คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
แถม สิริสาลี

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 390 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1073/2510

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การป้องกันตัวพอสมควรแก่เหตุ กรณีถูกทำร้ายด้วยอาวุธร้ายแรง
จำเลยถามผู้ตายเรื่องชำเราเด็กและทวงเงิน ผู้ตายใช้มีดจะแทงจำเลยจำเลยใช้ไม้ตีไปที่หน้าผู้ตาย 1 ที ผู้ตายล้มลงแล้วโงนเงนขึ้นมาจะแทงจำเลยอีก จำเลยจึงตีถูกที่หน้าผู้ตายอีก 1 ที ผู้ตายล้มลงศีรษะฟาดกับหินถึงแก่ความตาย เป็นการป้องกันพอสมควรแก่เหตุ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1071/2510 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องยักยอกเงินภาษีไม่ชัดเจน ขาดรายละเอียดทรัพย์สิน และความรับผิดของโจทก์จากการลงชื่อรับรองเอกสาร
ฟ้องคดีอาญาที่มิได้บรรยายให้ได้ความชัดว่าจำเลยยักยอกเงินที่พวกโจทก์มอบให้จำเลยไปเสียภาษีเท่าใด คงกล่าวไว้มีใจความสำคัญแต่เพียงจำนวนเงินที่มอบให้จำเลยไป จำนวนที่ต้องเสียภาษีรายเดือน จำนวนเงินเหลือรายเดือน จำนวนที่เหลือนี้ได้ตกลงให้จำเลยเก็บรักษาไว้เสียภาษีปลายปี เมื่อโจทก์ถูกสรรพากรเรียกไปพบหาว่าเสียภาษีไม่ครบจึงทราบว่าจำเลยยักยอกเงินที่มอบไป โดยเสียภาษีไม่ครบเท่านั้น ฟ้องของโจทก์จึงขาดข้อเท็จจริงและรายละเอียดที่เกียวกับทรัพย์หรือสิ่งของที่เกี่ยวข้องกับข้อหาว่าจำเลยเบียดบังยักยอกไปอันเป็นสารสำคัญ ฟ้องของโจทก์จึงไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158
โจทก์ได้เห็นและทราบรายการที่ได้กรอกไว้ในแบบ ภ.ค.4 เพื่อชำระภาษีการค้าที่จำเลยนำมาให้โจทก์เซ็นชื่อเป็นผู้ยื่น โจทก์ได้เซ็นชื่อลงไป จึงต้องรับผิดชอบในความถูกต้องแท้จริงของข้อความตลอดจนจำนวนเงินที่ต้องเสียภาษี เพราะเป็นการกระทำของโจทก์เอง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1071/2510

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องยักยอกทรัพย์ไม่ชัดเจน ขาดรายละเอียดทรัพย์สินที่ถูกยักยอก และโจทก์มีส่วนรับผิดชอบในการเสียภาษี
ฟ้องคดีอาญาที่มิได้บรรยายให้ได้ความชัดว่าจำเลยยักยอกเงินที่พวกโจทก์มอบให้จำเลยไปเสียภาษีเท่าใด คงกล่าวไว้มีใจความสำคัญแต่เพียงจำนวนเงินที่มอบให้จำเลยไป จำนวนที่ต้องเสียภาษีรายเดือน จำนวนเงินเหลือรายเดือน จำนวนที่เหลือนี้ได้ตกลงให้จำเลยเก็บรักษาไว้เสียภาษีปลายปี เมื่อโจทก์ถูกสรรพากรเรียกไปพบหาว่าเสียภาษีไม่ครบจึงทราบว่าจำเลยยักยอกเงินที่มอบไป โดยเสียภาษีไม่ครบเท่านั้นฟ้องของโจทก์จึงขาดข้อเท็จจริงและรายละเอียดที่เกี่ยวกับทรัพย์หรือสิ่งของที่เกี่ยวข้องกับข้อหาว่าจำเลยเบียดบังยักยอกไปอันเป็นสารสำคัญฟ้องของโจทก์ จึงไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา158
โจทก์ได้เห็นและทราบรายการที่ได้กรอกไว้ในแบบ ภ.ค.4เพื่อชำระภาษีการค้าที่จำเลยนำมาให้โจทก์เซ็นชื่อเป็นผู้ยื่น โจทก์ได้เซ็นชื่อลงไป จึงต้องรับผิดชอบในความถูกต้องแท้จริงของข้อความตลอดจนจำนวนเงินที่ต้องเสียภาษี เพราะเป็นการกระทำของโจทก์เอง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1069/2510 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การทำร้ายร่างกาย: การพิจารณาความรุนแรงของการกระทำและบาดแผลเพื่อประเมินความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295
การทำให้เกิดอันตรายแก่กายหรือจิตใจตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295 จะต้องพิจารณาถึงพฤติการณ์แห่งการกระทำของจำเลย และบาดแผลของผู้เสียหายประกอบกัน
ใช้มือชกต่อยและใช้เท้าเตะผู้เสียหาย มีบาดแผลที่หน้าผากข้างขวาถลอกโหนกแก้มขวาบวมเล็กน้อย รักษาประมาณ 5 วันหาย ไม่เป็นอันตรายแก่กายหรือจิตใจตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295 จึงผิดเพียงตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 391

