คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
ประสม เภกะสุต

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 678 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1057/2514 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คำฟ้องฐานยักยอกที่ไม่ชัดเจน การระบุการกระทำผิดต้องเพียงพอให้จำเลยเข้าใจข้อหา
คำบรรยายฟ้องว่า ระหว่างวันที่ 1 เมษายน 2511 ถึงวันที่ 30 เมษายน 2512 เวลาใดไม่ปรากฏ จำเลยบังอาจเบียดบังยักยอกเอาเครื่องรับโทรทัศน์ยี่ห้อชาร์ป ราคา 2,200 บาทของโจทก์ซึ่งอยู่ในความครอบครองของจำเลย โดยจำเลยเช่าจากโจทก์ไปเป็นอาณาประโยชน์ส่วนตัวโดยเจตนาทุจริต ...ฯลฯ... ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352 ดังนี้ เป็นคำฟ้องที่มิได้บรรยายการกระทำของจำเลยให้ชัดว่าจำเลยได้กระทำการอย่างใดที่โจทก์ถือว่าจำเลยกระทำความผิดฐานยักยอกมาพอสมควรที่จะให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดี จึงเป็นคำฟ้องที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(5)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1057/2514

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คำฟ้องไม่ชัดเจนการกระทำความผิดฐานยักยอก ทำให้จำเลยไม่เข้าใจข้อหา ศาลยกฟ้อง
คำบรรยายฟ้องว่า ระหว่างวันที่ 1 เมษายน 2511 ถึงวันที่ 30 เมษายน 2512 เวลาใดไม่ปรากฏ จำเลยบังอาจเบียดบังยักยอกเอาเครื่องรับโทรทัศน์ยี่ห้อชาร์ป ราคา 2,200 บาทของโจทก์ซึ่งอยู่ในความครอบครองของจำเลย โดยจำเลยเช่าจากโจทก์ไปเป็นอาณาประโยชน์ส่วนตัวโดยเจตนาทุจริต ...ฯลฯ... ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352 ดังนี้ เป็นคำฟ้องที่มิได้บรรยายการกระทำของจำเลยให้ชัดว่าจำเลยได้กระทำการอย่างใดที่โจทก์ถือว่าจำเลยกระทำความผิดฐานยักยอกมาพอสมควรที่จะให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดี จึงเป็นคำฟ้องที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 158(5)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1017/2514

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้องของผู้เช่าซื้อรถยนต์ที่ได้รับความเสียหาย และการฟ้องในฐานะเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ยังไม่สมบูรณ์
คำฟ้องซึ่งบรรยายฐานะของโจทก์ว่าโจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รถยนต์(ระบุยี่ห้อและเลขหมายทะเบียน) แต่กรรมสิทธิ์ยังไม่สมบูรณ์ เพราะอยู่ในระหว่างผ่อนชำระเงินตามสัญญาเช่าซื้อที่ทำไว้กับบริษัทผู้ให้เช่าซื้อ เป็นคำฟ้องซึ่งแจ้งชัดแล้ว หาเคลือบคลุมไม่
โจทก์เป็นผู้เช่าซื้อรถยนต์ ตามสัญญาเช่าซื้อระบุว่าโจทก์มีหน้าที่ต้องเป็นผู้จัดการซ่อมแซมรถให้คืนสู่สภาพเดิมโดยทุนทรัพย์ของโจทก์เองและผู้ให้เช่าซื้อยินยอมให้โจทก์มีสิทธิฟ้องไล่เบี้ยค่าเสียหายและค่าใช้จ่ายในนามของโจทก์ได้อีกด้วย ดังนี้ เมื่อมีผู้ทำละเมิดทำให้รถที่โจทก์เช่าซื้อเสียหาย โจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้องเรียกค่าเสียหายจากผู้ทำละเมิดได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1017/2514 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้องของผู้เช่าซื้อรถยนต์ที่ได้รับความเสียหายจากอุบัติเหตุ และการเรียกร้องค่าเสียหายจากผู้ทำละเมิด
คำฟ้องซึ่งบรรยายฐานะของโจทก์ว่าโจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รถยนต์ (ระบุยี่ห้อและเลขหมายทะเบียน) แต่กรรมสิทธิ์ยังไม่สมบูรณ์ เพราะอยู่ในระหว่างผ่อนชำระเงินตามสัญญาเช่าซื้อที่ทำไว้กับบริษัทผู้ให้เช่าซื้อ เป็นคำฟ้องซึ่งแจ้งชัดแล้ว หาเคลือบคลุมไม่
โจทก์เป็นผู้เช่าซื้อรถยนต์ ตามสัญญาเช่าซื้อระบุว่าโจทก์มีหน้าที่ต้องเป็นผู้จัดการซ่อมแซมรถให้คืนสู่สภาพเดิมโดยทุนทรัพย์ของโจทก์เองและผู้ให้เช่าซื้อยินยอมให้โจทก์มีสิทธิฟ้องไล่เบี้ยค่าเสียหายและค่าใช้จ่ายในนามของโจทก์ได้อีกด้วย ดังนี้ เมื่อมีผู้ทำละเมิดทำให้รถที่โจทก์เช่าซื้อเสียหาย โจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้องเรียกค่าเสียหายจากผู้ทำละเมิดได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 989/2514

