พบผลลัพธ์ทั้งหมด 390 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1374/2513
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ประเภทสัญญาจ้าง (จ้างทำของ vs จ้างแรงงาน) และอายุความของค่าเสียหายจากการชำรุดบกพร่อง
จำเลยตกลงรับจ้างทำการชักลากไม้ของโจทก์จำนวน 60 ท่อนจากป่าระหารไปส่งให้แก่โจทก์ผู้ว่าจ้างที่บ้านท่าพุทราซึ่งเป็นการขนเฉพาะไม้รายนี้ให้โจทก์ให้เสร็จภายในเวลาที่กำหนดไว้ในสัญญา โดยโจทก์คิดค่าจ้างให้จำเลยเพื่อผลสำเร็จแห่งการงานนั้น ในจำนวนไม้ตามที่จำเลยส่งมอบให้โจทก์ในอัตราลูกบาศก์เมตรละ 60 บาท หาใช่เป็นสัญญาที่จำเลยมีหน้าที่จะต้องทำการขนไม้รายอื่น ๆ ให้โจทก์อยู่ตลอดเวลาที่จ้างตามที่กำหนดไว้นั้นไม่ สัญญาที่จำเลยทำจึงเป็นสัญญาจ้างทำของ หาใช่เป็นสัญญาจ้างแรงงานไม่
ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 601 การชำรุดบกพร่องจะต้องเป็นความชำรุดบกพร่องแก่ตัวทรัพย์ที่จำเลยทำการขนส่งมอบแก่โจทก์ จำเลยขนส่งไม้ไปส่งมอบให้โจทก์ไม่ครบจำนวน จึงเป็นเรื่องที่จำเลยผิดสัญญาที่ทำไว้กับโจทก์ กรณีไม่เข้ามาตรา 601 ตามสัญญาจ้างชักลากไม้ก็มีความว่า หากปรากฏว่าไม้ที่จ้างกันนี้สูญหายหรือเสียหายด้วยประการใด ๆ จำเลยผู้รับจ้างจะต้องใช้ค่าเสียหายให้โจทก์ โจทก์ย่อมมีสิทธิเรียกร้องค่าไม้ที่ขาดหายไปนั้นจากจำเลยได้ภายในกำหนด 10 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 164
ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 601 การชำรุดบกพร่องจะต้องเป็นความชำรุดบกพร่องแก่ตัวทรัพย์ที่จำเลยทำการขนส่งมอบแก่โจทก์ จำเลยขนส่งไม้ไปส่งมอบให้โจทก์ไม่ครบจำนวน จึงเป็นเรื่องที่จำเลยผิดสัญญาที่ทำไว้กับโจทก์ กรณีไม่เข้ามาตรา 601 ตามสัญญาจ้างชักลากไม้ก็มีความว่า หากปรากฏว่าไม้ที่จ้างกันนี้สูญหายหรือเสียหายด้วยประการใด ๆ จำเลยผู้รับจ้างจะต้องใช้ค่าเสียหายให้โจทก์ โจทก์ย่อมมีสิทธิเรียกร้องค่าไม้ที่ขาดหายไปนั้นจากจำเลยได้ภายในกำหนด 10 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 164
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1374/2513 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ประเภทสัญญาจ้าง: จ้างทำของ vs. จ้างแรงงาน และอายุความผิดสัญญาขนส่ง
จำเลยตกลงรับจ้างทำการชักลากไม้ของโจทก์จำนวน 60 ท่อน จากป่าระหารไปส่งให้แก่โจทก์ผู้ว่าจ้างที่บ้านท่าพุทรา ซึ่งเป็นการขนเฉพาะไม้รายนี้ให้โจทก์ให้เสร็จภายในเวลาที่กำหนดไว้ในสัญญา โดยโจทก์คิดค่าจ้างให้จำเลยเพื่อผลสำเร็จแห่งการงานนั้น ในจำนวนไม้ตามที่จำเลยส่งมอบให้โจทก์ ในอัตราลูกบาศก์เมตรละ 60 บาท หาใช่เป็นสัญญาที่จำเลยมีหน้าที่จะต้องทำการขนไม้รายอื่น ๆ ให้โจทก์อยู่ตลอดเวลาที่จ้างตามที่กำหนดไว้นั้นไม่ สัญญาที่จำเลยทำจึงเป็นสัญญาจ้างทำของ หาใช่เป็นสัญญาจ้างแรงงานไม่
ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 601 การชำรุดบกพร่องจะต้องเป็นความชำรุดบกพร่องแก่ตัวทรัพย์ที่จำเลยทำการขนส่งมอบแก่โจทก์ จำเลยขนไม้ไปส่งมอบให้โจทก์ไม่ครบจำนวน จึงเป็นเรื่องที่จำเลยผิดสัญญาที่ทำไว้กับโจทก์ กรณีไม่เข้ามาตรา 601 ตามสัญญาจ้างชักลากไม้ก็มีความว่า หากปรากฏว่าไม้ที่จ้างกันนี้สูญหายหรือเสียหายด้วยประการใด ๆ จำเลยผู้รับจ้างจะต้องใช้ค่าเสียหายให้โจทก์ โจทก์ย่อมมีสิทธิเรียกร้องค่าไม้ที่ขาดหายไปนั้นจากจำเลยได้ภายในกำหนด 10 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 164
ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 601 การชำรุดบกพร่องจะต้องเป็นความชำรุดบกพร่องแก่ตัวทรัพย์ที่จำเลยทำการขนส่งมอบแก่โจทก์ จำเลยขนไม้ไปส่งมอบให้โจทก์ไม่ครบจำนวน จึงเป็นเรื่องที่จำเลยผิดสัญญาที่ทำไว้กับโจทก์ กรณีไม่เข้ามาตรา 601 ตามสัญญาจ้างชักลากไม้ก็มีความว่า หากปรากฏว่าไม้ที่จ้างกันนี้สูญหายหรือเสียหายด้วยประการใด ๆ จำเลยผู้รับจ้างจะต้องใช้ค่าเสียหายให้โจทก์ โจทก์ย่อมมีสิทธิเรียกร้องค่าไม้ที่ขาดหายไปนั้นจากจำเลยได้ภายในกำหนด 10 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 164
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1305/2513
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง: การโต้เถียงดุลพินิจชั่งน้ำหนักพยานของศาลล่างไม่อาจฎีกาได้
การฎีกาโต้เถียงดุลพินิจในการชั่งน้ำหนักคำพยานของศาลอุทธรณ์เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1305/2513 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง: โต้แย้งดุลพินิจชั่งน้ำหนักพยานของศาลอุทธรณ์เกี่ยวกับความผิดฐานฉ้อโกง
การฎีกาโต้เถียงดุลพินิจในการชั่งน้ำหนักคำพยานของศาลอุทธรณ์ เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1062/2513 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การวางเงินต่อศาลหลังมีคำพิพากษา และสิทธิเรียกร้องดอกเบี้ยหลังศาลตัดสินถึงที่สุด
เมื่อศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาแล้ว จำเลยนำต้นเงินและดอกเบี้ยจากวันฟ้องจนถึงวันชำระเสร็จตามจำนวนที่จำเลยจะต้องใช้ให้โจทก์ตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้นมาวางไว้ต่อศาล แล้วจำเลยอุทธรณ์ฎีกาต่อมาโต้แย้งว่า จำเลยไม่ควรรับผิดใช้เงินให้โจทก์ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ไม่ใช่กรณีที่จำเลยวางเงินต่อศาลตามที่โจทก์เรียกร้องโดยยอมรับผิด อันจะเป็นเหตุให้ระงับการเสียดอกเบี้ยในจำนวนเงินที่วาง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 136 กรณีมีผลเพียงตามมาตรา 231 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ให้ศาลงดการบังคับคดีไว้ก่อนในระหว่างอุทธรณ์ฎีกาเท่านั้น ต่อมาเมื่อศาลอุทธรณ์และศาลฎีกาพิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้จำเลยใช้เงินและดอกเบี้ย คดีถึงที่สุด โจทก์ย่อมมีสิทธิขอให้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งบังคับให้จำเลยปฏิบัติการชำระดอกเบี้ยในจำนวนเงินที่วางศาลจากวันที่จำเลยได้วางไว้แล้วต่อไปในระหว่างอุทธรณ์ฎีกาให้โจทก์ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1062/2513
