พบผลลัพธ์ทั้งหมด 545 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 94/2511 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจผู้ว่าราชการจังหวัดในการประกาศเขตควบคุมการค้าข้าวและการสั่งให้แจ้งปริมาณข้าว ต้องอาศัยอำนาจจากคณะกรรมการฯ
คณะกรรมการปฏิบัติการตามพระราชบัญญัติการค้าข้าว มีอำนาจประกาศเขตควบคุมการค้าข้าวได้ตามมาตรา 7 แห่งพระราชบัญญัติการค้าข้าว พ.ศ.2489 ผู้ว่าราชการจังหวัดไม่มีอำนาจประกาศเขตควบคุมการค้าข้าว
ตามประกาศของคณะกรรมการปฏิบัติการตามพระราชบัญญัติการค้าข้าวได้กำหนดเขตท้องที่จังหวัดทุกจังหวัดทั่วราชอาณาจักรเป็นเขตควบคุมการค้าข้าวและแต่งตั้งผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ในจังหวัดนั้นๆ ให้มีอำนาจสั่งให้แจ้งปริมาณและสถานที่เก็บข้าวฉะนั้นผู้ว่าราชการจังหวัดจึงมีอำนาจประกาศสั่งให้แจ้งปริมาณและสถานที่เก็บข้าวได้แม้ประกาศของผู้ว่าราชการจังหวัดดังกล่าวจะกำหนดเขตควบคุมการค้าข้าวไว้ด้วยก็มีผลใช้บังคับได้ตามกฎหมาย
ประกาศของผู้ว่าราชการจังหวัดได้อ้างถึงฐานะพนักงานเจ้าหน้าที่ส่วนจังหวัดและกล่าวถึงที่มาของอำนาจซึ่งได้รับจากคณะกรรมการปฏิบัติการตามพระราชบัญญัติการค้าข้าว ดังนี้แสดงว่าประกาศนั้นมิได้ออกไปตามอำนาจและหน้าที่ของผู้ว่าราชการจังหวัดตามปกติ
ข้าวสารที่ไม่แจ้งปริมาณและสถานที่เก็บต่อพนักงานเจ้าหน้าที่เป็นข้าวซึ่งเกี่ยวเนื่องกับความผิดต้องริบข้าวสารและกระสอบบรรจุข้าวสารนั้นตามมาตรา 21ทวิ แห่งพระราชบัญญัติการค้าข้าวพ.ศ.2489
(ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 3/2511)
ตามประกาศของคณะกรรมการปฏิบัติการตามพระราชบัญญัติการค้าข้าวได้กำหนดเขตท้องที่จังหวัดทุกจังหวัดทั่วราชอาณาจักรเป็นเขตควบคุมการค้าข้าวและแต่งตั้งผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ในจังหวัดนั้นๆ ให้มีอำนาจสั่งให้แจ้งปริมาณและสถานที่เก็บข้าวฉะนั้นผู้ว่าราชการจังหวัดจึงมีอำนาจประกาศสั่งให้แจ้งปริมาณและสถานที่เก็บข้าวได้แม้ประกาศของผู้ว่าราชการจังหวัดดังกล่าวจะกำหนดเขตควบคุมการค้าข้าวไว้ด้วยก็มีผลใช้บังคับได้ตามกฎหมาย
ประกาศของผู้ว่าราชการจังหวัดได้อ้างถึงฐานะพนักงานเจ้าหน้าที่ส่วนจังหวัดและกล่าวถึงที่มาของอำนาจซึ่งได้รับจากคณะกรรมการปฏิบัติการตามพระราชบัญญัติการค้าข้าว ดังนี้แสดงว่าประกาศนั้นมิได้ออกไปตามอำนาจและหน้าที่ของผู้ว่าราชการจังหวัดตามปกติ
ข้าวสารที่ไม่แจ้งปริมาณและสถานที่เก็บต่อพนักงานเจ้าหน้าที่เป็นข้าวซึ่งเกี่ยวเนื่องกับความผิดต้องริบข้าวสารและกระสอบบรรจุข้าวสารนั้นตามมาตรา 21ทวิ แห่งพระราชบัญญัติการค้าข้าวพ.ศ.2489
(ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 3/2511)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 94/2511 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจผู้ว่าฯประกาศเขตควบคุมการค้าข้าวและการริบข้าวสารที่ไม่ได้แจ้งปริมาณ
