คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
พันธ์ นัยวิฑิต

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 171 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 714/2512 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การยินยอมให้เปิดคันดินกั้นน้ำไม่ถือเป็นการละเมิด แม้จะทำให้เกิดความเสียหายต่อทรัพย์สิน
ตามคำบรรยายฟ้องของโจทก์สรุปได้ว่า จำเลยพังทำลายคันดินกั้นน้ำในคลองซึ่งเป็นทางน้ำสาธารณะ เป็นเหตุให้คันดินนี้กักเก็บน้ำและระบายน้ำเข้านาโจทก์ไม่ได้ทำให้ข้าวในนาของโจทก์เสียหายซึ่งเป็นการที่โจทก์กล่าวอ้างว่าจำเลยกระทำผิดกฎหมายเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายแก่ทรัพย์สินของโจทก์โจทก์จึงฟ้องขอให้ทำคันดินกั้นน้ำให้ดีดังเดิมหรือให้โจทก์ทำโดยจำเลยชดใช้ค่าใช้จ่ายให้ได้
โจทก์ยินยอมให้จำเลยกับพวกเปิดคันดินกั้นน้ำในคลองซึ่งเป็นทางน้ำสาธารณะหรือทำให้คันดินไม่อยู่ในสภาพกักเก็บน้ำและระบายน้ำเข้านาโจทก์ได้แม้ทำให้ข้าวในนาโจทก์เสียหาย ก็ไม่เป็นละเมิดต่อโจทก์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 714/2512 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การยินยอมให้กระทำโดยชอบด้วยกฎหมายแล้ว ไม่ถือเป็นการละเมิด แม้จะเกิดความเสียหายต่อทรัพย์สิน
ตามคำบรรยายฟ้องของโจทก์สรุปได้ว่า จำเลยพังทำลายคันดินกั้นน้ำในคลองซึ่งเป็นทางน้ำสาธารณะ เป็นเหตุให้คันดินนี้กักเก็บน้ำและระบายน้ำเข้านาโจทก์ไม่ได้ ทำให้ข้าวในนาของโจทก์เสียหาย ซึ่งเป็นการที่โจทก์กล่าวอ้างว่า จำเลยกระทำผิดกฎหมาย เป็นเหตุให้เกิดความเสียหายแก่ทรัพย์สินของโจทก์ โจทก์จึงฟ้องขอให้ทำคันดินกั้นน้ำให้ดีดังเดิม หรือให้โจทก์ทำโดยจำเลยชดใช้ค่าใช้จ่ายให้ได้
โจทก์ยินยอมให้จำเลยกับพวกเปิดคันดินกั้นน้ำในคลองซึ่งเป็นทางน้ำสาธารณะ หรือทำให้คันดินไม่อยู่ในสภาพกักเก็บน้ำและระบายน้ำเข้านาโจทก์ได้ แม้ทำให้ข้าวในนาโจทก์เสียหาย ก็ไม่เป็นละเมิดต่อโจทก์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 714/2512

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การยินยอมให้กระทำการละเมิด: การเปิดคันดินกั้นน้ำที่โจทก์ยินยอม ไม่ถือเป็นการละเมิด
ตามคำบรรยายฟ้องของโจทก์สรุปได้ว่า จำเลยพังทำลายคันดินกั้นน้ำในคลองซึ่งเป็นทางน้ำสาธารณะ. เป็นเหตุให้คันดินนี้กักเก็บน้ำและระบายน้ำเข้านาโจทก์ไม่ได้. ทำให้ข้าวในนาของโจทก์เสียหาย. ซึ่งเป็นการที่โจทก์กล่าวอ้างว่าจำเลยกระทำผิดกฎหมาย. เป็นเหตุให้เกิดความเสียหายแก่ทรัพย์สินของโจทก์. โจทก์จึงฟ้องขอให้ทำคันดินกั้นน้ำให้ดีดังเดิม.หรือให้โจทก์ทำโดยจำเลยชดใช้ค่าใช้จ่ายให้ได้.