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1069/2510

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การทำร้ายร่างกาย: พฤติการณ์และบาดแผลเป็นตัวชี้วัดความรุนแรงตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295
การทำให้เกิดอันตรายแก่กายหรือจิตใจตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 295 จะต้องพิจารณาถึงพฤติการณ์แห่งการกระทำของจำเลยและบาดแผลของผู้เสียหายประกอบกัน
ใช้มือชกต่อยและใช้เท้าเตะผู้เสียหาย มีบาดแผลที่หน้าผากข้างขวาถลอกโหนกแก้มขวาบวมเล็กน้อย รักษาประมาณ 5 วันหาย ไม่เป็นอันตรายแก่กายหรือจิตใจตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295 จึงผิดเพียง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 391

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1019/2510

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คำพิพากษาถึงที่สุดยันบุคคลภายนอกได้ การครอบครองตาม ส.ค.1 ไม่พอฟังว่าเป็นเจ้าของ
โจทก์นำยึดที่ดินของจำเลย แต่ปรากฏว่าที่ดินที่โจทก์นำยึดนั้นศาลเคยมีคำพิพากษาถึงที่สุดไว้แล้วในคดีเรื่องหนึ่งว่าเป็นของผู้ร้องคำพิพากษานั้นย่อมใช้ยันโจทก์ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกคดีดังกล่าวได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145(2) เว้นแต่โจทก์จะพิสูจน์ได้ว่าตนมีสิทธิดีกว่า โดยแสดงได้ว่าที่แปลงนั้นเป็นของจำเลย
เพียงแต่มีชื่อเป็นผู้แจ้งการครอบครองใน ส.ค.1 หาพอฟังว่าตนเป็นผู้ครอบครองที่ดินนั้นไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1019/2510 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คำพิพากษาถึงที่สุดยันบุคคลภายนอก การยึดทรัพย์ต้องพิสูจน์สิทธิเหนือกว่า
โจทก์นำยึดที่ดินของจำเลย แต่ปรากฏว่าที่ดินที่โจทก์นำยึดนี้น ศาลเคยมีคำพิพากษาถึงที่สุดไว้แล้วในคดีเรื่องหนึ่งว่าเป็นของผู้ร้อง คำพิพากษานั้นย่อมใช้ยันโจทก์ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกคดีดังกล่าวได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145 (2) เว้นแต่โจทก์จะพิสูจน์ได้ว่าตนมีสิทธิดีกว่า โดยแสดงได้ว่ามีแปลงนั้นเป็นของจำเลย
เพียงแต่มีชื่อเป็นผู้แจ้งการครอบครองใน ส.ค.1 หาพอฟังว่าตนเป็นผู้ครอบครองที่ดินนั้นไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 909/2510

