พบผลลัพธ์ทั้งหมด 560 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3352/2529
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
นิติสัมพันธ์-สัญญาประกันภัย-อายุความ-การชำระหนี้ต่างประเทศ: ศาลรับฟังเอกสาร-คำให้การไม่ชัดเจน
จำเลยที่2เป็นกรรมการจำเลยที่1จำเลยที่2ได้รับมอบหมายหน้าที่ให้เป็นผู้ติดต่อกับต่างประเทศในด้านการทำประกันภัยต่อระบุตำแหน่งว่าเป็นผู้จัดการฝ่ายต่างประเทศของจำเลยที่1จำเลยที่2ลงชื่อในสัญญาที่ทำกับโจทก์โดยจำเลยที่1รู้เห็นและไม่ทักท้วงจำเลยที่2จึงเป็นตัวแทนของจำเลยที่1ในการทำสัญญาดังกล่าวกับโจทก์เมื่อสัญญาเหล่านั้นเกี่ยวด้วยการรับประกันภัยอันอยู่ภายในขอบวัตถุที่ประสงค์ของจำเลยที่1โจทก์กับจำเลยที่1จึงย่อมมีนิติสัมพันธ์ต่อกัน จำเลยที่2มิได้ยื่นบัญชีระบุพยานเอกสารที่อ้างและทนายจำเลยที่1คัดค้านมิให้ศาลรับฟังแต่เมื่อประธานกรรมการจำเลยที่1เบิกความทนายจำเลยที่2ได้ถามพยานเกี่ยวกับเอกสารดังกล่าวพยานเบิกความรับรองศาลชั้นต้นรับเอกสารนี้ไว้และสั่งให้จำเลยที่2เสียค่าอ้างจำเลยที่2ได้เสียค่าอ้างเอกสารแล้วศาลรับฟังเอกสารดังกล่าวเป็นพยานหลักฐานได้ ตามเอกสารท้ายฟ้องมีข้อความว่าโจทก์เป็นผู้ถือบันทึกประกันภัยจำเลยที่1เป็นผู้รับประกันภัยโดยยอมรับส่วนการประกันภัยและยอมให้โจทก์มีอำนาจผูกพันบัญชีของจำเลยที่1และมีอำนาจออกกรมธรรม์ประกันภัยในนามของจำเลยที่1อันเกี่ยวกับการประกันภัยโดยตรงและการประกันภัยโดยทางอ้อมเมื่อได้ความตามฟ้องว่าระหว่างโจทก์กับจำเลยที่1ได้มีการทำสัญญาเกี่ยวกับการรับประกันภัยเกิดขึ้นและมีหนี้ผูกพันเกี่ยวด้วยการปฏิบัติตามสัญญานั้นที่จำเลยที่1ค้างชำระแก่โจทก์โจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้องจำเลย ตามสัญญาระหว่างโจทก์กับจำเลยที่1ให้มีการเสนอข้อพิพาทให้อนุญาโตตุลาการชี้ขาดแต่ปรากฏตามข้อต่อสู้ของจำเลยที่1ว่าจำเลยที่1ไม่มีสัมพันธ์ใดๆกับโจทก์ดังนั้นจึงไม่มีกรณีที่จำเลยที่1จะยอมเสนอข้อพิพาทต่ออนุญาโตตุลาการแม้โจทก์มีความประสงค์เช่นนั้นและปรากฏตามฟ้องว่าก่อนฟ้องโจทก์ทวงถามจำเลยที่1ให้ชำระหนี้แล้วจำเลยที่1ไม่ชำระการกระทำของจำเลยที่1จึงเป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์โจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้องจำเลยที่1โดยไม่ต้องเสนอข้อพิพาทให้อนุญาโตตุลาการชี้ขาดได้ โจทก์ฟ้องเรียกเงินในส่วนที่จำเลยที่1จะต้องรับผิดต่อโจทก์อ้างความสัมพันธ์ระหว่างโจทก์จำเลยที่1และบริษัทคนกลางมีเอกสารท้ายฟ้องประกอบแสดงรายละเอียดจำนวนเงินที่จำเลยที่1ค้างชำระในแต่ละงวดแต่ละปีรวมเป็นยอดหนี้ทั้งสิ้นและขอให้ศาลบังคับจำเลยที่1ชำระตามยอดเงินตรงกับเอกสารท้ายฟ้องเป็นฟ้องที่แสดงโดยชัดแจ้งซึ่งสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาครบถ้วนสมบูรณ์ไม่เคลือบคลุม จำเลยที่1ให้การว่าฟ้องโจทก์ขาดอายุความโดยมิได้อ้างเหตุว่าขาดอายุความกรณีใดบ้างเป็นคำให้การที่ไม่ชัดแจ้งเพราะอายุความแห่งสิทธิเรียกร้องในแต่ละประเภทมีกำหนดเวลาต่างกันคำให้การจำเลยที่1จึงไม่เป็นประเด็นที่จะต้องวินิจฉัย ในกรณีที่ต้องชำระหนี้กันเป็นเงินตราต่างประเทศศาลจะพิพากษาให้ใช้เงินตราต่างประเทศหรือมิฉะนั้นให้คิดแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศนั้นเป็นเงินไทยโดยคิดอัตราแลกเปลี่ยนเงินโดยเฉลี่ยที่ธนาคารพาณิชย์ที่ทำการขายเงินตราต่างประเทศเป็นเงินไทยในวันที่มีคำพิพากษาถ้าอัตราแลกเปลี่ยนในวันดังกล่าวไม่มีก็ให้ถือเอาวันสุดท้ายที่มีอัตราแลกเปลี่ยนเช่นว่านั้นก่อนวันพิพากษา.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3352/2529 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับประกันภัยต่อ สัญญาประกันภัย ความสัมพันธ์ระหว่างผู้รับประกันภัย โจทก์ และบริษัทคนกลาง อำนาจฟ้อง
จำเลยที่ 2 เป็นกรรมการจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2 ได้รับมอบหมายหน้าที่ให้เป็นผู้ติดต่อกับต่างประเทศในด้านการทำประกันภัยต่อ ระบุตำแหน่งว่าเป็นผู้จัดการฝ่ายต่างประเทศของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2 ลงชื่อในสัญญาที่ทำกับโจทก์ โดยจำเลยที่ 1 รู้เห็นและไม่ทักท้วง จำเลยที่ 2 จึงเป็นตัวแทนของจำเลยที่ 1ในการทำสัญญาดังกล่าวกับโจทก์ เมื่อสัญญาเหล่านั้นเกี่ยวด้วยการรับประกันภัยอันอยู่ภายในขอบวัตถุที่ประสงค์ของจำเลยที่ 1 โจทก์กับจำเลยที่ 1 จึงย่อมมีนิติสัมพันธ์ต่อกัน
จำเลยที่ 2 มิได้ยื่นบัญชีระบุพยานเอกสารที่อ้าง และทนายจำเลยที่ 1 คัดค้านมิให้ศาลรับฟัง แต่เมื่อประธานกรรมการจำเลยที่1 เบิกความทนายจำเลยที่ 2 ได้ถามพยานเกี่ยวกับเอกสารดังกล่าว พยานเบิกความรับรองศาลชั้นต้นรับเอกสารนี้ไว้และสั่งให้จำเลยที่ 2 เสียค่าอ้าง จำเลยที่ 2 ได้เสียค่าอ้างเอกสารแล้ว ศาลรับฟังเอกสารดังกล่าวเป็นพยานหลักฐานได้