คณะกรรมการปฏิบัติการตามพระราชบัญญัติการค้าข้าว มีอำนาจประกาศเขตควบคุมการค้าข้าวได้ตามมาตรา 7 แห่งพระราชบัญญัติการค้าข้าว พ.ศ. 2489 ผู้ว่าราชการจังหวัดไม่มีอำนาจประกาศเขตควบคุมการค้าข้าว
ตามประกาศของคณะกรรมการปฏิบัติการตามพระราชบัญญัติการค้าข้าวได้กำหนดเขตท้องที่จังหวัดทุกจังหวัดทั่วราชอาณาจักรเป็นเขตควบคุมการค้าข้าว และแต่งตั้งผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ในจังหวัดนั้น ๆ ให้มีอำนาจสั่งให้แจ้งปริมาณและสถานที่เก็บข้าว ฉะนั้น ผู้ว่าราชการจังหวัดจึงมีอำนาจประกาศสั่งให้แจ้งปริมาณและสถานที่เก็บข้าวได้ แม้ประกาศของผู้ว่าราชการจังหวัดดังกล่าวจะกำหนดเขตควบคุมการค้าข้าวไว้ด้วย ก็มีผลใช้บังคับได้ตามกฎหมาย
ประกาศของผู้ว่าราชการจังหวัดได้อ้างถึงฐานะพนักงานเจ้าหน้าที่ส่วนจังหวัดและกล่าวถึงที่มาของอำนาจซึ่งได้รับจากคณะกรรมการปฏิบัติการตามพระราชบัญญัติการค้าข้าว ดังนี้ แสดงว่าประกาศนั้นมิได้ออกไปตามอำนาจและหน้าที่ของผู้ว่าราชการจังหวัดตามปกติ
ข้าวสารที่ไม่แจ้งปริมาณและสถานที่เก็บต่อพนักงาน เจ้าหน้าที่เป็นข้าวซึ่งเกี่ยวเนื่องกับความผิด ต้องริบข้าวสารและกระสอบบรรจุข้าวสารนั้น ตามมาตรา 21 ทวิ แห่งพระราชบัญญัติการค้าข้าว พ.ศ. 2489
(ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 3/2511)
ตามประกาศของคณะกรรมการปฏิบัติการตามพระราชบัญญัติการค้าข้าวได้กำหนดเขตท้องที่จังหวัดทุกจังหวัดทั่วราชอาณาจักรเป็นเขตควบคุมการค้าข้าว และแต่งตั้งผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ในจังหวัดนั้น ๆ ให้มีอำนาจสั่งให้แจ้งปริมาณและสถานที่เก็บข้าว ฉะนั้น ผู้ว่าราชการจังหวัดจึงมีอำนาจประกาศสั่งให้แจ้งปริมาณและสถานที่เก็บข้าวได้ แม้ประกาศของผู้ว่าราชการจังหวัดดังกล่าวจะกำหนดเขตควบคุมการค้าข้าวไว้ด้วย ก็มีผลใช้บังคับได้ตามกฎหมาย
ประกาศของผู้ว่าราชการจังหวัดได้อ้างถึงฐานะพนักงานเจ้าหน้าที่ส่วนจังหวัดและกล่าวถึงที่มาของอำนาจซึ่งได้รับจากคณะกรรมการปฏิบัติการตามพระราชบัญญัติการค้าข้าว ดังนี้ แสดงว่าประกาศนั้นมิได้ออกไปตามอำนาจและหน้าที่ของผู้ว่าราชการจังหวัดตามปกติ
ข้าวสารที่ไม่แจ้งปริมาณและสถานที่เก็บต่อพนักงาน เจ้าหน้าที่เป็นข้าวซึ่งเกี่ยวเนื่องกับความผิด ต้องริบข้าวสารและกระสอบบรรจุข้าวสารนั้น ตามมาตรา 21 ทวิ แห่งพระราชบัญญัติการค้าข้าว พ.ศ. 2489
(ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 3/2511)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 59/2511 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาเช่าที่ดินปลูกสร้างอาคาร: การตีความสิทธิการเช่าช่วงและการคุ้มครองผู้เช่าช่วง