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การวางเงินต่อศาลหลังมีคำพิพากษา ไม่ปลดเปลื้องหนี้ดอกเบี้ย โจทก์มีสิทธิบังคับคดีเรียกดอกเบี้ยจนกว่าจะชำระหนี้ครบถ้วน
เมื่อศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาแล้ว จำเลยนำต้นเงินและดอกเบี้ยจากวันฟ้องจนถึงวันชำระเสร็จตามจำนวนที่จำเลยจะต้องใช้ให้โจทก์ตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้นมาวางไว้ต่อศาล แล้วจำเลยอุทธรณ์ฎีกาต่อมาโต้แย้งว่า จำเลยไม่ควรรับผิดใช้เงินให้โจทก์ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นไม่ใช่กรณีที่จำเลยวางเงินต่อศาลตามที่โจทก์เรียกร้องโดยยอมรับผิดอันจะเป็นเหตุให้ระงับการเสียดอกเบี้ยในจำนวนเงินที่วาง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 136 กรณีมีผลเพียงตามมาตรา 231 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ให้ศาลงดการบังคับคดีไว้ก่อนในระหว่างอุทธรณ์ฎีกาเท่านั้น ต่อมาเมื่อศาลอุทธรณ์และศาลฎีกาพิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้จำเลยใช้เงินและดอกเบี้ย คดีถึงที่สุด โจทก์ย่อมมีสิทธิขอให้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งบังคับให้จำเลยปฏิบัติการชำระดอกเบี้ยในจำนวนเงินที่วางศาลจากวันที่จำเลยได้วางไว้แล้วต่อไปในระหว่างอุทธรณ์ฎีกาให้โจทก์ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1056/2513 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดฐานพยายามชิงทรัพย์ แม้ไม่ได้ทรัพย์สินไปสำเร็จ ศาลลงโทษได้ตามความผิดที่เกิดขึ้น
จำเลยชิงทรัพย์โดยกระชากสร้อยซึ่งสวมอยู่ที่คอของผู้เสียหาย สร้อยคอขาดตกอยู่ในเสื้อของผู้เสียหาย จำเลยจึงเอาสร้อยนั้นไปไม่ได้ เป็นการที่จำเลยลงมือกระทำความผิดแล้ว แต่ยังไม่อาจยึดถือเอาทรัพย์นั้นไปได้สำเร็จ เป็นผิดเพียงพยายามชิงทรัพย์
ฟ้องขอให้ลงโทษฐานชิงทรัพย์อันเป็นความผิดสำเร็จ ได้ความตามทางพิจารณาว่าเป็นพยายาม ศาลย่อมพิพากษาลงโทษจำเลยฐานพยายามชิงทรัพย์ได้ เพราะไม่ใช่ข้อเท็จจริงที่ปรากฏตามทางพิจารณาต่างกับฟ้อง และไม่เป็นการพิพากษาเกินคำขอ หรือที่มิได้กล่าวในฟ้องดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 การนำเอามาตรา 80 แห่งประมวลกฎหมายอาญา มาประกอบการลงโทษจำเลยเป็นเพียงวิธีการแบ่งส่วนโทษตามความผิดของจำเลยเท่านั้น
ฟ้องขอให้ลงโทษฐานชิงทรัพย์อันเป็นความผิดสำเร็จ ได้ความตามทางพิจารณาว่าเป็นพยายาม ศาลย่อมพิพากษาลงโทษจำเลยฐานพยายามชิงทรัพย์ได้ เพราะไม่ใช่ข้อเท็จจริงที่ปรากฏตามทางพิจารณาต่างกับฟ้อง และไม่เป็นการพิพากษาเกินคำขอ หรือที่มิได้กล่าวในฟ้องดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 การนำเอามาตรา 80 แห่งประมวลกฎหมายอาญา มาประกอบการลงโทษจำเลยเป็นเพียงวิธีการแบ่งส่วนโทษตามความผิดของจำเลยเท่านั้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1056/2513