ตามเอกสารท้ายฟ้องมีข้อความว่า โจทก์เป็นผู้ถือบันทึกประกันภัยจำเลยที่ 1 เป็นผู้รับประกันภัย โดยยอมรับส่วนการประกันภัย และยอมให้โจทก์มีอำนาจผูกพันบัญชีของจำเลยที่ 1และมีอำนาจออกกรมธรรม์ประกันภัยในนามของจำเลยที่ 1 อันเกี่ยวกับการประกันภัยโดยตรงและการประกันภัยโดยทางอ้อมเมื่อได้ความตามฟ้องว่า ระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 ได้มีการทำสัญญาเกี่ยวกับการรับประกันภัยเกิดขึ้น และมีหนี้ผูกพันเกี่ยวด้วยการปฏิบัติตามสัญญานั้นที่จำเลยที่ 1 ค้างชำระแก่โจทก์ โจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้องจำเลย
ตามสัญญาระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 ให้มีการเสนอข้อพิพาทให้อนุญาโตตุลาการชี้ขาด แต่ปรากฏตามข้อต่อสู้ของจำเลยที่ 1ว่าจำเลยที่ 1 ไม่มีสัมพันธ์ใด ๆ กับโจทก์ ดังนั้นจึงไม่มีกรณีที่จำเลยที่ 1 จะยอมเสนอข้อพิพาทต่ออนุญาโตตุลาการ แม้โจทก์มีความประสงค์เช่นนั้น และปรากฏตามฟ้องว่า ก่อนฟ้องโจทก์ทวงถามจำเลยที่ 1 ให้ชำระหนี้แล้ว จำเลยที่ 1 ไม่ชำระ การกระทำของจำเลยที่ 1 จึงเป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ โจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 1 โดยไม่ต้องเสนอข้อพิพาทให้อนุญาโตตุลาการชี้ขาดได้
โจทก์ฟ้องเรียกเงินในส่วนที่จำเลยที่ 1 จะต้องรับผิดต่อโจทก์ อ้างความสัมพันธ์ระหว่างโจทก์จำเลยที่ 1 และบริษัทคนกลางมีเอกสารท้ายฟ้องประกอบแสดงรายละเอียดจำนวนเงินที่จำเลยที่ 1 ค้างชำระในแต่ละงวด แต่ละปี รวมเป็นยอดหนี้ทั้งสิ้น และขอให้ศาลบังคับจำเลยที่ 1 ชำระตามยอดเงินตรงกับเอกสารท้ายฟ้อง เป็นฟ้องที่แสดงโดยชัดแจ้งซึ่งสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาครบถ้วนสมบูรณ์ ไม่เคลือบคลุม
จำเลยที่ 1 ให้การว่าฟ้องโจทก์ขาดอายุความ โดยมิได้อ้างเหตุว่าขาดอายุความกรณีใดบ้าง เป็นคำให้การที่ไม่ชัดแจ้งเพราะอายุความแห่งสิทธิเรียกร้องในแต่ละประเภทมีกำหนดเวลาต่างกันคำให้การจำเลยที่ 1 จึงไม่เป็นประเด็นที่จะต้องวินิจฉัย
ในกรณีที่ต้องชำระหนี้กันเป็นเงินตราต่างประเทศศาลจะพิพากษาให้ใช้เงินตราต่างประเทศหรือมิฉะนั้นให้คิดแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศนั้นเป็นเงินไทย โดยคิดอัตราแลกเปลี่ยนเงินโดยเฉลี่ยที่ธนาคารพาณิชย์ที่ทำการขายเงินตราต่างประเทศเป็นเงินไทยในวันที่มีคำพิพากษา ถ้าอัตราแลกเปลี่ยนในวันดังกล่าวไม่มี ก็ให้ถือเอาวันสุดท้ายที่มีอัตราแลกเปลี่ยนเช่นว่านั้นก่อนวันพิพากษา
จำเลยที่ 2 มิได้ยื่นบัญชีระบุพยานเอกสารที่อ้าง และทนายจำเลยที่ 1 คัดค้านมิให้ศาลรับฟัง แต่เมื่อประธานกรรมการจำเลยที่1 เบิกความทนายจำเลยที่ 2 ได้ถามพยานเกี่ยวกับเอกสารดังกล่าว พยานเบิกความรับรองศาลชั้นต้นรับเอกสารนี้ไว้และสั่งให้จำเลยที่ 2 เสียค่าอ้าง จำเลยที่ 2 ได้เสียค่าอ้างเอกสารแล้ว ศาลรับฟังเอกสารดังกล่าวเป็นพยานหลักฐานได้