แม้สัญญาเช่าระหว่างโจทก์จำเลยจะเรียกชื่อว่าสัญญาเช่าที่ดินก็จริง แต่ความมุ่งหมายในการทำสัญญาเช่า คู่สัญญามีเจตนาที่จะให้ผู้เช่าทำการปลูกสร้างอาคารบนที่ดิน (สัญญาข้อ 1) เมื่อปลูกเสร็จแล้วให้ตกเป็นกรรมสิทธิ์ ของผู้ให้เช่าทันที (สัญญาข้อ 10) และสัญญาข้อ 5 มีข้อความว่า "ห้ามมิให้ผู้เช่าเอาที่ดินไปให้บุคคลอื่นเช่าช่วง ฯลฯ ผู้เช่าย่อมมีสิทธิจะอยู่อาศัยหรือทำการค้าหรือให้บุคคลอื่นเช่าช่วงในอาคารที่ปลูกสร้างลงในที่ดินได้เสมอ ดังนี้ ข้อสัญญาที่ให้อาคารซึ่งปลูกสร้างขึ้นตกเป็นของโจทก์ และโจทก์ยอมให้จำเลยให้เช่าช่วงอาคารนั้น ย่อมแสดงว่าสัญญาเช่านี้แท้จริงเป็นสัญญาให้เช่าที่ดินรวมทั้งอาคารที่ตกเป็นของโจทก์ตามสัญญาข้อ 10 นั้นด้วย ฉะนั้น ที่โจทก์ฎีกาว่าจำเลยมีสิทธิเช่าได้เฉพาะที่ดินที่ปลูกตึกจึงขัดกับความในสัญญาข้อ 5 ที่ห้ามมิให้เช่าช่วงที่ดิน แต่ยอมให้เช่าช่วงอาคารได้ จำเลยร่วมผู้เช่าช่วงอาคารโดยชอบจึงหาได้อยู่ในฐานบริวารหรือผู้อาศัยของจำเลยไม่ เมื่อเป็นดังนี้ จำเลยร่วมมีข้อต่อสู้ที่จะคงอยู่ในอาคารประการใด ก็เป็นเรื่องที่จะต้องฟังคำพยานของคู่ความต่อไป
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 59/2511 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาสัญญาสัญญาเช่าที่ดินกับการให้เช่าอาคาร สิทธิของผู้เช่าช่วง
แม้สัญญาเช่าระหว่างโจทก์จำเลยจะเรียกชื่อว่าสัญญาเช่าที่ดินก็จริง แต่ความมุ่งหมายในการทำสัญญาเช่าคู่สัญญามีเจตนาที่จะให้ผู้เช่าทำการปลูกสร้างอาคารบนที่ดิน (สัญญาข้อ 1) เมื่อปลูกเสร็จแล้วให้ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ให้เช่าทันที (สัญญาข้อ 10) และสัญญาข้อ 5 มีข้อความว่า 'ห้ามมิให้ผู้เช่าเอาที่ดินไปให้บุคคลอื่นเช่าช่วง ฯลฯผู้เช่าย่อมมีสิทธิที่จะอยู่อาศัยหรือทำการค้าหรือให้บุคคลอื่นเช่าช่วงในอาคารที่ปลูกสร้างลงในที่ดินได้เสมอ' ดังนี้ ข้อสัญญาที่ให้อาคารซึ่งปลูกสร้างขึ้นตกเป็นของโจทก์ และโจทก์ยอมให้จำเลยให้เช่าช่วงอาคารนั้นย่อมแสดงว่าสัญญาเช่านี้แท้จริงเป็นสัญญาให้เช่าที่ดินรวมทั้งอาคารที่ตกเป็นของโจทก์ตามสัญญาข้อ10 นั้นด้วย ฉะนั้นที่โจทก์ฎีกาว่าจำเลยมีสิทธิให้เช่าได้เฉพาะที่ดินที่ปลูกตึกจึงขัดกับความในสัญญาข้อ 5 ที่ห้ามมิให้เช่าช่วงที่ดิน แต่ยอมให้เช่าช่วงอาคารได้ จำเลยร่วมผู้เช่าช่วงอาคารโดยชอบจึงหาได้อยู่ในฐานะบริวารหรือผู้อาศัยของจำเลยไม่เมื่อเป็นดังนี้ จำเลยร่วมมีข้อต่อสู้ที่จะคงอยู่ในอาคารประการใดก็เป็นเรื่องที่จะต้องฟังคำพยานของคู่ความต่อไป
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 59/2511
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาเช่าที่ดินปลูกสร้างอาคาร: สิทธิการเช่าช่วงอาคารที่ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ให้เช่า