โจทก์ยินยอมให้จำเลยกับพวกเปิดคันดินกั้นน้ำในคลองซึ่งเป็นทางน้ำสาธารณะหรือทำให้คันดินไม่อยู่ในสภาพกักเก็บน้ำและระบายน้ำเข้านาโจทก์ได้. แม้ทำให้ข้าวในนาโจทก์เสียหาย. ก็ไม่เป็นละเมิดต่อโจทก์.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 688/2512

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องซ้ำและอายุความ: สิทธิเรียกคืนเงินที่ชำระหนี้ซ้ำจากการฟ้องเรียกหนี้ก่อนหน้า
คดีก่อน จำเลยฟ้อง ม.ให้ชำระหนี้เงินกู้ ซึ่ง ม.ได้กู้จากจำเลยไปแทนโจทก์. ซึ่งศาลได้พิพากษาถึงที่สุดให้ ม. แพ้คดี. โดยเหตุที่ไม่สามารถพิสูจน์หลักฐานการชำระเงินได้. แต่คดีนี้โจทก์ฟ้องจำเลยเรียกเงินที่จำเลยได้หักเงินรายได้โรงเรียนของโจทก์ตามหนี้เงินกู้รายเดียวกันนี้ไว้คืนฐานลาภมิควรได้. โดยเหตุที่จำเลยกลับนำสัญญากู้รายเดียวกันนี้ไปฟ้อง ม. จนศาลพิพากษาถึงที่สุดให้ชำระหนี้เงินกู้รายเดียวกันนี้แก่จำเลย. ดังนี้ประเด็นในคดีนี้จึงเป็นคนละประเด็นกับคดีก่อน. ไม่เป็นฟ้องซ้ำ.
โจทก์จำเลยตกลงกู้ยืมเงินกัน. โดยโจทก์ให้ ม.ทำสัญญากู้ไว้แทนโจทก์. โดยมีข้อตกลงให้จำเลยหักเงินรายได้โรงเรียนของโจทก์ชำระหนี้เงินกู้นี้. แต่จำเลยได้นำสัญญากู้รายเดียวกันนี้ไปฟ้อง ม.จนศาลพิพากษาถึงที่สุดให้ ม.ชำระหนี้เงินกู้แก่จำเลย. โจทก์จึงฟ้องเรียกเงินของโจทก์ที่จำเลยได้หักชำระหนี้รายเดียวกันนี้คืนฐานลาภมิควรได้. ดังนี้ ต้องถือว่าสิทธิของโจทก์ที่ฟ้องเรียกลาภมิควรได้นี้เกิดขึ้นต่อเมื่อคดีที่จำเลยฟ้อง ม.ถึงที่สุดเสียก่อน. และก่อนคดีดังกล่าวถึงที่สุด. จะถือว่าโจทก์ได้รู้ถึงสิทธิที่จะเรียกเงินคืนตามมูลฐานดังกล่าวมิได้. เมื่อนับจากวันที่โจทก์ได้ทราบเรื่องซึ่งเป็นเวลาภายหลังได้อ่านคำพิพากษาศาลฎีกาคดีดังกล่าวมาจนถึงวันที่โจทก์ฟ้อง. ยังอยู่ภายในระยะเวลา 1 ปี. คดีโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 688/2512 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องซ้ำ-อายุความ: สิทธิเรียกคืนเงินจากการชำระหนี้ซ้ำจากการฟ้องเรียกหนี้ซ้อน
คดีก่อน จำเลยฟ้อง ม. ให้ชำระหนี้เงินกู้ ซึ่ง ม. ได้กู้จากจำเลยไปแทนโจทก์ซึ่งศาลได้พิพากษาถึงที่สุดให้ ม. แพ้คดีโดยเหตุที่ไม่สามารถพิสูจน์หลักฐานการชำระเงินได้แต่คดีนี้โจทก์ฟ้องจำเลยเรียกเงินที่จำเลยได้หักเงินรายได้โรงเรียนของโจทก์ตามหนี้เงินกู้รายเดียวกันนี้ไว้คืนฐานลาภมิควรได้โดยเหตุที่จำเลยกลับนำสัญญากู้รายเดียวกันนี้ไปฟ้อง ม. จนศาลพิพากษาถึงที่สุดให้ชำระหนี้เงินกู้รายเดียวกันนี้แก่จำเลย ดังนี้ประเด็นในคดีนี้จึงเป็นคนละประเด็นกับคดีก่อน ไม่เป็นฟ้องซ้ำ