ตามเอกสารท้ายฟ้องมีข้อความว่า โจทก์เป็นผู้ถือบันทึกประกันภัยจำเลยที่ 1 เป็นผู้รับประกันภัย โดยยอมรับส่วนการประกันภัย และยอมให้โจทก์มีอำนาจผูกพันบัญชีของจำเลยที่ 1และมีอำนาจออกกรมธรรม์ประกันภัยในนามของจำเลยที่ 1 อันเกี่ยวกับการประกันภัยโดยตรงและการประกันภัยโดยทางอ้อมเมื่อได้ความตามฟ้องว่า ระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 ได้มีการทำสัญญาเกี่ยวกับการรับประกันภัยเกิดขึ้น และมีหนี้ผูกพันเกี่ยวด้วยการปฏิบัติตามสัญญานั้นที่จำเลยที่ 1 ค้างชำระแก่โจทก์ โจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้องจำเลย
ตามสัญญาระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 ให้มีการเสนอข้อพิพาทให้อนุญาโตตุลาการชี้ขาด แต่ปรากฏตามข้อต่อสู้ของจำเลยที่ 1ว่าจำเลยที่ 1 ไม่มีสัมพันธ์ใด ๆ กับโจทก์ ดังนั้นจึงไม่มีกรณีที่จำเลยที่ 1 จะยอมเสนอข้อพิพาทต่ออนุญาโตตุลาการ แม้โจทก์มีความประสงค์เช่นนั้น และปรากฏตามฟ้องว่า ก่อนฟ้องโจทก์ทวงถามจำเลยที่ 1 ให้ชำระหนี้แล้ว จำเลยที่ 1 ไม่ชำระ การกระทำของจำเลยที่ 1 จึงเป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ โจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 1 โดยไม่ต้องเสนอข้อพิพาทให้อนุญาโตตุลาการชี้ขาดได้
โจทก์ฟ้องเรียกเงินในส่วนที่จำเลยที่ 1 จะต้องรับผิดต่อโจทก์ อ้างความสัมพันธ์ระหว่างโจทก์จำเลยที่ 1 และบริษัทคนกลางมีเอกสารท้ายฟ้องประกอบแสดงรายละเอียดจำนวนเงินที่จำเลยที่ 1 ค้างชำระในแต่ละงวด แต่ละปี รวมเป็นยอดหนี้ทั้งสิ้น และขอให้ศาลบังคับจำเลยที่ 1 ชำระตามยอดเงินตรงกับเอกสารท้ายฟ้อง เป็นฟ้องที่แสดงโดยชัดแจ้งซึ่งสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาครบถ้วนสมบูรณ์ ไม่เคลือบคลุม
จำเลยที่ 1 ให้การว่าฟ้องโจทก์ขาดอายุความ โดยมิได้อ้างเหตุว่าขาดอายุความกรณีใดบ้าง เป็นคำให้การที่ไม่ชัดแจ้งเพราะอายุความแห่งสิทธิเรียกร้องในแต่ละประเภทมีกำหนดเวลาต่างกันคำให้การจำเลยที่ 1 จึงไม่เป็นประเด็นที่จะต้องวินิจฉัย
ในกรณีที่ต้องชำระหนี้กันเป็นเงินตราต่างประเทศศาลจะพิพากษาให้ใช้เงินตราต่างประเทศหรือมิฉะนั้นให้คิดแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศนั้นเป็นเงินไทย โดยคิดอัตราแลกเปลี่ยนเงินโดยเฉลี่ยที่ธนาคารพาณิชย์ที่ทำการขายเงินตราต่างประเทศเป็นเงินไทยในวันที่มีคำพิพากษา ถ้าอัตราแลกเปลี่ยนในวันดังกล่าวไม่มี ก็ให้ถือเอาวันสุดท้ายที่มีอัตราแลกเปลี่ยนเช่นว่านั้นก่อนวันพิพากษา
