คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
ถาวร หุตะโกวิท

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 545 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 942/2513 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ หนังสือรับรองการชำระหนี้ไม่ถือเป็นสัญญาค้ำประกันหากไม่มีข้อตกลงชำระแทน
หนังสือขอผ่อนชำระหนี้ของลูกหนี้มีข้อความในตอนท้ายว่า "ข้าพเจ้า (ระบุชื่อ) ขอรับรองการชำระเงินของ ช. (ลูกหนี้) ตามข้อความข้างต้นทุกประการ" แล้วลงชื่อกำกับไว้ในช่อง "ผู้รับรอง"ท้ายข้อความดังกล่าว ไม่ถือว่าเป็นสัญญาค้ำประกัน เพราะไม่มีข้อความที่จะให้มีความหมายไปได้ว่าเมื่อลูกหนี้ไม่ชำระหนี้แล้ว ตนจะยอมชำระแทน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 942/2513

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ หนังสือรับรองการชำระหนี้ไม่ถือเป็นสัญญาค้ำประกันหากไม่มีข้อตกลงชำระแทน
หนังสือขอผ่อนชำระหนี้ของลูกหนี้มีข้อความในตอนท้ายว่า'ข้าพเจ้า (ระบุชื่อ) ขอรับรองการชำระเงินของ ช. (ลูกหนี้) ตามข้อความข้างต้นทุกประการ' แล้วลงชื่อกำกับไว้ในช่อง 'ผู้รับรอง'ท้ายข้อความดังกล่าวไม่ถือว่าเป็นสัญญาค้ำประกันเพราะไม่มีข้อความที่จะให้มีความหมายไปได้ว่าเมื่อลูกหนี้ไม่ชำระหนี้แล้ว ตนจะยอมชำระแทน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 908/2513

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ศาลต้องพิจารณาคำร้องเปลี่ยนแปลงคำขอท้ายฟ้องก่อนสั่งคดีมีทุนทรัพย์ การสั่งจำหน่ายคดีก่อนพิจารณาคำร้องไม่ถูกต้อง
ในวันชี้สองสถานศาลชั้นต้นสั่งให้โจทก์เสียค่าขึ้นศาลตามทุนทรัพย์ภายในเวลาที่กำหนดให้ ในวันนั้นเองโจทก์ยื่นคำร้องขอสละคำขอท้ายฟ้องบางตอน ศาลชั้นต้นมิได้สั่งรับคำร้องนี้ จนกระทั่งพ้นเวลาที่ได้กำหนดไว้นั้นและโจทก์มิได้ชำระค่าขึ้นศาลเพิ่ม ศาลก็สั่งว่าโจทก์ทิ้งฟ้องให้จำหน่ายคดี ดังนี้ เป็นการไม่ดำเนินกระบวนพิจารณาไปตามลำดับเมื่อความปรากฏแก่ศาลสูง ๆ ย่อมพิพากษาให้ยกคำสั่งจำหน่ายคดีนั้นให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาเสียใหม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 908/2513 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การดำเนินกระบวนพิจารณาคดีที่ถูกต้อง: ศาลต้องพิจารณาคำร้องของโจทก์ก่อนมีคำสั่งถึงที่สุด แม้มีการเปลี่ยนแปลงคำขอท้ายฟ้อง
ในวันชี้สองสถานศาลชั้นต้นสั่งให้โจทก์เสียค่าขึ้นศาลตามทุนทรัพย์ภายในเวลาที่กำหนดให้ ในวันนั้นเองโจทก์ยื่นคำร้องขอสละคำขอท้ายฟ้องบางตอน ศาลชั้นต้นมิได้สั่งรับคำร้องนี้ จนกระทั่งพ้นเวลาที่ได้กำหนดไว้นั้นและโจทก์มิได้ชำระค่าขึ้นศาลเพิ่ม ศาลก็สั่งว่าโจทก์ทิ้งฟ้องให้จำหน่ายคดี ดังนี้ เป็นการไม่ดำเนินกระบวนพิจารณาไปตามลำดับเมื่อความปรากฏแก่ศาลสูง ๆ ย่อมพิพากษาให้ยกคำสั่งจำหน่ายคดีนั้นให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาเสียใหม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 894/2513