โจทก์จำเลยตกลงกู้ยืมเงินกันโดยโจทก์ให้ ม. ทำสัญญากู้ไว้แทนโจทก์ โดยมีข้อตกลงให้จำเลยหักเงินรายได้โรงเรียนของโจทก์ชำระหนี้เงินกู้นี้แต่จำเลยได้นำสัญญากู้รายเดียวกันนี้ไปฟ้อง ม. จนศาลพิพากษาถึงที่สุดให้ม. ชำระหนี้เงินกู้แก่จำเลยโจทก์จึงฟ้องเรียกเงินของโจทก์ที่จำเลยได้หักชำระหนี้รายเดียวกันนี้คืนฐานลาภมิควรได้ดังนี้ ต้องถือว่าสิทธิของโจทก์ที่ฟ้องเรียกลาภมิควรได้นี้เกิดขึ้นต่อเมื่อคดีที่จำเลยฟ้อง ม. ถึงที่สุดเสียก่อนและก่อนคดีดังกล่าวถึงที่สุดจะถือว่าโจทก์ได้รู้ถึงสิทธิที่จะเรียกเงินคืนตามมูลฐานดังกล่าวมิได้ เมื่อนับจากวันที่โจทก์ได้ทราบเรื่องซึ่งเป็นเวลาภายหลังได้อ่านคำพิพากษาศาลฎีกาคดีดังกล่าวมาจนถึงวันที่โจทก์ฟ้องยังอยู่ภายในระยะเวลา 1 ปี คดีโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 688/2512 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องซ้ำ-อายุความลาภมิควรได้: สิทธิเกิดเมื่อคดีถึงที่สุด, นับอายุความจากวันที่ทราบผล
คดีก่อน จำเลยฟ้อง ม. ให้ชำระหนี้เงินกู้ ซึ่ง ม. ได้กู้จากจำเลยไปแทนโจทก์ ซึ่งศาลได้พิพากษาถึงที่สุดให้ ม. แพ้คดี โดยเหตุที่ไม่สามารถพิสูจน์หลักฐานการชำระเงินได้ แต่คดีนี้โจทก์ฟ้องจำเลยเรียกเงินที่จำเลยได้หักเงินรายได้โรงเรียนของโจทก์ตามหนี้เงินกู้รายเดียวกันนี้ไว้คืนฐานลาภมิควรได้ โดยเหตุที่จำเลยกลับนำสัญญากู้รายเดียวกันนี้ไปฟ้อง ม. จนศาลพิพากษาถึงที่สุดให้ชำระหนี้เงินกู้รายเดียวกันนี้แก่จำเลย ดังนี้ ประเด็นในคดีนี้จึงเป็นคนละประเด็นกับคดีก่อน ไม่เป็นฟ้องซ้ำ
โจทก์จำเลยตกลงกู้ยืมเงินกัน โดยโจทก์ให้ ม. ทำสัญญากู้ไว้แทนโจทก์ โดยมีข้อตกลงให้จำเลยหักเงินรายได้โรงเรียนของโจทก์ชำระหนี้เงินกู้นี้ แต่จำเลยได้นำสัญญากู้รายเดียวกันนี้ไปฟ้อง ม. จนศาลพิพากษาถึงที่สุดให้ ม. ชำระหนี้เงินกู้แก่จำเลย โจทก์จึงฟ้องเรียกเงินของโจทก์ที่จำเลยได้หักชำระหนี้รายเดียวกันนี้คืนฐานลาภมิควรได้ ดังนี้ ต้องถือว่าสิทธิของโจทก์ที่ฟ้องเรียกลาภมิควรได้นี้เกิดขึ้นต่อเมื่อคดีที่จำเลยฟ้อง ม. ถึงที่สุดเสียก่อน และก่อนคดีดังกล่าวถึงที่สุด จะถือว่าโจทก์ได้รู้ถึงสิทธิที่จะเรียกเงินคืนตามมูลฐานดังกล่าวมิได้ เมื่อนับจากวันที่โจทก์ได้ทราบเรื่องซึ่งเป็นเวลาภายหลังได้อ่านคำพิพากษาศาลฎีกาคดีดังกล่าวมาจนถึงวันที่โจทก์ฟ้อง ยังอยู่ภายในระยะเวลา 1 ปี คดีโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 535/2512