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2572/2529
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การใช้รถบรรทุกที่เอาประกันภัยเพื่อกิจการค้าขายของผู้เอาประกันภัย แม้เป็นการบรรทุกสินค้าขากลับเพื่อไม่ให้เสียเที่ยว ก็ไม่ถือเป็นการใช้รถผิดเงื่อนไข
แม้กรมธรรม์ประกันภัยจะจำกัดความรับผิดในกรณีนำรถบรรทุกที่เอาประกันภัยไปรับจ้างบรรทุกก็ตามแต่การที่ผู้เอาประกันภัยนำรถดังกล่าวบรรทุกสินค้าของตนไปส่งลูกค้าแล้วขากลับได้รับจ้างบรรทุกสินค้าอื่นกลับเพื่อไม่ให้เสียเที่ยวและเกิดเหตุขึ้นยังไม่พอถือว่าผู้เอาประกันภัยนำรถไปใช้ผิดเงื่อนไขในกรมธรรม์ประกันภัยเพราะยังเป็นการใช้รถในกิจการค้าขายของผู้เอาประกันภัยซึ่งมีอาชีพค้าขายและมีรถยนต์ไว้บรรทุกสินค้า.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2572/2529 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การใช้รถบรรทุกในการค้าขายและการรับจ้างบรรทุกสินค้าไม่ถือเป็นการผิดเงื่อนไขกรมธรรม์ประกันภัย
แม้กรมธรรม์ประกันภัยจะจำกัดความรับผิดในกรณีนำรถบรรทุกที่เอาประกันภัยไปรับจ้างบรรทุกก็ตาม แต่การที่ผู้เอาประกันภัยนำรถดังกล่าวบรรทุกสินค้าของตนไปส่งลูกค้า แล้วขากลับได้รับจ้างบรรทุกสินค้าอื่นกลับเพื่อไม่ให้เสียเที่ยวและเกิดเหตุขึ้น ยังไม่พอถือว่าผู้เอาประกันภัยนำรถไปใช้ผิดเงื่อนไขในกรมธรรม์ประกันภัย เพราะยังเป็นการใช้รถในกิจการค้าขายของผู้เอาประกันภัยซึ่งมีอาชีพค้าขายและมีรถยนต์ไว้บรรทุกสินค้า
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1601-1903/2529
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิของผู้เอาประกันภัยในการเลือกซ่อมรถยนต์ และการใช้สิทธิทางกฎหมายควบคู่กับการเรียกร้องตามสัญญา
ตามสัญญาประกันภัยมีเงื่อนไขระบุว่า เมื่อรถยนต์ที่เอาประกันภัยไว้เกิดความเสียหาย ผู้รับประกันภัยมีสิทธิซ่อมเปลี่ยนหรือใช้รถยนต์สภาพเดียวกันนั้น ผู้รับประกันภัยจะต้องเลือกซ่อมโดยช่างซ่อมที่มีฝีมือด้วย การที่ผู้เอาประกันภัยไม่ยอมส่งมอบรถยนต์ให้ซ่อมเพราะยังไม่พอใจว่าช่างซ่อมของผู้รับประกันภัยจะซ่อมรถได้ดีหรือไม่ และไม่ปรากฏว่าผู้เอาประกันภัยจะไม่ส่งมอบรถยนต์ให้ผู้รับประกันภัยโดยเด็ดขาด จึงถือไม่ได้ว่าผู้เอาประกันภัยผิดเงื่อนไขในสัญญา
การที่ผู้เอาประกันภัยฟ้องเรียกค่าเสียหายจากผู้ที่อ้างว่าทำละเมิดนั้น เป็นการใช้สิทธิตามกฎหมายของผู้เอาประกันภัย จะถือว่าผู้เอาประกันภัยสละสิทธิที่จะให้ผู้รับประกันภัยปฏิบัติตามสัญญาหาได้ไม่
