พบผลลัพธ์ทั้งหมด 171 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 245/2512 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การสีข้าวเพื่อช่วยเหลือชาวบ้านถือเป็นการค้าข้าว ต้องขออนุญาตตามกฎหมาย
พระราชบัญญัติการค้าข้าว (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2489 มาตรา 3กล่าวถึงการค้าข้าวไว้ว่าหมายถึงการซื้อขายแลกเปลี่ยนหรือโอนกรรมสิทธิ์ข้าว รวมตลอดถึงการสีข้าว ทั้งนี้ นอกจากสำหรับบริโภคในครอบครัว ฉะนั้นการที่จำเลยรับจ้างชาวบ้านสีข้าว แม้จะเอาค่าจ้างเพียงเล็กน้อย โดยมีเจตนาเพื่อช่วยเหลือชาวบ้านให้มีข้าวสารบริโภคก็ดี ก็ได้ชื่อว่าเป็นการค้าข้าวตามความหมายของพระราชบัญญัติการค้าข้าวแล้ว จำเลยจึงต้องได้รับอนุญาตจากคณะกรรมการตามพระราชบัญญัติการค้าข้าว (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2489 เสียก่อน จึงจะทำการสีข้าวได้ การที่จำเลยรับจ้างชาวบ้านสีข้าวโดยมิได้รับอนุญาตจึงเป็นความผิด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 208/2512 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องคดีอาญาฐานปลอมแปลงพินัยกรรม: ผู้เสียหายต้องเป็นผู้มีสิทธิรับมรดก
โจทก์เป็นน้องชายเจ้ามรดก โจทก์ย่อมเป็นทายาทโดยธรรมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1629 แต่โจทก์ไม่มีสิทธิรับมรดกในเมื่อยังมีทายาทโดยธรรมในลำดับก่อนตนยังมีชีวิตอยู่ตาม มาตรา 1630 และทั้งนี้ต้องต่อเมื่อเจ้ามรดกมิได้ทำพินัยกรรมยกทรัพย์มรดกให้โจทก์
โจทก์ที่ 3 เป็นบุตรเจ้ามรดก และโจทก์ที่ 1, 2เป็นน้องชายเจ้ามรดกซึ่งมิได้ทำพินัยกรรมไว้ การที่จำเลยสมคบกันปลอมพินัยกรรมขึ้นว่าเจ้ามรดกยกทรัพย์ให้จำเลยที่4 ผู้เดียว ย่อมทำให้โจทก์ที่ 3 เสียหาย แต่ไม่ทำให้โจทก์ที่ 1, 2 ผู้เป็นน้องชายเจ้ามรดกเสียหายด้วยเพราะจำเลยจะปลอมหรือไม่ปลอม โจทก์ที่ 1, 2 ก็ไม่มีสิทธิรับมรดกอยู่แล้ว และฟ้องมิได้บรรยายว่าเจ้ามรดกตั้งใจทำพินัยกรรมยกทรัพย์ให้โจทก์ที่ 1, 2 ด้วยแล้วจำเลยปลอมพินัยกรรมขึ้นเป็นอย่างอื่น โจทก์ที่ 1, 2 จึงมิใช่ผู้เสียหายที่จะฟ้องคดีอาญาฐานปลอมพินัยกรรม ตลอดถึงข้อหาฐานเบิกความเท็จเรื่องพินัยกรรมปลอมนี้ได้
โจทก์ที่ 3 เป็นบุตรเจ้ามรดก และโจทก์ที่ 1, 2เป็นน้องชายเจ้ามรดกซึ่งมิได้ทำพินัยกรรมไว้ การที่จำเลยสมคบกันปลอมพินัยกรรมขึ้นว่าเจ้ามรดกยกทรัพย์ให้จำเลยที่4 ผู้เดียว ย่อมทำให้โจทก์ที่ 3 เสียหาย แต่ไม่ทำให้โจทก์ที่ 1, 2 ผู้เป็นน้องชายเจ้ามรดกเสียหายด้วยเพราะจำเลยจะปลอมหรือไม่ปลอม โจทก์ที่ 1, 2 ก็ไม่มีสิทธิรับมรดกอยู่แล้ว และฟ้องมิได้บรรยายว่าเจ้ามรดกตั้งใจทำพินัยกรรมยกทรัพย์ให้โจทก์ที่ 1, 2 ด้วยแล้วจำเลยปลอมพินัยกรรมขึ้นเป็นอย่างอื่น โจทก์ที่ 1, 2 จึงมิใช่ผู้เสียหายที่จะฟ้องคดีอาญาฐานปลอมพินัยกรรม ตลอดถึงข้อหาฐานเบิกความเท็จเรื่องพินัยกรรมปลอมนี้ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 208/2512 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิทายาทโดยธรรมและผู้เสียหายในคดีปลอมแปลงพินัยกรรม การพิสูจน์ความเสียหายที่แท้จริง