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจศาลแขวงและการอุทธรณ์คำพิพากษายกฟ้องในคดีอาญา: การจำกัดสิทธิอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง
คดีอาญาที่อยู่ในอำนาจศาลแขวงพิจารณาพิพากษาเมื่อศาลแขวงไต่สวนมูลฟ้องแล้ว ว่าไม่มีมูล พิพากษายกฟ้อง ย่อมอยู่ในบังคับแห่งมาตรา 22 พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงฯ ห้ามโจทก์อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง
แม้ศาลชั้นต้นจะได้กล่าวความไว้ในคำพิพากษามีข้อความต่าง ๆดังที่โจทก์อ้างว่าเป็นเรื่องนอกสำนวนหรือมีข้อเท็จจริงผิดไปจากสำนวนก็ดีเมื่อข้อความเหล่านั้นไม่เป็นข้อความสำคัญอันเป็นประเด็นข้อแพ้ชนะทั้งศาลชั้นต้นก็มิได้อาศัยเฉพาะความตามที่โจทก์ยกขึ้นอ้างนั้นแต่ประการเดียว เป็นเหตุยกฟ้องโจทก์ อุทธรณ์โจทก์จึงเป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 989/2514 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจศาลแขวงและการอุทธรณ์คำพิพากษา ยกฟ้องในชั้นไต่สวนมูลฟ้อง ไม่อยู่ในบังคับมาตรา 22 พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแขวงฯ
คดีอาญาที่อยู่ในอำนาจศาลแขวงพิจารณาพิพากษาเมื่อศาลแขวงไต่สวนมูลฟ้องแล้วว่าไม่มีมูล พิพากษายกฟ้อง ย่อมอยู่ในบังคับแห่งมาตรา 22 พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงฯ ห้ามโจทก์อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง
แม้ศาลชั้นต้นจะได้กล่าวความไว้ในคำพิพากษามีข้อความต่าง ๆ ดังที่โจทก์อ้างว่าเป็นเรื่องนอกสำนวนหรือมีข้อเท็จจริงผิดไปจากสำนวนก็ดีเมื่อข้อความเหล่านั้นไม่เป็นข้อความสำคัญอันเป็นประเด็นข้อแพ้ชนะทั้งศาลชั้นต้นก็มิได้อาศัยเฉพาะความตามที่โจทก์ยกขึ้นอ้างนั้นแต่ประการเดียวเป็นเหตุยกฟ้องโจทก์ อุทธรณ์โจทก์จึงเป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 825/2514