การที่ผู้เอาประกันภัยฟ้องเรียกค่าเสียหายจากผู้ที่อ้างว่าทำละเมิดนั้น เป็นการใช้สิทธิตามกฎหมายของผู้เอาประกันภัย จะถือว่าผู้เอาประกันภัยสละสิทธิที่จะให้ผู้รับประกันภัยปฏิบัติตามสัญญาหาได้ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4211-4212/2528 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาประกันภัยมีผลผูกพันแม้ผู้รับประกันภัยไม่มีวัตถุประสงค์ด้านประกันภัย หากได้รับเบี้ยประกันภัยแล้ว การไม่ได้รับอนุญาตประกอบธุรกิจเป็นโมฆะต่อเมื่อผู้เอาประกันภัยทราบ
นิติบุคคลซึ่งไม่มีวัตถุประสงค์ในการรับประกันวินาศภัยแต่ได้รับประกันวินาศภัยไว้เมื่อได้รับเบี้ยประกันภัยอันเป็นผลประโยชน์ตอบแทนจากผู้เอาประกันภัย นิติบุคคลนั้นจะปฏิเสธว่าเป็นเรื่องนอกวัตถุประสงค์ของตนเพื่อให้พ้นความรับผิดที่จะต้องชดใช้ค่าเสียหายตามสัญญาประกันภัยหาได้ไม่
การที่ผู้รับประกันภัยได้รับประกันวินาศภัยไว้จากผู้เอาประกันภัยโดยไม่ได้รับอนุญาตจากรัฐมนตรีให้ประกอบกิจการประกันวินาศภัย สัญญาประกันภัยจะเป็นโมฆะก็ต่อเมื่อผู้เอาประกันภัยซึ่งเป็นคู่สัญญาได้ทราบถึงการไม่ได้รับอนุญาตนั้น เมื่อไม่ปรากฏว่าผู้เอาประกันภัยได้ทราบความดังกล่าว ผู้รับประกันภัยจึงต้องรับผิดตามสัญญาประกันภัย
การที่ผู้รับประกันภัยได้รับประกันวินาศภัยไว้จากผู้เอาประกันภัยโดยไม่ได้รับอนุญาตจากรัฐมนตรีให้ประกอบกิจการประกันวินาศภัย สัญญาประกันภัยจะเป็นโมฆะก็ต่อเมื่อผู้เอาประกันภัยซึ่งเป็นคู่สัญญาได้ทราบถึงการไม่ได้รับอนุญาตนั้น เมื่อไม่ปรากฏว่าผู้เอาประกันภัยได้ทราบความดังกล่าว ผู้รับประกันภัยจึงต้องรับผิดตามสัญญาประกันภัย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4211-4212/2528
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาประกันภัยมีผลผูกพันแม้ผู้รับประกันภัยไม่มีวัตถุประสงค์ แต่ได้รับเบี้ยประกันภัย การไม่ได้รับอนุญาตประกอบกิจการประกันภัยเป็นโมฆะต่อเมื่อคู่สัญญาทราบ
นิติบุคคลซึ่งไม่มีวัตถุประสงค์ในการรับประกันวินาศภัยแต่ได้รับประกันวินาศภัยไว้เมื่อได้รับเบี้ยประกันภัยอันเป็นผลประโยชน์ตอบแทนจากผู้เอาประกันภัย นิติบุคคลนั้นจะปฏิเสธว่าเป็นเรื่องนอกวัตถุประสงค์ของตนเพื่อให้พ้นความรับผิดที่จะต้องชดใช้ค่าเสียหายตามสัญญาประกันภัยหาได้ไม่ การที่ผู้รับประกันภัยได้รับประกันวินาศภัยไว้จากผู้เอาประกันภัยโดยไม่ได้รับอนุญาตจากรัฐมนตรีให้ประกอบกิจการประกันวินาศภัยสัญญาประกันภัยจะเป็นโมฆะก็ต่อเมื่อผู้เอาประกันภัยซึ่งเป็นคู่สัญญาได้ทราบถึงการไม่ได้รับอนุญาตนั้นเมื่อไม่ปรากฏว่าผู้เอาประกันภัยได้ทราบความดังกล่าว ผู้รับประกันภัยจึงต้องรับผิดตามสัญญาประกันภัย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3622/2528