โจทก์เป็นน้องชายเจ้ามรดก โจทก์ย่อมเป็นทายาทโดยธรรมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1629 แต่โจทก์ไม่มีสิทธิรับมรดกในเมื่อยังมีทายาทโดยธรรมในลำดับก่อนตนยังมีชีวิตอยู่ตาม มาตรา 1630และทั้งนี้ต้องต่อเมื่อเจ้ามรดกมิได้ทำพินัยกรรมยกทรัพย์มรดกให้โจทก์
โจทก์ที่ 3 เป็นบุตรเจ้ามรดกและโจทก์ที่ 1,2 เป็นน้องชายเจ้ามรดกซึ่งมิได้ทำพินัยกรรมไว้ การที่จำเลยสมคบกันปลอมพินัยกรรมขึ้นว่าเจ้ามรดกยกทรัพย์ให้จำเลยที่ 4 ผู้เดียว ย่อมทำให้โจทก์ที่ 3 เสียหายแต่ไม่ทำให้โจทก์ที่ 1,2 ผู้เป็นน้องชายเจ้ามรดกเสียหายด้วยเพราะจำเลยจะปลอมหรือไม่ปลอม โจทก์ที่ 1,2 ก็ไม่มีสิทธิรับมรดกอยู่แล้ว และฟ้องมิได้บรรยายว่าเจ้ามรดกตั้งใจทำพินัยกรรมยกทรัพย์ให้โจทก์ที่ 1,2 ด้วยแล้วจำเลยปลอมพินัยกรรมขึ้นเป็นอย่างอื่น โจทก์ที่ 1,2 จึงมิใช่ผู้เสียหายที่จะฟ้องคดีอาญาฐานปลอมพินัยกรรม ตลอดถึงข้อหาฐานเบิกความเท็จเรื่องพินัยกรรมปลอมนี้ได้
โจทก์ที่ 3 เป็นบุตรเจ้ามรดกและโจทก์ที่ 1,2 เป็นน้องชายเจ้ามรดกซึ่งมิได้ทำพินัยกรรมไว้ การที่จำเลยสมคบกันปลอมพินัยกรรมขึ้นว่าเจ้ามรดกยกทรัพย์ให้จำเลยที่ 4 ผู้เดียว ย่อมทำให้โจทก์ที่ 3 เสียหายแต่ไม่ทำให้โจทก์ที่ 1,2 ผู้เป็นน้องชายเจ้ามรดกเสียหายด้วยเพราะจำเลยจะปลอมหรือไม่ปลอม โจทก์ที่ 1,2 ก็ไม่มีสิทธิรับมรดกอยู่แล้ว และฟ้องมิได้บรรยายว่าเจ้ามรดกตั้งใจทำพินัยกรรมยกทรัพย์ให้โจทก์ที่ 1,2 ด้วยแล้วจำเลยปลอมพินัยกรรมขึ้นเป็นอย่างอื่น โจทก์ที่ 1,2 จึงมิใช่ผู้เสียหายที่จะฟ้องคดีอาญาฐานปลอมพินัยกรรม ตลอดถึงข้อหาฐานเบิกความเท็จเรื่องพินัยกรรมปลอมนี้ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 181/2512
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิผู้ซื้อที่ดินก่อนเจ้าหนี้ผู้ขาย: แม้ยังมิได้จดทะเบียน ผู้ซื้อมีสิทธิเหนือเจ้าหนี้
ผู้ซื้อได้ชำระราคาที่ดินที่ซื้อขายให้แก่ผู้ขายเรียบร้อยแล้ว. และได้ฟ้องผู้ขายจนศาลพิพากษาให้ผู้ขายโอนที่ดินให้แก่ผู้ซื้อ คดีถึงที่สุดไปแล้ว. ผู้ซื้อย่อมอยู่ในฐานะที่จะจดทะเบียนสิทธิของตนได้ก่อน แม้จะยังมิได้จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์. เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาของผู้ขายซึ่งฟ้องคดีภายหลัง หามีสิทธิบังคับคดีเกี่ยวกับที่ดินดังกล่าวให้เป็นการกระทบกระทั่งถึงสิทธิของผู้ซื้อไม่. (อ้างฎีกาที่ 737/2511)
การที่เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาของผู้ขายนำยึดที่ดินที่ผู้ขายจะต้องโอนให้แก่ผู้ซื้อตามคำพิพากษาไว้เพื่อบังคับคดีนั้น.ไม่เป็นเหตุขัดข้องที่จะโอนที่ดินนั้นแก่ผู้ซื้อ.