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การริบรถยนต์ของกลางในคดีป่าไม้: แม้เจ้าของรถไม่รู้เห็น ก็ริบได้หากใช้เป็นพาหนะขนย้ายไม้ผิดกฎหมาย
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยมีไม้หวงห้ามตามพระราชบัญญัติป่าไม้ไว้ในความครอบครอง อันยังมิได้แปรรูปไม่มีรอยตราค่าภาคหลวง หรือรอยตรารัฐบาลขายประทับไว้ และจำเลยได้ใช้รถยนต์ของกลางในการกระทำผิดขนย้ายไม้หวงห้ามดังกล่าวเช่นนี้ เมื่อจำเลยให้การรับสารภาพตามฟ้อง ศาลย่อมสั่งริบรถยนต์ของกลางได้โดยโจทก์มิต้องนำสืบว่ารถยนต์ของกลางเป็นของจำเลยหรือเจ้าของรถยนต์ได้รู้เห็นเป็นใจในการกระทำผิด ทั้งนี้เพราะรถยนต์ของกลางเป็นอุปกรณ์ให้ได้รับผลในการกระทำผิดอันเข้าข่ายต้องริบตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484 มาตรา 74 ทวิ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 894/2513 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การริบรถยนต์ที่ใช้ขนย้ายไม้หวงห้าม แม้เจ้าของรถไม่รู้เห็น การรับสารภาพเป็นเหตุให้ริบได้
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยมีไม้หวงห้ามตามพระราชบัญญัติป่าไม้ไว้ในความครอบครอง อันยังมิได้แปรรูปไม่มีรอยตราค่าภาคหลวงหรือรอยตรารัฐบาลขายประทับไว้และจำเลยได้ใช้รถยนต์ของกลางในการกระทำผิดขนย้ายไม้หวงห้ามดังกล่าวเช่นนี้ เมื่อจำเลยให้การรับสารภาพตามฟ้อง ศาลย่อมสั่งริบรถยนต์ของกลางได้โดยโจทก์มิต้องนำสืบว่ารถยนต์ของกลางเป็นของจำเลยหรือเจ้าของรถยนต์ได้รู้เห็นเป็นใจในการกระทำผิด ทั้งนี้เพราะรถยนต์ของกลางเป็นอุปกรณ์ให้ได้รับผลในการกระทำผิดอันเข้าข่ายต้องริบตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484 มาตรา 74 ทวิ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 796/2513

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาเช่าที่ดินและผลของการไม่จดทะเบียน รวมถึงผลของใบรับเงินค่าเช่าเมื่อสัญญาเดิมสิ้นสุด
เช่าที่ดินปลูกห้องแถวภายหลังวันที่ประกาศใช้พระราชบัญญัติควบคุมการเช่าเคหะและที่ดิน พ.ศ. 2504 แล้ว ที่ดินที่เช่าไม่เป็น'ที่ดินควบคุม' ตามมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว จำเลยจึงไม่ได้รับความคุ้มครอง
ทำสัญญาเช่าในวันเดียวกัน 2 ฉบับ ฉบับแรก 3 ปีฉบับหลัง2 ปี โดยไม่จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ และในวันที่ครบกำหนดสัญญาเช่าฉบับแรกผู้ให้เช่าได้ออกใบรับเงินค่าเช่ามีกำหนด 1 ปีสำหรับการเช่าต่อมาให้กับผู้เช่า กรณีเช่นนี้จึงต้องถือว่าสัญญาเช่ามีผลบังคับกันได้เพียง 3 ปี ตามสัญญาเช่าฉบับแรกเท่านั้นสัญญาเช่าฉบับหลังไม่มีผลบังคับตามกฎหมาย ใบรับเงินค่าเช่าที่ผู้ให้เช่าออกให้แก่ผู้เช่าในเมื่อสัญญาฉบับแรกครบแล้ว ย่อมถือเป็นหลักฐานการเช่ามีกำหนด 1 ปี ตามข้อความในเอกสารนั้น
หลักฐานแห่งการเช่ากำหนดเวลาการเช่าไว้ เมื่อครบกำหนดเวลานั้นแล้วสัญญาเช่าย่อมสิ้นสุดลง โดยผู้ให้เช่าไม่จำต้องบอกเลิกการเช่าอีก