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คำพิพากษาไม่ใช่คำบังคับ การวางเงินตามคำพิพากษาจึงไม่ถือเป็นการไม่ปฏิบัติตามคำบังคับ
เมื่อศาลได้พิพากษาอย่างใด ซึ่งจะต้องมีการบังคับคดีชอบที่ศาลจะต้องมีคำบังคับกำหนดวิธีที่จะปฏิบัติตามคำบังคับนั้นไว้. และให้ลูกหนี้ตามคำพิพากษาลงลายมือชื่อรับทราบคำบังคับไว้เป็นสำคัญ. เพียงแต่ศาลอ่านคำพิพากษาให้คู่ความฟัง และให้คู่ความลงลายมือชื่อไว้เป็นสำคัญ ยังถือไม่ได้ว่าได้มีการออกคำบังคับแล้ว.
ศาลพิพากษาให้จำเลยโอนที่ดินที่ซื้อขายให้โจทก์. แต่อยู่ในเงื่อนไขที่ว่า โจทก์ต้องวางเงินค่าที่ดินที่ยังไม่ชำระต่อศาล เพื่อให้จำเลยรับไปเสียก่อนภายใน 1 เดือนนับแต่วันพิพากษา. เมื่อยังไม่มีการออกคำบังคับ. แม้โจทก์จะไม่นำเงินมาวางศาลภายในเวลาที่ระบุในคำพิพากษา. ก็ไม่เป็นการไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษา. และไม่เป็นการสละสิทธิในที่ดินที่ศาลพิพากษาให้จำเลยโอน.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 535/2512 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การบังคับคดีตามคำพิพากษา: จำเป็นต้องมีคำบังคับที่ชัดเจนก่อน จึงจะถือเป็นการไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษาได้
เมื่อศาลได้พิพากษาอย่างใด ซึ่งจะต้องมีการบังคับคดีชอบที่ศาลจะต้องมีคำบังคับกำหนดวิธีที่จะปฏิบัติตามคำบังคับนั้นไว้และให้ลูกหนี้ตามคำพิพากษาลงลายมือชื่อรับทราบคำบังคับไว้เป็นสำคัญเพียงแต่ศาลอ่านคำพิพากษาให้คู่ความฟัง และให้คู่ความลงลายมือชื่อไว้เป็นสำคัญ ยังถือไม่ได้ว่าได้มีการออกคำบังคับแล้ว
ศาลพิพากษาให้จำเลยโอนที่ดินที่ซื้อขายให้โจทก์แต่อยู่ในเงื่อนไขที่ว่า โจทก์ต้องวางเงินค่าที่ดินที่ยังไม่ชำระต่อศาล เพื่อให้จำเลยรับไปเสียก่อนภายใน 1 เดือน นับแต่วันพิพากษาเมื่อยังไม่มีการออกคำบังคับแม้โจทก์จะไม่นำเงินมาวางศาลภายในเวลาที่ระบุในคำพิพากษา ก็ไม่เป็นการไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษาและไม่เป็นการสละสิทธิในที่ดินที่ศาลพิพากษาให้จำเลยโอน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 535/2512 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คำพิพากษาไม่ใช่คำบังคับ การวางเงินตามคำพิพากษาไม่ใช่การปฏิบัติตามคำบังคับ