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดพยายามชิงทรัพย์: ศาลลงโทษได้แม้ฟ้องขอเป็นความผิดสำเร็จ
จำเลยชิงทรัพย์โดยกระชากสร้อยซึ่งสวมอยู่ที่คอของผู้เสียหายสร้อยขาดตกอยู่ในเสื้อของผู้เสียหาย จำเลยจึงเอาสร้อยนั้นไปไม่ได้เป็นการที่จำเลยลงมือกระทำความผิดแล้ว แต่ยังไม่อาจยึดถือเอาทรัพย์นั้นไปได้สำเร็จ เป็นผิดเพียงพยายามชิงทรัพย์
ฟ้องขอให้ลงโทษฐานชิงทรัพย์อันเป็นความผิดสำเร็จ ได้ความตามทางพิจารณาว่าเป็นพยายาม ศาลย่อมพิพากษาลงโทษจำเลยฐานพยายามชิงทรัพย์ได้ เพราะไม่ใช่ข้อเท็จจริงที่ปรากฏตามทางพิจารณาต่างกับฟ้อง และไม่เป็นการพิพากษาเกินคำขอหรือที่มิได้กล่าวในฟ้องดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 การนำเอามาตรา 80 แห่งประมวลกฎหมายอาญามาประกอบการลงโทษจำเลยเป็นเพียงวิธีการแบ่งส่วนโทษตามความผิดของจำเลยเท่านั้น
ฟ้องขอให้ลงโทษฐานชิงทรัพย์อันเป็นความผิดสำเร็จ ได้ความตามทางพิจารณาว่าเป็นพยายาม ศาลย่อมพิพากษาลงโทษจำเลยฐานพยายามชิงทรัพย์ได้ เพราะไม่ใช่ข้อเท็จจริงที่ปรากฏตามทางพิจารณาต่างกับฟ้อง และไม่เป็นการพิพากษาเกินคำขอหรือที่มิได้กล่าวในฟ้องดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 การนำเอามาตรา 80 แห่งประมวลกฎหมายอาญามาประกอบการลงโทษจำเลยเป็นเพียงวิธีการแบ่งส่วนโทษตามความผิดของจำเลยเท่านั้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1054-1055/2513
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความประมาทเลินเล่อของผู้บังคับการเรือ การควบคุมเรือในแม่น้ำ การละเลยการแต่งลำเรือเพื่อความปลอดภัย
จำเลยนำเรือรบแล่นตามแม่น้ำจะผ่านสะพานพระพุทธยอดฟ้าเห็นแต่ไกลว่าสะพานยังไม่เปิด จำเลยควรจะชะลอความเร็วแล้วเดินหน้าถอยหลังจนกว่าสะพานเปิด แต่ก็ไม่ทำ กลับให้หยุดเดินเครื่องปล่อยให้เรือลอยไปตามกระแสน้ำใกล้สะพานจึงให้ทิ้งสมอจอดเรือเรือก็กลับลำเอาท้ายเรือไปปะทะเรือสะพานและรั้วของราษฎรซึ่งอยู่ริมแม่น้ำเสียหาย ถ้าน้ำไหลและลมพัดอย่างปกติตามฤดูกาลเท่านั้นแล้วจำเลยจะอ้างไม่ได้ว่าเป็นเหตุสุดวิสัยที่จำเลยจะป้องกันได้ เพราะกระแสน้ำไหลเชี่ยวและลมก็พัดแรง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1054-1055/2513 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความประมาทเลินเล่อในการบังคับเรือ การไม่ชะลอความเร็วและแก้ไขสถานการณ์เมื่อใกล้สะพาน ถือเป็นละเมิด
จำเลยนำเรือรบแล่นตามแม่น้ำจะผ่านสะพานพระพุทธยอดฟัง เห็นแต่ไกลว่าสะพานยังไม่เปิด จำเลยควรจะชลอความเร็วแล้วเดินหน้าถอยหลังจนกว่าสะพานเปิด แต่ก็ไม่ทำ กลับให้หยุดเดินเครื่องปล่อยให้เรือลอยไปตามกระแสน้ำใกล้สะพานจึงทิ้งสมอจอดเรือเรือก็กลับลำเอาท้ายเรือไปปะทะเรือ สะพานและรั้วของราษฎรซึ่งอยู่ริมแม่น้ำเสียหาย ถ้าน้ำไหลและลมพัดอย่างปกติตามฤดูกาลเท่านั้นแล้ว จำเลยจะอ้างไม่ได้ว่าเป็นเหตุสุดวิสัยที่จำเลยจะป้องกันได้เพราะกระแสน้ำไหลเชี่ยวและลมก็พัดแรง