พบผลลัพธ์ทั้งหมด 545 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1268/2513
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
รู้เห็นการปล้นทรัพย์: การกระทำสนับสนุนการปล้นทรัพย์ถือเป็นตัวการร่วม
(พฤติการณ์การกระทำของจำเลยที่เป็นเหตุผลเชื่อได้ว่ารู้เห็นในการกระทำการปล้นทรัพย์อยู่ด้วย)
เมื่อกรณีฟังได้ว่าจำเลยที่ 6 ซึ่งเป็นคนขับรถยนต์บรรทุก จำเลยที่ 7เป็นเด็กประจำรถรู้เห็นในการปล้นทรัพย์อยู่ด้วย การที่จำเลยที่ 6 ที่ 7นำรถยนต์ไปจอดรอรับกระบือที่ได้จากการปล้นพาหนีไปให้พ้นจากการติดตามเอาคืนของเจ้าทรัพย์และเจ้าพนักงาน จึงเป็นการกระทำส่วนหนึ่งเพื่อให้การปล้นทรัพย์บรรลุผลสำเร็จอันเป็นการแบ่งหน้าที่กันทำ การกระทำของจำเลยที่ 6 ที่ 7 จึงเป็นการร่วมกระทำความผิดด้วยกันเป็นตัวการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83
เมื่อกรณีฟังได้ว่าจำเลยที่ 6 ซึ่งเป็นคนขับรถยนต์บรรทุก จำเลยที่ 7เป็นเด็กประจำรถรู้เห็นในการปล้นทรัพย์อยู่ด้วย การที่จำเลยที่ 6 ที่ 7นำรถยนต์ไปจอดรอรับกระบือที่ได้จากการปล้นพาหนีไปให้พ้นจากการติดตามเอาคืนของเจ้าทรัพย์และเจ้าพนักงาน จึงเป็นการกระทำส่วนหนึ่งเพื่อให้การปล้นทรัพย์บรรลุผลสำเร็จอันเป็นการแบ่งหน้าที่กันทำ การกระทำของจำเลยที่ 6 ที่ 7 จึงเป็นการร่วมกระทำความผิดด้วยกันเป็นตัวการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1268/2513 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การร่วมกระทำความผิดฐานปล้นทรัพย์: การสนับสนุนด้วยการขนย้ายทรัพย์สินที่ได้จากการกระทำความผิด
(พฤติการณ์การกระทำของจำเลยที่เป็นเหตุผลเชื่อได้ว่ารู้เห็นในการกระทำการปล้นทรัพย์อยู่ด้วย)
เมื่อกรณีฟังได้ว่าจำเลยที่ 6 ซึ่งเป็นคนขับรถบรรทุก จำเลยที่ 7 เป็นเด็กประจำรถรู้เห็นในการปล้นทรัพย์อยู่ด้วย การที่จำเลยที่ 6 ที่ 7 นำรถยนต์ไปจอดรอรับกระบือที่ได้จากการปล้นพาหนีไปให้พ้นจากการติดตามเอาคืนของเจ้าทรัพย์และเจ้าพนักงาน จึงเป็นการกระทำส่วนหนึ่งเพื่อให้การปล้นทรัพย์บรรลุผลสำเร็จอันเป็นการแบ่งหน้าที่กันทำการกระทำของจำเลยที่ 6 ที่ 7 จึงเป็นการร่วมกระทำความผิดด้วยกันเป็นตัวการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83
เมื่อกรณีฟังได้ว่าจำเลยที่ 6 ซึ่งเป็นคนขับรถบรรทุก จำเลยที่ 7 เป็นเด็กประจำรถรู้เห็นในการปล้นทรัพย์อยู่ด้วย การที่จำเลยที่ 6 ที่ 7 นำรถยนต์ไปจอดรอรับกระบือที่ได้จากการปล้นพาหนีไปให้พ้นจากการติดตามเอาคืนของเจ้าทรัพย์และเจ้าพนักงาน จึงเป็นการกระทำส่วนหนึ่งเพื่อให้การปล้นทรัพย์บรรลุผลสำเร็จอันเป็นการแบ่งหน้าที่กันทำการกระทำของจำเลยที่ 6 ที่ 7 จึงเป็นการร่วมกระทำความผิดด้วยกันเป็นตัวการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1264/2513 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับของโจร: ตัวการร่วมกระทำผิดฐานลักทรัพย์/ฉ้อโกง ไม่มีความผิดฐานรับของโจร