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การครอบครองปรปักษ์หลังสัญญาซื้อขายเป็นโมฆะ การโอนการครอบครองทำให้ผู้ซื้อได้สิทธิครอบครอง
โจทก์ฟ้องว่า เดิมที่พิพาทเป็นที่ป่าเป็นของจำเลยจำเลยให้โจทก์บุกเบิกแล้วจำเลยได้ขายที่พิพาทนั้นให้แก่โจทก์ โจทก์ใช้สิทธิครอบครองทำประโยชน์ ต่อมาจำเลยบุกรุกที่พิพาท ขอให้แสดงว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์ ห้ามจำเลยและบริวารเกี่ยวข้อง ดังนี้คำฟ้องโจทก์มีสภาพแห่งข้อหาว่าโจทก์ใช้สิทธิครอบครองทำประโยชน์ในที่พิพาท ข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหามีว่า จำเลยขายที่พิพาทให้โจทก์แล้วโจทก์ได้ครอบครอง เมื่อจำเลยให้การปฏิเสธข้อกล่าวอ้างเหล่านี้ จึงเป็นประเด็นที่จะต้องวินิจฉัย ส่วนที่ว่าเดิมที่พิพาทเป็นที่ป่าหรือไม่ ไม่เกี่ยวกับประเด็นแห่งคดีและไม่ทำให้ผลของคดีเปลี่ยนแปลง
ทำสัญญาซื้อขายที่ดินไม่มีหนังสือสำคัญสำหรับที่ดิน โดยไม่ได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ แม้จะเป็นโมฆะ แต่เมื่อผู้ขายโอนการครอบครองให้ผู้ซื้อ และผู้ซื้อได้ยึดถือครอบครองที่ดินนั้นเป็นเวลากว่า 4 ปี ดังนี้ การครอบครองของผู้ขายย่อมสุดสิ้นลงตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1377,1378 ผู้ซื้อย่อมได้สิทธิครอบครองที่ดินนั้น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 909/2510 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การโอนการครอบครองที่ดินหลังสัญญาซื้อขายเป็นโมฆะ ทำให้ผู้ซื้อได้สิทธิครอบครอง
โจทก์ฟ้องว่า เดิมที่พิพาทเป็นที่ป่าเป็นของจำเลย จำเลยให้โจทก์บุกเบิกแล้วจำเลยได้ขายที่พิพาทนั้นให้แก่โจทก์
โจทก์ใช้สิทธิครอบครองทำประโยชน์ ต่อมาจำเลยบุกรุกที่พิพาท ขอให้แสดงว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์ ห้ามจำเลยและบริวารเกี่ยวข้อง ดังนี้ คำฟ้องโจทก์มีสภาพแห่งข้อหาว่าโจทก์ใช้สิทธิครอบครองทำประโยชน์ในที่พิพาท ข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหามีว่า จำเลยขายที่พิพาทให้โจทก์ แล้วโจทก์ได้ครอบครอง เมื่อจำเลยให้การปฏิเสธข้อกล่าวอ้างเหล่านี้ จึงเป็นประเด็นที่จะต้องวินิจฉัย ส่วนที่ว่าเดิมที่พิพาทเป็นที่ป่าหรือไม่ ไม่เกี่ยวกับประเด็นแห่งคดี และไม่ทำให้ผลของคดีเปลี่ยนแปลง
ทำสัญญาซื้อขายที่ดินไม่มีหนังสือสำคัญสำหรับที่ดิน โดยไม่ได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ แม้จะเป็นโมฆะ แต่เมื่อผู้ขายโอนการครอบครองให้ผู้ซื้อ และผู้ซื้อได้ยึดถือครอบครองที่ดินนั้นเป็นเวลากว่า 4 ปี ดังนี้ การครอบครองของผู้ขายย่อมสุดสิ้นลงตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1377, 1378 ผู้ซื้อย่อมได้สิทธิครอบครองที่ดินนั้น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 860/2510

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความรับผิดชอบในการรังวัดที่ดินตามสัญญาประนีประนอม การปักหลักเขตเกินขอบเขตสัญญา
ข้อเท็จจริงปรากฏในสำนวนแล้วว่าโจทก์ฝ่ายเดียวเป็นผู้นำเจ้าพนักงานแผนที่ไปทำการรังวัด เพื่อกำหนดเขตที่ดินระหว่างโจทก์จำเลยให้เป็นไปตามสัญญาประนีประนอมระหว่างโจทก์จำเลยจึงเห็นได้ว่าการกระทำของเจ้าพนักงานก็ต้องอยู่ในความรับผิดชอบของโจทก์ทั้งสิ้น และเมื่อปรากฏว่าได้มีการปักหลักลงในคูพิพาทอันเป็นการนอกเหนือเกินกว่าที่ปรากฏในสัญญายอม แม้โจทก์จะอ้างว่าเจ้าพนักงานแผนที่เป็นผู้สั่งให้ปักก็ตาม ก็ถือว่าอยู่ในความรับผิดชอบของโจทก์ ข้อเท็จจริงในสำนวนจึงพอที่ศาลจะสั่งได้ ไม่จำเป็นต้องย้อนสำนวนให้ศาลชั้นต้นทำการไต่สวน
of 39