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 796/2513 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาเช่าที่ดินหลังพ.ร.บ.ควบคุมการเช่า และผลของการต่อสัญญาที่ไม่จดทะเบียน รวมถึงสิทธิของผู้ให้เช่าเมื่อสัญญาหมดอายุ
เช่าที่ดินปลูกห้องแถวภายหลังวันที่ประกาศใช้พระราชบัญญัติควบคุมการเช่าเคหะและที่ดิน พ.ศ. 2504 แล้ว ที่ดินที่เช่าไม่เป็น"ที่ดินควบคุม" ตามมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว จำเลยจึงไม่ได้รับความคุ้มครอง
ทำสัญญาเช่าในวันเดียวกัน 2 ฉบับ ฉบับแรก 3 ปีฉบับหลัง2 ปี โดยไม่จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ และในวันที่ครบกำหนดสัญญาเช่าฉบับแรกผู้ให้เช่าได้ออกใบรับเงินค่าเช่ามีกำหนด 1 ปีสำหรับการเช่าต่อมาให้กับผู้เช่า กรณีเช่นนี้จึงต้องถือว่าสัญญาเช่ามีผลบังคับกันได้เพียง 3 ปี ตามสัญญาเช่าฉบับแรกเท่านั้นสัญญาเช่าฉบับหลังไม่มีผลบังคับตามกฎหมาย ใบรับเงินค่าเช่าที่ผู้ให้เช่าออกให้แก่ผู้เช่าในเมื่อสัญญาฉบับแรกครบแล้ว ย่อมถือเป็นหลักฐานการเช่ามีกำหนด 1 ปี ตามข้อความในเอกสารนั้น
หลักฐานแห่งการเช่ากำหนดเวลาการเช่าไว้ เมื่อครบกำหนดเวลานั้นแล้วสัญญาเช่าย่อมสิ้นสุดลง โดยผู้ให้เช่าไม่จำต้องบอกเลิกการเช่าอีก

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 769/2513

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เทศบาลประมาทเลินเล่อปล่อยสะพานชำรุด ผู้เสียหายประมาทร่วมด้วย ศาลลดค่าเสียหาย
จำเลยซึ่งเป็นเทศบาลมีหน้าที่ดูแลสะพานให้มีความมั่นคงแข็งแรง การที่จำเลยปล่อยปละละเลยให้สะพานผุพัง ราวสะพานเป็นช่องโหว่อยู่ก่อนผู้เสียหายตกลงไปไม่รีบซ่อมแซมให้อยู่ในสภาพเรียบร้อยปลอดภัย นับว่าเป็นการประมาทเลินเล่อของจำเลยอันเป็นการกระทำละเมิดต่อผู้เสียหายเมื่อพิเคราะห์ถึงการที่โจทก์ตกสะพานไป โดยไม่เดินอย่างคนธรรมดามัวแต่จับตาอยู่ดูการชกต่อยระหว่างเด็ก 2 คน เสียและเอาหลังพิงราวสะพานเอามือรูดไปจนถึงช่องโหว่จนตกไป เช่นนี้ เหตุที่เกิดขึ้นเป็นเพราะความผิดของโจทก์อยู่ด้วย ถือได้ว่าความเสียหายที่เกิดขึ้นเพราะความผิดของโจทก์มีส่วนประกอบด้วย ค่าสินไหมทดแทนอันโจทก์ควรจะได้รับมากน้อยเพียงใด จึงต้องอาศัยพฤติการณ์แห่งกรณีดังกล่าวข้างต้นเป็นประมาณตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 223

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 769/2513 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เทศบาลประมาทเลินเล่อปล่อยสะพานชำรุด ผู้เสียหายประมาทเอง ศาลแบ่งความรับผิด
จำเลยซึ่งเป็นเทศบาลมีหน้าที่ดูแลสะพานให้มีความมั่นคงแข็งแรงการที่จำเลยปล่อยปละละเลยให้สะพานผุพัง ราวสะพานเป็นช่องโหว่อยู่ก่อนผู้เสียหายตกลงไปไม่รีบซ่อมแซมให้อยู่ในสภาพเรียบร้อยปลอดภัย นับว่าเป็นการประมาทเลินเล่อของจำเลยอันเป็นการกระทำละเมิดต่อผู้เสียหายเมื่อพิเคราะห์ถึงการที่โจทก์ตกสะพานไป โดยไม่เดินอย่างคนธรรมดามัวแต่จับตาอยู่ดูการชกต่อยระหว่างเด็ก 2 คน เสียและเอาหลังพิงราวสะพานเอามือรูดไปจนถึงช่องโหว่จนตกไป เช่นนี้ เหตุที่เกิดขึ้นเป็นเพราะความผิดของโจทก์อยู่ด้วย ถือได้ว่าความเสียหายที่เกิดขึ้นเพราะความผิดของโจทก์มีส่วนประกอบด้วย ค่าสินไหมทดแทนอันโจทก์ควรจะได้รับมากน้อยเพียงใด จึงต้องอาศัยพฤติการณ์แห่งกรณีดังกล่าวข้างต้นเป็นประมาณ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 223
of 55