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยรับข้าวเปลือกไว้จากผู้อื่นโดยรู้ว่าเป็นของร้ายอันได้มาจากการกระทำผิดฐานลักทรัพย์หรือฉ้อโกง นั้น ถือว่าโจทก์ได้บรรยายฟ้องครบองค์ความผิดฐานรับของโจร ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158 (5) แล้ว จึงไม่เป็นฟ้องที่เคลือบคลุม
ข้อเท็จจริงฟังว่า จำเลยใช้ผู้อื่นไปลักทรัพย์หรือฉ้อโกงนั้น ถือว่าจำเลยเป็นตัวการด้วยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 ดังนั้น เมื่อจำเลยรับทรัพย์นั้นจากผู้ที่จำเลยใช้ ถือว่าเป็นการรับทรัพย์ซึ่งเป็นผลสืบเนื่องมาจากกรรมอันเดียวกับความผิดฐานลักทรัพย์หรือฉ้อโกง ที่จำเลยเป็นผู้ใช้นั้นเอง จำเลยจึงไม่มีความผิดฐานรับของโจรตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 357
ข้อเท็จจริงฟังว่า จำเลยใช้ผู้อื่นไปลักทรัพย์หรือฉ้อโกงนั้น ถือว่าจำเลยเป็นตัวการด้วยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 ดังนั้น เมื่อจำเลยรับทรัพย์นั้นจากผู้ที่จำเลยใช้ ถือว่าเป็นการรับทรัพย์ซึ่งเป็นผลสืบเนื่องมาจากกรรมอันเดียวกับความผิดฐานลักทรัพย์หรือฉ้อโกง ที่จำเลยเป็นผู้ใช้นั้นเอง จำเลยจึงไม่มีความผิดฐานรับของโจรตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 357
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1264/2513
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับของโจร: ตัวการร่วมกระทำผิดฐานลักทรัพย์/ฉ้อโกงไม่ต้องรับโทษฐานรับของโจร
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยรับข้าวเปลือกไว้จากผู้อื่นโดยรู้ว่าเป็นของร้ายอันได้มาจากการกระทำผิดฐานลักทรัพย์หรือฉ้อโกงนั้น ถือว่าโจทก์ได้บรรยายฟ้องครบองค์ความผิดฐานรับของโจรชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(5) แล้ว จึงไม่เป็นฟ้องที่เคลือบคลุม
ข้อเท็จจริงฟังว่า จำเลยใช้ผู้อื่นไปลักทรัพย์หรือฉ้อโกงนั้นถือว่าจำเลยเป็นตัวการด้วยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 ดังนั้น เมื่อจำเลยรับทรัพย์นั้นจากผู้ที่จำเลยใช้ ถือว่าเป็นการรับทรัพย์ซึ่งเป็นผลสืบเนื่องมาจากกรรมอันเดียวกับความผิดฐานลักทรัพย์หรือฉ้อโกง ที่จำเลยเป็นผู้ใช้นั้นเอง จำเลยจึงไม่มีความผิดฐานรับของโจรตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 357