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความหมายของ 'อุบัติเหตุ' ในประกันภัยรถยนต์: การชิงทรัพย์และการเสียชีวิตของผู้ขับขี่
โจทก์เอาประกันภัยรถยนต์ไว้แก่จำเลยและได้เอาประกันภัย อุบัติเหตุส่วนบุคคลผู้ขับขี่ไม่ระบุนามไว้ด้วยโดยมีเงื่อนไขว่า จะใช้บังคับเฉพาะเมื่อผู้ขับขี่ที่ได้รับอนุญาตจากผู้เอาประกันภัย ที่ระบุชื่อไว้ในกรมธรรม์ประกันภัยได้รับอุบัติเหตุในขณะที่กำลังขับขี่ หรือกำลังขึ้นหรือลงจากรถยนต์ที่ระบุไว้ในกรมธรรม์ประกันภัยเท่านั้น ปรากฏว่าระหว่างอายุสัญญาพ.ผู้ขับขี่รถยนต์ของโจทก์ได้ขับรถยนต์ ดังกล่าวจะไปส่งของที่กรุงเทพมหานครระหว่างทางได้ถูกคนร้าย ชิงเอารถยนต์ไปและคนร้ายได้ฆ่าพ.ถึงแก่ความตายเนื่องจากคนร้าย มีเจตนาลักรถยนต์ของโจทก์พบศพอยู่ห่างถนนที่เกิดเหตุประมาณ 7 เส้นดังนี้ เห็นได้ว่าเหตุที่เกิดขึ้นแก่ พ. เป็นผลโดยตรงหรือ เนื่องมาจากการชิงทรัพย์นั่นเองและได้เกิดขึ้นขณะพ.กำลัง ขับขี่รถยนต์อยู่ซึ่งถือได้ว่าเป็นอุบัติเหตุตามกรมธรรม์ประกันภัย
ตามกรมธรรม์ประกันภัยอุบัติเหตุมิได้ให้คำจำกัดความว่า'อุบัติเหตุ'ไว้ จึงต้องถือความหมายตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2525 ซึ่งให้ความหมายไว้ว่าเหตุที่เกิดขึ้นโดยไม่คาดคิดหรือความบังเอิญเป็น
ตามกรมธรรม์ประกันภัยอุบัติเหตุมิได้ให้คำจำกัดความว่า'อุบัติเหตุ'ไว้ จึงต้องถือความหมายตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2525 ซึ่งให้ความหมายไว้ว่าเหตุที่เกิดขึ้นโดยไม่คาดคิดหรือความบังเอิญเป็น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3622/2528 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความคุ้มครองประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคลกรณีถูกฆ่าชิงทรัพย์ขณะขับรถ: ถือเป็นอุบัติเหตุตามกรมธรรม์หรือไม่
โจทก์เอาประกันภัยรถยนต์ไว้แก่จำเลย และได้เอาประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคลผู้ขับขี่ไม่ระบุนามไว้ด้วยโดยมีเงื่อนไขว่า จะใช้บังคับเฉพาะเมื่อผู้ขับขี่ที่ได้รับอนุญาตจากผู้เอาประกันภัยที่ระบุชื่อไว้ในกรมธรรม์ประกันภัย ได้รับอุบัติเหตุในขณะที่กำลังขับขี่หรือกำลังขึ้นหรือลงจากรถยนต์ที่ระบุไว้ในกรมธรรม์ประกันภัยเท่านั้น ปรากฏว่าระหว่างอายุสัญญา พ.