แม้สัญญาเช่าระหว่างโจทก์จำเลยจะเรียกชื่อว่าสัญญาเช่าที่ดินก็จริง. แต่ความมุ่งหมายในการทำสัญญาเช่า.คู่สัญญามีเจตนาที่จะให้ผู้เช่าทำการปลูกสร้างอาคารบนที่ดิน (สัญญาข้อ 1) เมื่อปลูกเสร็จแล้วให้ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ให้เช่าทันที (สัญญาข้อ 10). และสัญญาข้อ 5 มีข้อความว่า 'ห้ามมิให้ผู้เช่าเอาที่ดินไปให้บุคคลอื่นเช่าช่วง ฯลฯ. ผู้เช่าย่อมมีสิทธิที่จะอยู่อาศัยหรือทำการค้าหรือให้บุคคลอื่นเช่าช่วงในอาคารที่ปลูกสร้างลงในที่ดินได้เสมอ.' ดังนี้ ข้อสัญญาที่ให้อาคารซึ่งปลูกสร้างขึ้นตกเป็นของโจทก์ และโจทก์ยอมให้จำเลยให้เช่าช่วงอาคารนั้น. ย่อมแสดงว่าสัญญาเช่านี้แท้จริงเป็นสัญญาให้เช่าที่ดินรวมทั้งอาคารที่ตกเป็นของโจทก์ตามสัญญาข้อ10 นั้นด้วย. ฉะนั้นที่โจทก์ฎีกาว่าจำเลยมีสิทธิให้เช่าได้เฉพาะที่ดินที่ปลูกตึกจึงขัดกับความในสัญญาข้อ 5.ที่ห้ามมิให้เช่าช่วงที่ดิน. แต่ยอมให้เช่าช่วงอาคารได้. จำเลยร่วมผู้เช่าช่วงอาคารโดยชอบจึงหาได้อยู่ในฐานะบริวารหรือผู้อาศัยของจำเลยไม่. เมื่อเป็นดังนี้ จำเลยร่วมมีข้อต่อสู้ที่จะคงอยู่ในอาคารประการใด. ก็เป็นเรื่องที่จะต้องฟังคำพยานของคู่ความต่อไป.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 31/2511 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การลดโทษอาญาจากการให้การที่เป็นประโยชน์ต่อการพิจารณาคดี ถือเป็นการแก้ไขเล็กน้อยในดุลพินิจศาลอุทธรณ์ จึงไม่อาจฎีกาได้
ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลชั้นต้นว่า จำเลยได้กระทำผิดฐานลักทรัพย์สำเร็จแล้ว และใช้ดุลพินิจลงโทษจำคุกจำเลยมา 3 ปี ยังไม่มีเหตุที่ศาลอุทธรณ์จะพึงแก้ไขแต่เห็นว่าการที่จำเลยให้การว่า จำเลยเข้าไปจับรถคันของผู้เสียหายออก และภายหลังได้นำเอาไปจอดไว้ที่เดิมนั้นเป็นการให้ความรู้แก่ศาลอันเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา นับว่ามีเหตุบรรเทาโทษซึ่งจำเลยสมควรจะได้รับการลดโทษ จึงพิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้นเป็นว่าให้ลดโทษจำเลย 1 ใน 3 ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกจำเลยไว้ 2 ปี นั้น เป็นเรื่องที่ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงตามศาลชั้นต้น แล้วแก้ไขเล็กน้อยในการใช้ดุลพินิจลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คดีจึงเป็นปัญหาข้อเท็จจริง ซึ่งศาลอุทธรณ์แก้ไขเล็กน้อยต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218
ปัญหาว่าคำให้การของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาหรือไม่ ไม่ใช่ปัญหาข้อกฎหมาย
ปัญหาว่าคำให้การของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาหรือไม่ ไม่ใช่ปัญหาข้อกฎหมาย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 31/2511 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การลดโทษจำเลยจากคำให้การที่เป็นประโยชน์ต่อการพิจารณาคดี ถือเป็นการแก้ไขเล็กน้อยในดุลพินิจศาลอุทธรณ์ ห้ามฎีกา
ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลชั้นต้นฟังว่า จำเลยได้กระทำผิดฐานลักทรัพย์สำเร็จแล้วและใช้ดุลพินิจลงโทษจำคุกจำเลยมา 3 ปียังไม่มีเหตุที่ศาลอุทธรณ์จะพึงแก้ไขแต่เห็นว่าการที่จำเลยให้การว่า จำเลยเข้าไปจับรถคันของผู้เสียหายออกและภายหลังได้นำเอาไปจอดไว้ที่เดิมนั้นเป็นการให้ความรู้แก่ศาลอันเป็นประโยชน์แก่การพิจารณานับว่ามีเหตุบรรเทาโทษซึ่งจำเลยสมควรจะได้รับการลดโทษจึงพิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้นเป็นว่าให้ลดโทษจำเลย 1 ใน 3 ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกจำเลยไว้2 ปี นั้นเป็นเรื่องที่ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงตามศาลชั้นต้นแล้วแก้ไขเล็กน้อยในการใช้ดุลพินิจลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78คดีจึงเป็นปัญหาข้อเท็จจริงซึ่งศาลอุทธรณ์แก้ไขเล็กน้อยต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 218
ปัญหาว่าคำให้การของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาหรือไม่ไม่ใช่ปัญหาข้อกฎหมาย
ปัญหาว่าคำให้การของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาหรือไม่ไม่ใช่ปัญหาข้อกฎหมาย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 31/2511
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การลดโทษจำเลยเนื่องจากให้การที่เป็นประโยชน์ต่อการพิจารณาคดี ถือเป็นปัญหาข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์แก้ไขได้
ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลชั้นต้นฟังว่า จำเลยได้กระทำผิดฐานลักทรัพย์สำเร็จแล้ว. และใช้ดุลพินิจลงโทษจำคุกจำเลยมา 3 ปี. ยังไม่มีเหตุที่ศาลอุทธรณ์จะพึงแก้ไข. แต่เห็นว่าการที่จำเลยให้การว่า จำเลยเข้าไปจับรถคันของผู้เสียหายออก. และภายหลังได้นำเอาไปจอดไว้ที่เดิมนั้นเป็นการให้ความรู้แก่ศาลอันเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา. นับว่ามีเหตุบรรเทาโทษซึ่งจำเลยสมควรจะได้รับการลดโทษ.จึงพิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้นเป็นว่าให้ลดโทษจำเลย 1ใน 3 ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78. คงจำคุกจำเลยไว้2 ปี นั้น. เป็นเรื่องที่ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงตามศาลชั้นต้น. แล้วแก้ไขเล็กน้อยในการใช้ดุลพินิจลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78. คดีจึงเป็นปัญหาข้อเท็จจริงซึ่งศาลอุทธรณ์แก้ไขเล็กน้อยต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 218.
ปัญหาว่าคำให้การของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาหรือไม่. ไม่ใช่ปัญหาข้อกฎหมาย.
