิบัติ นับได้ว่าจำเลยที่ 2มีปฏิการะต่อบิดามารดายิ่งกว่าบุตรคนอื่น การที่จำเลยที่ 1 ยกที่ดินให้จำเลยที่ 2 อันเกิดจากโจทก์โดยเสน่หา ทั้งยกให้เพียงครึ่งหนึ่ง โดยจำเลยที่ 1 จดทะเบียนสิทธิเก็บกินไว้ตลอดชีวิต อีกครึ่งหนึ่งยังเป็นสินบริคณห์ระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 อยู่ ดังนี้เป็นการให้ตามสมควรในทางศีลธรรมอันดีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1473 วรรค 2(3)
โจทก์ฟ้องขอให้ลงชื่อโจทก์เป็นเจ้าของร่วมกับจำเลยในโฉนดที่ดินทั้งแปลง เมื่อได้ความว่าที่ดินยังเป็นสินสมรสระหว่างโจทก์และจำเลยเพียงครึ่งหนึ่งก็ชอบที่จะลงชื่อโจทก์เป็นเจ้าของร่วมกับจำเลยในส่วนที่ยังเป็นสินสมรสอยู่นั้นได้
โจทก์ฟ้องขอให้ลงชื่อโจทก์เป็นเจ้าของร่วมกับจำเลยในโฉนดที่ดินทั้งแปลง เมื่อได้ความว่าที่ดินยังเป็นสินสมรสระหว่างโจทก์และจำเลยเพียงครึ่งหนึ่งก็ชอบที่จะลงชื่อโจทก์เป็นเจ้าของร่วมกับจำเลยในส่วนที่ยังเป็นสินสมรสอยู่นั้นได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2004/2511 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การให้โดยเสน่หาแก่บุตรที่ดูแลบิดามารดา และสิทธิในสินสมรส
โจทก์กับจำเลยที่ 1 เป็นสามีภริยากัน จำเลยที่ 2 เป็นบุตรโจทก์และจำเลยที่ 1 ได้ช่วยเหลือดูแลทรัพย์สินของโจทก์และจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2 ไปเฝ้าสวนของโจทก์และจำเลยที่ 1 ถูกคนร้ายยิงจนต้องเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลและ ตัดลำใส้ ในตอนหลังโจทก์กับจำเลยที่ 1 มีเรื่องจนต้องแยกกันอยู่ จำเลยที่ 1 ได้จำเลยที่ 2 ผู้เดียวเป็นผู้ปรนนิบัติ นับได้ว่าจำเลยที่ 2มีปฏิการะต่อบิดามารดายิ่งกว่าบุตรคนอื่น การที่จำเลยที่ 1 ยกที่ดินให้จำเลยที่ 2 อันเกิดจากโจทก์โดยเสน่หา ทั้งยกให้เพียงครึ่งหนึ่ง โดยจำเลยที่ 1 จดทะเบียนสิทธิเก็บกินไว้ตลอดชีวิต อีกครึ่งหนึ่งยังเป็นสินบริคณห์ระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 อยู่ ดังนี้เป็นการให้ตามสมควรในทางศีลธรรมอันดีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1473 วรรค 2(3)
โจทก์ฟ้องขอให้ลงชื่อโจทก์เป็นเจ้าของร่วมกับจำเลยในโฉนดที่ดินทั้งแปลง เมื่อได้ความว่าที่ดินยังเป็นสินสมรสระหว่างโจทก์และจำเลยเพียงครึ่งหนึ่งก็ชอบที่จะลงชื่อโจทก์เป็นเจ้าของร่วมกับจำเลยในส่วนที่ยังเป็นสินสมรสอยู่นั้นได้
โจทก์ฟ้องขอให้ลงชื่อโจทก์เป็นเจ้าของร่วมกับจำเลยในโฉนดที่ดินทั้งแปลง เมื่อได้ความว่าที่ดินยังเป็นสินสมรสระหว่างโจทก์และจำเลยเพียงครึ่งหนึ่งก็ชอบที่จะลงชื่อโจทก์เป็นเจ้าของร่วมกับจำเลยในส่วนที่ยังเป็นสินสมรสอยู่นั้นได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2004/2511
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การให้โดยเสน่หาและสิทธิในสินสมรส: การให้ทรัพย์สินแก่บุตรด้วยความเสน่หาชอบด้วยกฎหมาย และสิทธิของคู่สมรสในสินสมรส
โจทก์กับจำเลยที่ 1 เป็นสามีภริยากัน. จำเลยที่ 2 เป็นบุตรโจทก์และจำเลยที่ 1 ได้ช่วยเหลือดูแลทรัพย์สินของโจทก์และจำเลยที่ 1. จำเลยที่ 2 ไปเฝ้าสวนของโจทก์และจำเลยที่ 1 ถูกคนร้ายยิงจนต้องเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลและ ตัดลำใส้. ในตอนหลังโจทก์กับจำเลยที่ 1 มีเรื่องจนต้องแยกกันอยู่. จำเลยที่ 1 ได้จำเลยที่ 2 ผู้เดียวเป็นผู้ปรนนิบัติ. นับได้ว่าจำเลยที่ 2มีปฏิการะต่อบิดามารดายิ่งกว่าบุตรคนอื่น. การที่จำเลยที่ 1 ยกที่ดินให้จำเลยที่ 2 อันเกิดจากโจทก์โดยเสน่หา ทั้งยกให้เพียงครึ่งหนึ่ง โดยจำเลยที่ 1จดทะเบียนสิทธิเก็บกินไว้ตลอดชีวิต. อีกครึ่งหนึ่งยังเป็นสินบริคณห์ระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 อยู่. ดังนี้เป็นการให้ตามสมควรในทางศีลธรรมอันดีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1473 วรรค 2(3).
โจทก์ฟ้องขอให้ลงชื่อโจทก์เป็นเจ้าของร่วมกับจำเลยในโฉนดที่ดินทั้งแปลง. เมื่อได้ความว่าที่ดินยังเป็นสินสมรสระหว่างโจทก์และจำเลยเพียงครึ่งหนึ่งก็ชอบที่จะลงชื่อโจทก์เป็นเจ้าของร่วมกับจำเลยในส่วนที่ยังเป็นสินสมรสอยู่นั้นได้.
โจทก์ฟ้องขอให้ลงชื่อโจทก์เป็นเจ้าของร่วมกับจำเลยในโฉนดที่ดินทั้งแปลง. เมื่อได้ความว่าที่ดินยังเป็นสินสมรสระหว่างโจทก์และจำเลยเพียงครึ่งหนึ่งก็ชอบที่จะลงชื่อโจทก์เป็นเจ้าของร่วมกับจำเลยในส่วนที่ยังเป็นสินสมรสอยู่นั้นได้.