ข้อเท็จจริงฟังว่า จำเลยใช้ผู้อื่นไปลักทรัพย์หรือฉ้อโกงนั้นถือว่าจำเลยเป็นตัวการด้วยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 ดังนั้น เมื่อจำเลยรับทรัพย์นั้นจากผู้ที่จำเลยใช้ ถือว่าเป็นการรับทรัพย์ซึ่งเป็นผลสืบเนื่องมาจากกรรมอันเดียวกับความผิดฐานลักทรัพย์หรือฉ้อโกง ที่จำเลยเป็นผู้ใช้นั้นเอง จำเลยจึงไม่มีความผิดฐานรับของโจรตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 357
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1082/2513
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิการเป็นผู้จัดการมรดกไม่ได้จำกัดเฉพาะทายาท ผู้มีส่วนได้เสียในกองมรดกย่อมมีสิทธิขอเป็นได้
คำว่าผู้มีส่วนได้เสียในมาตรา 1713 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ไม่จำเป็นต้องเป็นผู้มีส่วนได้เสีย ในฐานะทายาทโดยธรรมหรือในทางพินัยกรรมของผู้ตายโดยตรง พ. เป็นทายาทโดยธรรมของ ท. และ พ. ทำพินัยกรรมยกทรัพย์มรดกให้โจทก์ เมื่อ พ. ตายไปแล้วโจทก์ก็มีสิทธิร้องขอให้ตั้งโจทก์เป็นผู้จัดการมรดกของ ท. ได้ แต่การที่ศาลจะตั้งใครนั้นต้องคำนึงถึงวรรคห้าแห่งมาตรานี้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1082/2513 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิการเป็นผู้จัดการมรดก: ผู้มีส่วนได้เสียในกองมรดกมีสิทธิขอเป็นได้ แม้ไม่ใช่ทายาทโดยตรง
คำว่าผู้มีส่วนได้เสียในมาตรา 1713 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ไม่จำเป็นต้องเป็นผู้มีส่วนได้เสียในฐานะทายาทโดยธรรมหรือในทางพินัยกรรมของผู้ตายโดยตรง พ. เป็นทายาทโดยธรรมของ ท. และ พ. ทำพินัยกรรมยกทรัพย์มรดกให้โจทก์ เมื่อ พ. ตายไปแล้วโจทก์ก็มีสิทธิร้องขอให้ตั้งโจทก์เป็นผู้จัดการมรดกของ ท. ได้ แต่การที่ศาลจะตั้งใครนั้นต้องคำนึงถึงวรรค 5 แห่งมาตรานี้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1026/2513
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
หนี้ร่วมจากการกู้เงินระหว่างสมรส การให้สัตยาบัน และการบังคับชำระหนี้จากสินส่วนตัว
แม้หนี้ตามสัญญากู้จะมีมูลหนี้เนื่องมาจากชายาโจทก์นำเงินมาฝากให้จำเลยหาดอกผล จำเลยก็มีหนี้ผูกพันที่จะต้องคืนเงินจำนวนนี้ให้โจทก์ ฉะนั้น เมื่อจำเลยทำสัญญากู้ไว้เป็นหลักฐาน จำเลยจึงมีความรับผิดที่จะต้องชดใช้เงินตามสัญญากู้
จำเลยก่อหนี้ขึ้นในระหว่างสมรสระหว่างจำเลยกับผู้ร้องเมื่อผู้ร้องเซ็นชื่อเป็นพยานในสัญญากู้ จึงถือได้ว่าผู้ร้องรู้เห็นและให้สัตยาบันหนี้สินรายนี้ และเป็นหนี้ร่วมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1482(4)
จำเลยก่อหนี้ขึ้นในระหว่างสมรสระหว่างจำเลยกับผู้ร้องเมื่อผู้ร้องเซ็นชื่อเป็นพยานในสัญญากู้ จึงถือได้ว่าผู้ร้องรู้เห็นและให้สัตยาบันหนี้สินรายนี้ และเป็นหนี้ร่วมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1482(4)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1026/2513 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