ปัญหาว่าคำให้การของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาหรือไม่. ไม่ใช่ปัญหาข้อกฎหมาย.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 22/2511 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดทางละเมิดจากทุจริตการเบิกจ่ายเงิน การตรวจสอบหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ และผลกระทบต่อความเสียหาย
ภารโรงในกองยานพาหนะได้ปลอมใบเบิกเงินค่าแรงของคนงานในกองยานพาหนะ โดยปลอมชื่อคนงานและปลอมลายมือชื่อเจ้าหน้าที่กองยานพาหนะที่จะต้องลงชื่อในใบสำคัญนั้นแล้วเอาไปแสดงต่อแผนกบัญชีเพื่อขอรับเงิน เจ้าหน้าที่แผนกบัญชีไม่ได้ตรวจสอบดูความถูกต้องกลับเสนอหัวหน้าแผนกลงชื่อแล้วส่งไปแผนกเงินเพื่อจ่ายเงิน แผนกเงินได้จ่ายเงินโดยผิดระเบียบ กล่าวคือ ไม่ได้จ่ายให้แก่คนงานเป็นรายคนไป กลับจ่ายให้แก่ภารโรงผู้นั้นทั้งหมด แล้วส่งใบสำคัญคืนแผนกบัญชีแผนกบัญชีได้คัดบัญชีใบสำคัญที่จ่ายเงินไปแล้วส่งไปกองยานพาหนะซึ่งจำเลยเป็นเจ้าหน้าที่ประจำเพื่อรับรองความถูกต้องการทุจริตรายนี้สำเร็จลงได้เพราะการกระทำโดยจงใจหรือประมาทเลินเล่อของเจ้าหน้าที่แผนกบัญชีและแผนกเงินการทุจริตสำเร็จไปก่อนที่จำเลยจะรับรองความถูกต้องของใบสำคัญนั้นเพราะฉะนั้นถึงแม้จำเลยจะตรวจพบรายการจ่ายเงินอันเนื่องจากการทุจริตหรือกระทำการโดยบกพร่องประการใดก็ตามก็ไม่อาจยับยั้งการจ่ายเงินของแผนกเงินได้ เพราะได้จ่ายเงินไปแล้ว ความเสียหายที่โจทก์ได้รับหาใช่ผลโดยตรงจากการกระทำของจำเลยไม่ จึงถือไม่ได้ว่าจำเลยได้ทำละเมิดต่อโจทก์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 22/2511 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดฐานละเมิดจากการทุจริตของเจ้าหน้าที่อื่น: จำเลยไม่ต้องรับผิดชอบหากความเสียหายเกิดจากการกระทำของเจ้าหน้าที่แผนกบัญชีและแผนกเงิน
ภารโรงในกองยานพาหนะได้ปลอมใบเบิกเงินค่าแรงของคนงานในกองยานพาหนะ โดยปลอมชื่อคนงานและปลอมลายมือชื่อเจ้าหน้าที่กองยานพาหนะที่จะต้องลงชื่อในใบสำคัญนั้น แล้วเอาไปแสดงต่อแผนกบัญชีเพื่อขอรับเงิน เจ้าหน้าที่แผนกบัญชีไม่ได้ตรวจสอบดูความถูกต้อง กลับเสนอหัวหน้าแผนกลงชื่อแล้วส่งไปแผนกเงินเพื่อจ่ายเงิน แผนกเงินได้จ่ายเงินโดยผิดระเบียบ กล่าวคือ ไม่ได้จ่ายให้แก่คนงานเป็นรายคนไป กลับจ่ายให้แก่ภารโรงผู้นั้นทั้งหมด แล้วส่งใบสำคัญคือแผนกบัญชี แผนกบัญชีได้คัดบัญชีใบสำคัญที่จ่ายเงินไปแล้วส่งไปกองยานพาหนะซึ่งจำเลยเป็นเจ้าหน้าที่ประจำเพื่อรับรองความถูกต้อง การทุจริตรายนี้สำเร็จลงได้ เพราะการกระทำโดยจงใจหรือประมาทเลินเล่อของเจ้าหน้าที่แผนกบัญชีและแผนกเงิน การทุจริตสำเร็จไปก่อนที่จำเลยจะรับรองความถูกต้องของใบสำคัญนั้น เพราะฉะนั้นถึงแม้จำเลยจะตรวจพบรายการจ่ายเงินอันเนื่องจากการทุจริตหรือกระทำการโดยบกพร่องประการใดก็ตาม ก็ไม่อาจยับยั้งการจ่ายเงินของแผนกเงินได้ เพราะได้จ่ายเงินไปแล้ว ความเสียหายที่โจทก์ได้รับหาใช่ผลโดยตรงจากการกระทำของจำเลยไม่ จึงถือไม่ได้ว่าจำเลยได้ทำละเมิดต่อโจทก์