ผู้ขับขี่รถยนต์ของโจทก์ได้ขับรถยนต์ดังกล่าวจะไปส่งของที่กรุงเทพมหานครระหว่างทางได้ถูกคนร้ายชิงเอารถยนต์ไป และคนร้ายได้ฆ่า พ.ถึงแก่ความตายเนื่องจากคนร้ายมีเจตนาลักรถยนต์ของโจทก์ พบศพอยู่ห่างถนนที่เกิดเหตุประมาณ 7 เส้นดังนี้ เห็นได้ว่าเหตุที่เกิดขึ้นแก่ พ. เป็นผลโดยตรงหรือ เนื่องมาจากการชิงทรัพย์นั่นเอง และได้เกิดขึ้นขณะ พ. กำลัง ขับขี่รถยนต์อยู่ซึ่งถือได้ว่าเป็นอุบัติเหตุตามกรมธรรม์ประกันภัย
ตามกรมธรรม์ประกันภัยอุบัติเหตุมิได้ให้คำจำกัดความว่า "อุบัติเหตุ" ไว้ จึงต้องถือความหมายตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2525 ซึ่งให้ความหมายไว้ว่า เหตุที่เกิดขึ้นโดยไม่คาดคิด หรือความบังเอิญเป็น
ตามกรมธรรม์ประกันภัยอุบัติเหตุมิได้ให้คำจำกัดความว่า "อุบัติเหตุ" ไว้ จึงต้องถือความหมายตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2525 ซึ่งให้ความหมายไว้ว่า เหตุที่เกิดขึ้นโดยไม่คาดคิด หรือความบังเอิญเป็น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2779/2527
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ประกันภัยรถยนต์: ความเสียหายจากการลักทรัพย์ ครอบคลุมทั้งความสูญหายและค่าซ่อม
โจทก์เอาประกันภัยรถยนต์ที่โจทก์เช่าซื้อมาไว้แก่บริษัทจำเลย ตามกรมธรรม์ประกันภัยจำเลยจะต้องรับผิดใช้ ค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายหรือสูญหายต่อรถยนต์ที่เอาประกันภัยไว้เนื่องจากการลักทรัพย์ ชิงทรัพย์หรือปล้นทรัพย์เป็นจำนวนเงินไม่เกิน 30,000 บาท ต่อมาในระหว่างอายุสัญญาประกันภัยรถยนต์ดังกล่าวถูกคนร้ายลักไปโจทก์จึงฟ้องขอให้จำเลยใช้ค่าสินไหมทดแทน แม้ว่าในระหว่างการพิจารณา คดีนี้ โจทก์จะได้รถยนต์ดังกล่าวคืนมา แต่ได้คืนมา ในสภาพชำรุดเสียหายต้องซ่อมเป็นเงิน 51,200 บาท ดังนี้ ศาล ก็พิพากษาให้จำเลยใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ตาม กรมธรรม์ประกันภัยได้ ตามกรมธรรม์ประกันภัยมีเงื่อนไขให้จำเลยรับผิดใช้ ค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายหรือสูญหายต่อรถยนต์ที่เอาประกันภัยไว้เนื่องจากการลักทรัพย์ ก็ต้องหมายความว่าจำเลยจะรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนในกรณีที่รถยนต์สูญหายไปเนื่องจากการลักทรัพย์อย่างหนึ่ง และในกรณีที่รถยนต์ เกิดความเสียหายอันเนื่องมาจากการลักทรัพย์อีกอย่างหนึ่งรถยนต์ของโจทก์เกิดความชำรุดเสียหายก็เป็นผลสืบเนื่องมาจากการลักทรัพย์โดยตรง จำเลยจึงต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์เพื่อ ความเสียหายดังกล่าว