เมื่อศาลได้พิพากษาอย่างใด ซึ่งจะต้องมีการบังคับคดี ชอบที่ศาลจะต้องมีคำบังคับกำหนดวิธีที่จะปฏิบัติตามคำบังคับนั้นไว้ และให้ลูกหนี้ตามคำพิพากษาลงลายมือชื่อรับทราบคำบังคับไว้เป็นสำคัญ เพียงแต่ศาลอ่านคำพิพากษาให้คู่ความฟัง และให้คู่ความลงลายมือชื่อไว้เป็นสำคัญ ยังถือไม่ได้ว่าได้มีการออกคำบังคับแล้ว
ศาลพิพากษาให้จำเลยโอนที่ดินที่ซื้อขายให้โจทก์ แต่อยู่ในเงื่อนไขที่ว่า โจทก์ต้องวางเงินค่าที่ดินที่ยังไม่ชำระต่อศาล เพื่อให้จำเลยรับไปเสียก่อนภายใน 1 เดือน นับแต่วันพิพากษา เมื่อยังไม่มีการออกคำบังคับ แม้โจทก์จะไม่นำเงินมาวางศาลภายในเวลาที่ระบุในคำพิพากษา ก็ไม่เป็นการไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษา และไม่เป็นการสละสิทธิในที่ดินที่ศาลพิพากษาให้จำเลยโอน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 455/2512 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิเจ้าหนี้บังคับคดีเอากับกองมรดกของผู้ตายจากการซื้อขายที่ดินตามสัญญาประนีประนอมยอมความ
หน้าที่โอนขายที่ดินตามสัญญาประนีประนอมยอมความและคำพิพากษาตามยอมนั้น ทั้งตามกฎหมาย และโดยสภาพไม่ใช่เป็นการเฉพาะตัวของผู้ตายโดยแท้ จึงเป็นมรดกของผู้ตาย ผู้ซื้อในฐานะเจ้าหนี้กองมรดกย่อมมีสิทธิขอให้บังคับดีเอาที่ดินของผู้ตายโอนชำระหนี้ ให้แก่ตนได้ตามคำพิพากษา
ที่ดินมรดกของผู้ตายเป็นทรัพย์ซึ่งจะต้องโอนขายตามคำพิพากษาอยู่ก่อนแล้ว ศาลย่อมมีอำนาจดำเนินการบังคับดีให้เป็นไปตามคำพิพากษาได้จนเสร็จการ แม้โจทก์จะได้รับมรดกที่ดินมาตามพินัยกรรม และจดทะเบียนรับโอนแล้ว แต่ที่ดินดังกล่าวก็เป็นมรดกที่ยังอยู่ในระหว่างการจัดการตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1736 เพราะผู้ซื้อเป็นเจ้าหนี้กองมรดกซึ่งปรากฏตัวยังไม่ได้รับชำระหนี้ ผู้ซื้อจึงมีสิทธิดำเนินการบังคับคดีตามคำพิพากษาตามยอมเอาจากกองมรดกของผู้ตายได้โดยตรง ไม่จำต้องร้องฟ้องโจทก์เป็นคดีใหม่
การที่ผู้ซื้อขอให้ศาลดำเนินการบังคับคดีตามคำพิพากษาเอาจากกองมรดก มิใช่เป็นกรณีฟ้องร้องคดีมรดกซึ่งมีอายุความ 1 ปี แต่เป็นการดำเนินการบังคับคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 271 ซึ่งมีสิทธิทำได้ภายในกำหนด 10 ปี (ปัญหาข้อสุดท้ายนี้ วินิจฉัยโดยที่ประชุมใหญ่ครั้งที่ 3/2512)
of 18