การที่เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาของผู้ขายนำยึดที่ดินที่ผู้ขายจะต้องโอนให้แก่ผู้ซื้อตามคำพิพากษาไว้เพื่อบังคับคดีนั้น.ไม่เป็นเหตุขัดข้องที่จะโอนที่ดินนั้นแก่ผู้ซื้อ.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 181/2512 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิผู้ซื้อที่ดินก่อนเจ้าหนี้ผู้ขาย: การบังคับคดีกระทบสิทธิผู้ซื้อไม่ได้
ผู้ซื้อได้ชำระราคาที่ดินที่ซื้อขายให้แก่ผู้ขายเรียบร้อยแล้ว และได้ฟ้องผู้ขายจนศาลพิพากษาให้ผู้ขายโอนที่ดินให้แก่ผู้ซื้อ คดีถึงที่สุดไปแล้วผู้ซื้อย่อมอยู่ในฐานะที่จะจดทะเบียนสิทธิของตนได้ก่อน แม้จะยังมิได้จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาของผู้ขายซึ่งฟ้องคดีภายหลัง หามีสิทธิบังคับคดีเกี่ยวกับที่ดินดังกล่าวให้เป็นการกระทบกระทั่งถึงสิทธิของผู้ซื้อไม่
(อ้างฎีกาที่ 737/2511)
การที่เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาของผู้ขายนำยึดที่ดินที่ผู้ขายจะต้องโอนให้แก่ผู้ซื้อตามคำพิพากษาไว้เพื่อบังคับคดีนั้นไม่เป็นเหตุขัดข้องที่จะโอนที่ดินนั้นแก่ผู้ซื้อ
(อ้างฎีกาที่ 737/2511)
การที่เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาของผู้ขายนำยึดที่ดินที่ผู้ขายจะต้องโอนให้แก่ผู้ซื้อตามคำพิพากษาไว้เพื่อบังคับคดีนั้นไม่เป็นเหตุขัดข้องที่จะโอนที่ดินนั้นแก่ผู้ซื้อ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 181/2512 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิผู้ซื้อที่ดินก่อนเจ้าหนี้ผู้ขาย: แม้ยังมิได้จดทะเบียน ผู้ซื้อมีสิทธิเหนือเจ้าหนี้
ผู้ซื้อได้ชำระราคาที่ดินที่ซื้อขายให้แก่ผู้ขายเรียบร้อยแล้ว และได้ฟ้องผู้ขายจนศาลพิพากษาให้ผู้ขายโอนที่ดินให้แก่ผู้ซื้อ คดีถึงที่สุดไปแล้ว ผู้ซื้อย่อมอยู่ในฐานะที่จะจดทะเบียนสิทธิของตนได้ก่อน แม้จะยังมิได้จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาของผู้ขายซึ่งฟ้องคดีภายหลัง หามีสิทธิบังคับคดีเกี่ยวกับที่ดินดังกล่าวให้เป็นการกระทบกระทั่งถึงสิทธิของผู้ซื้อไม่
(อ้างฎีกาที่ 737/2511)
การที่เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาของผู้ขายนำยึดที่ดินที่ผู้ขายจะต้องโอนให้แก่ผู้ซื้อตามคำพิพากษาไว้เพื่อบังคับคดีนั้นไม่เป็นเหตุขัดข้องที่จะโอนที่ดินนั้นแก่ผู้ซื้อ
(อ้างฎีกาที่ 737/2511)
การที่เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาของผู้ขายนำยึดที่ดินที่ผู้ขายจะต้องโอนให้แก่ผู้ซื้อตามคำพิพากษาไว้เพื่อบังคับคดีนั้นไม่เป็นเหตุขัดข้องที่จะโอนที่ดินนั้นแก่ผู้ซื้อ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 164/2512 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาออกเช็คโดยไม่มีเจตนาให้ใช้เงิน แม้ผู้รับเช็คไม่ตรงตามฟ้อง ไม่เป็นเหตุยกฟ้อง
ฟ้องว่าจำเลยออกเช็คสั่งจ่ายให้แก่บุคคลตามที่ระบุในฟ้องโดยเจตนาจะไม่ให้มีการจ่ายเงินตามเช็คขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คแต่ทางพิจารณาปรากฏว่าจำเลยออกเช็คจ่ายให้แก่บุคคลอื่นนอกจากที่ระบุมาในฟ้องดังนี้ ความต่างกันดังกล่าวไม่ใช่ข้อสารสำคัญอันจะถือเป็นเหตุยกฟ้อง
จำเลยออกเช็คให้บุคคลหนึ่งเอาไปหมุนหาเงินจากคนอื่นจำเลยจึงต้องรับผิดต่อผู้ทรงเช็คนั้นเมื่อผู้ทรงเช็คเอาไปขั้นเงินและธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินจำเลยก็ต้องมีความผิด