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาประนีประนอมยอมความมีเงื่อนไข สัญญาต่างตอบแทน การชำระหนี้เป็นเงื่อนไขก่อนบังคับตามสัญญา
โจทก์จำเลยทำสัญญาแบ่งที่ดินมรดกโดยจำเลยยอมแบ่งให้โจทก์เพื่อไม่ต้องเป็นความกัน ดังนี้ เป็นสัญญาประนีประนอมยอมความไม่ใช่สัญญายกให้โดยเสน่หา
ข้อความในสัญญามีว่าโจทก์จะต้องแบ่งครึ่งหนึ่งของที่ดินที่ได้รับให้แก่บุตรโจทก์ด้วยแล้วลงลายมือชื่อโจทก์ จำเลย พยาน และผู้เขียน แต่โจทก์จำเลยยังตกลงกันอีกด้วยว่า บุตรของโจทก์จะต้องเสียเงิน 2,000 บาทให้แก่จำเลย จำเลยจึงจะโอนที่ดินให้และบอกให้ผู้เขียนสัญญาเขียนข้อตกลงนี้ลงในสัญญาในขณะนั้นเองผู้เขียนจึงเขียนข้อตกลงนี้ไว้ใต้ลายมือชื่อที่ได้ลงกันไว้นั้น แล้วผู้เขียนลงลายมือชื่อกำกับข้อความตอนท้ายนี้ไว้คนเดียว ดังนี้ ก็ต้องถือว่าข้อความตอนท้ายนี้เป็นส่วนหนึ่งของสัญญาประนีประนอมยอมความ และสัญญานี้มีลักษณะเป็นสัญญาต่างตอบแทนด้วย ตราบใดที่ฝ่ายโจทก์ยังไม่ได้ปฏิบัติการชำระหนี้.โดยให้เงินแก่จำเลย 2,000 บาทโจทก์ก็จะฟ้องบังคับให้จำเลยโอนที่ดินให้โจทก์ยังไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 825/2514 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาประนีประนอมยอมความมีเงื่อนไขเป็นส่วนหนึ่งของสัญญา และเป็นสัญญาต่างตอบแทน หากฝ่ายหนึ่งไม่ชำระหนี้ อีกฝ่ายไม่ต้องปฏิบัติตาม
โจทก์จำเลยทำสัญญาแบ่งที่ดินมรดกโดยจำเลยยอมแบ่งให้ โจทก์เพื่อไม่ต้องเป็นความกัน ดังนี้ เป็นสัญญาประนีประนอมยอมความไม่ใช่สัญญายกให้โดยเสน่หา
ข้อความในสัญญามีว่าโจทก์จะต้องแบ่งครึ่งหนึ่งของที่ดินที่ได้รับให้แก่บุตรโจทก์ด้วยแล้วลงลายมือชื่อโจทก์ จำเลย พยานและผู้เขียน แต่โจทก์จำเลยยังตกลงกันอีกด้วยว่า บุตรของโจทก์จะต้องเสียเงิน 2,000 บาทให้แก่จำเลย จำเลยจึงจะโอนที่ดินให้และบอกให้ผู้เขียนสัญญาเขียนข้อตกลงนี้ลงในสัญญาในขณะนั้นเองผู้เขียนจึงเขียนข้อตกลงนี้ไว้ใต้ลายมือชื่อที่ได้ลงกันไว้นั้น แล้วผู้เขียนลงลายมือชื่อกำกับข้อความตอนท้ายนี้ไว้คนเดียว ดังนี้ ก็ต้องถือว่าข้อความตอนท้ายนี้เป็นส่วนหนึ่งของสัญญาประนีประนอมยอมความและสัญญานี้มีลักษณะเป็นสัญญาต่างตอบแทนด้วย ตราบใดที่ฝ่ายโจทก์ยังไม่ได้ปฏิบัติการชำระหนี้ โดยให้เงินแก่จำเลย 2,000 บาท โจทก์ก็จะฟ้องบังคับให้จำเลยโอนที่ดินให้โจทก์ยังไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 683/2514

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การใช้สิทธิป้องกันทรัพย์สินที่เกินกว่าเหตุ แม้สำคัญผิดว่าผู้เสียหายเป็นคนร้าย
เมื่อจำเลยสำคัญผิดว่าผู้เสียหายเป็นคนร้ายที่เข้าไปลักทรัพย์ของจำเลยที่ใต้ถุนเรือน การที่จำเลยวิ่งไล่ตามผู้เสียหายออกไปนอกบ้าน ย่อมเป็นการใช้สิทธิกระทำเพื่อป้องกันสิทธิของตนได้ แต่การที่จำเลยใช้มีดแทงถูกหลังผู้เสียหาย 4 แผลที่ข้อศอก 1 แผลขณะที่วิ่งไล่ไปทัน โดยไม่ปรากฏว่าผู้เสียหายมีอาวุธหรือแสดงอาการขัดขืนต่อสู้ จึงเป็นการกระทำเกินกว่ากรณีแห่งการจำต้องกระทำเพื่อป้องกัน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 69

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 683/2514 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การป้องกันสิทธิในทรัพย์สิน: การใช้กำลังเกินความจำเป็น แม้สำคัญผิดว่าผู้เสียหายเป็นคนร้าย
เมื่อจำเลยสำคัญผิดว่าผู้เสียหายเป็นคนร้ายที่เข้าไปลักทรัพย์ของจำเลยที่ใต้ถุนเรือน การที่จำเลยวิ่งไล่ตามผู้เสียหายออกไปนอกบ้าน ย่อมเป็นการใช้สิทธิกระทำเพื่อป้องกันสิทธิของตนได้ แต่การที่จำเลยใช้มีดแทงถูกหลังผู้เสียหาย 4 แผลที่ข้อศอก 1 แผลขณะที่วิ่งไล่ไปทัน โดยไม่ปรากฏว่าผู้เสียหายมีอาวุธหรือแสดงอาการขัดขืนต่อสู้ จึงเป็นการกระทำเกินกว่ากรณีแห่งการจำต้องกระทำเพื่อป้องกัน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 69
of 68