หนี้ร่วมในสมรส: พยานสัญญากู้ถือเป็นการให้สัตยาบันและก่อหนี้ร่วม
แม้หนี้ตามสัญญากู้จะมีมูลหนี้เนื่องมาจากชายาโจทก์นำเงินมาฝากให้จำเลยหาดอกผล จำเลยก็มีหนี้ผูกพันที่จะต้องคืนเงินจำนวนนี้ให้โจทก์ ฉะนั้น เมื่อจำเลยทำสัญญากู้ไว้เป็นหลักฐาน จำเลยจึงมีความผิดที่จะต้องชดใช้เงินตามสัญญากู้
จำเลยก่อหนี้ขึ้นในระหว่างสมรสระหว่างจำเลยกับผู้ร้อง เมื่อผู้ร้องเซ็นชื่อเป็นพยานในสัญญากู้ จึงถือได้ว่าผู้ร้องรู้เห็นและให้สัตยาบันหนี้สินรายนี้ และเป็นหนี้ร่วมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1482 (4)
จำเลยก่อหนี้ขึ้นในระหว่างสมรสระหว่างจำเลยกับผู้ร้อง เมื่อผู้ร้องเซ็นชื่อเป็นพยานในสัญญากู้ จึงถือได้ว่าผู้ร้องรู้เห็นและให้สัตยาบันหนี้สินรายนี้ และเป็นหนี้ร่วมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1482 (4)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 949/2513 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ประเด็นข้อต่อสู้ใหม่ในชั้นอุทธรณ์ฎีกา ศาลไม่รับวินิจฉัย
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยขายฝากที่ดินพิพาทกับ ล. ครบกำหนดไม่ไถ่ จำเลยเช่าที่พิพาทจาก ล. ล. ขายที่พิพาทให้โจทก์ ครบอายุสัญญาเช่าแล้ว จำเลยไม่ออกขอให้ศาลบังคับ จำเลยให้การเพียงว่า ไม่เคยขายฝากที่ดินแก่ใคร ไม่ได้ทำสัญญาเช่า และไม่ได้ลงชื่อไว้ ไม่ได้ต่อสู้โดยแจ้งชัดว่าจำเลยเช่าโดยไม่มีกำหนดเวลา ฉะนั้นการที่จำเลยอุทธรณ์ว่าเป็นการเช่าโดยไม่มีกำหนดเวลา เมื่อโจทก์ไม่ได้บอกเลิกการเช่าก่อน ก็ไม่มีอำนาจฟ้องนั้นเป็นการอุทธรณ์ในข้อที่จำเลยมิได้ยกเป็นข้อต่อสู้ไว้ในศาลชั้นต้น จำเลยจะอุทธรณ์ฎีกาไม่ได้ แม้ศาลอุทธรณ์จะวินิจฉัยข้อนี้มา ก็เป็นการวินิจฉัยนอกฟ้องนอกประเด็น ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 949/2513
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ประเด็นการยกข้อต่อสู้ใหม่ในชั้นอุทธรณ์ฎีกา หากมิได้ยกขึ้นในชั้นต้น ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยขายฝากที่พิพาทไว้กับ ล. ครบกำหนดแล้วไม่ไถ่จำเลยเช่าที่พิพาทจาก ล. ล. ขายที่พิพาทให้โจทก์ครบอายุสัญญาเช่าแล้วจำเลยไม่ออกไป ขอให้ศาลบังคับ จำเลยให้การว่าไม่เคยขายฝากแก่ใคร ไม่ได้ทำสัญญาเช่า แล้วจำเลยจะอุทธรณ์ว่าการเช่านั้นเป็นการเช่าโดยไม่มีกำหนดเวลา โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเพราะไม่ได้บอกเลิกการเช่าเสียก่อนดังนี้ หาได้ไม่ เพราะจำเลยมิได้ยกขึ้นต่อสู้ไว้ในศาลชั้นต้น แม้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยข้อนี้ให้ก็เป็นการวินิจฉัยนอกประเด็น ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้