จำเลยออกเช็คให้บุคคลหนึ่งเอาไปหมุนหาเงินจากคนอื่นจำเลยจึงต้องรับผิดต่อผู้ทรงเช็คนั้นเมื่อผู้ทรงเช็คเอาไปขั้นเงินและธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินจำเลยก็ต้องมีความผิด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 164/2512 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาออกเช็คที่ไม่สามารถใช้ได้ ถือเป็นความผิดตาม พ.ร.บ. เช็ค แม้ผู้รับเช็คไม่ตรงตามฟ้อง
ฟ้องว่าจำเลยออกเช็คสั่งจ่ายให้แก่บุคคลตามที่ระบุในฟ้อง โดยเจตนาจะไม่ให้มีการจ่ายเงินตามเช็ค ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คแต่ทางพิจารณาปรากฏว่าจำเลยออกเช็คจ่ายให้แก่บุคคลอื่นนอกจากที่ระบุมาในฟ้อง ดังนี้ ความต่างกันดังกล่าวไม่ใช่ข้อสารสำคัญอันจะถือเป็นเหตุยกฟ้อง
จำเลยออกเช็คให้ผู้มีชื่อคนหนึ่ง ช. เอาไปหมุนหาเงินจากคนอื่นจำเลยจึงต้องรับผิดต่อผู้ทรงเช็คนั้น เมื่อผู้ทรงเช็คเอาไปขั้นเงิน และธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน จำเลยก็ต้องมีความผิด.
จำเลยออกเช็คให้ผู้มีชื่อคนหนึ่ง ช. เอาไปหมุนหาเงินจากคนอื่นจำเลยจึงต้องรับผิดต่อผู้ทรงเช็คนั้น เมื่อผู้ทรงเช็คเอาไปขั้นเงิน และธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน จำเลยก็ต้องมีความผิด.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 164/2512
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาออกเช็คที่ไม่สามารถใช้เงินได้ ถือเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.เช็ค แม้ผู้รับเช็คจะแตกต่างจากที่ฟ้อง
ฟ้องว่าจำเลยออกเช็คสั่งจ่ายให้แก่บุคคลตามที่ระบุในฟ้องโดยเจตนาจะไม่ให้มีการจ่ายเงินตามเช็ค. ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค.แต่ทางพิจารณาปรากฏว่าจำเลยออกเช็คจ่ายให้แก่บุคคลอื่นนอกจากที่ระบุมาในฟ้อง. ดังนี้ ความต่างกันดังกล่าวไม่ใช่ข้อสารสำคัญอันจะถือเป็นเหตุยกฟ้อง.
จำเลยออกเช็คให้บุคคลหนึ่งเอาไปหมุนหาเงินจากคนอื่น.จำเลยจึงต้องรับผิดต่อผู้ทรงเช็คนั้น. เมื่อผู้ทรงเช็คเอาไปขั้นเงินและธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินจำเลยก็ต้องมีความผิด.
จำเลยออกเช็คให้บุคคลหนึ่งเอาไปหมุนหาเงินจากคนอื่น.จำเลยจึงต้องรับผิดต่อผู้ทรงเช็คนั้น. เมื่อผู้ทรงเช็คเอาไปขั้นเงินและธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินจำเลยก็ต้องมีความผิด.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 99/2512
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การจับกุมและการป้องกันตัว: อำนาจการค้นและการใช้กำลังเกินขอบเขต
ร้อยตำรวจตรี มีตำแหน่งเป็นผู้บังคับหมวดสถานีตำรวจภูธรอำเภอแห่งท้องที่นั้น แต่มิได้รักษาการณ์แทนผู้บังคับกอง.จึงไม่มีฐานะเป็นนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่. ไม่มีอำนาจออกหมายค้นได้. จึงไม่อาจค้น. หรือสั่งให้จำเลยค้นได้โดยลำพังตนเอง. การที่จำเลยขึ้นและเข้าไปจับกุมผู้กระทำผิดบนบ้านเรือนที่ในห้องนอนของผู้กระทำผิด. แม้จะมีหมายจับแต่ไม่มีหมายค้นนั้น. เป็นการไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 81,92. เป็นการกระทำโดยไม่มีอำนาจย่อมไม่อาจอ้างได้ว่าเป็นการกระทำโดยชอบด้วยกฎหมาย. อันจะทำให้เกิดสิทธิป้องกันตัวได้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 68.