พบผลลัพธ์ทั้งหมด 25 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 323/2510
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การอนุญาตให้เข้าเป็นโจทก์ร่วมโดยปริยาย: พฤติการณ์ที่แสดงเจตนาของศาลและคู่ความ
บิดาผู้เสียหายยื่นคำร้องขอเข้าเป็นโจทก์ร่วมกับพนักงานอัยการโจทก์ ศาลสั่งคำร้องว่า 'สำเนาให้โจทก์จำเลย สั่งในรายงาน' โจทก์จำเลย ได้รับสำเนาคำร้องแล้วไม่คัดค้านประการใด ผู้ร้องจึงดำเนินกระบวนพิจารณา ในการสืบพยานและอื่น ๆ ตลอดมาพฤติการณ์เช่นนี้ถือได้ว่าศาลอนุญาตให้ผู้ร้องเป็นโจทก์ร่วมแล้ว (ประชุมใหญ่ครั้งที่ 7/2510)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 289/2510 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาซื้อขายและสัญญาโอนคืนที่ดิน: สัญญาต่างตอบแทน แม้มิได้จดทะเบียนก็ใช้บังคับได้
จำเลยประสงค์จะได้ที่ดินเพื่อตั้งโรงเลื่อยจักร จึงให้โจทก์โอนที่ดินให้เป็นของจำเลยในเมื่อยังดำเนินกิจการอยู่ และในคราวเดียวกัน โจทก์ประสงค์จะได้คืนที่ดินนั้นมา เมื่อจำเลยเลิกกิจการแล้ว การทำสัญญาโอนทำเป็นการซื้อขาย มูลค่า 4,000 บาทและจดทะเบียน ส่วนสัญญาเรื่องโอนคืนทำเป็นหนังสือไม่ได้จดทะเบียน ซึ่งจำเลยยอมสัญญาตอบแทนว่า ถ้าจำเลยเลิกกิจการ จำเลยจะโอนคืนโดยไม่คิดมูลค่า ข้อตกลงนี้มิใช่การให้ตามกฎหมายลักษณะให้ แต่เป็นการปฏิบัติตอบแทนแก่อีกฝ่ายหนึ่งจากผลที่ได้รับ จึงเป็นสัญญาต่างตอบแทน แม้มิได้ทำเป็นหนังสือหรือจดทะเบียน ก็ย่อมใช้บังคับแก่กันได้ จำเลยต้องโอนที่พิพาทให้โจทก์ตามสัญญา
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 289/2510
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาซื้อขาย-โอนคืนที่ดิน: สัญญาต่างตอบแทน แม้มิได้จดทะเบียนก็ใช้บังคับได้
จำเลยประสงค์จะได้ที่ดินเพื่อตั้งโรงเลื่อยจักร จึงให้โจทก์โอนที่ดินให้เป็นของจำเลยในเมื่อยังดำเนินกิจการอยู่ และในคราวเดียวกัน โจทก์ประสงค์จะได้คืนที่ดินนั้นมา เมื่อจำเลยเลิกกิจการแล้ว การทำสัญญาโอนทำเป็นการซื้อขาย มูลค่า 4,000 บาท และจดทะเบียน ส่วนสัญญาเรื่องโอนคืนทำเป็นหนังสือไม่ได้จดทะเบียน ซึ่งจำเลยยอมสัญญาตอบแทนว่าถ้าจำเลยเลิกกิจการ จำเลยจะโอนคืนโดยไม่คิดมูลค่า ข้อตกลงนี้มิใช่การให้ตามกฎหมายลักษณะให้แต่เป็นการปฏิบัติตอบแทนแก่อีกฝ่ายหนึ่งจากผลที่ได้รับ จึงเป็นสัญญาต่างตอบแทนแม้มิได้ทำเป็นหนังสือหรือจดทะเบียนก็ย่อมใช้บังคับแก่กันได้ จำเลย ต้องโอนที่พิพาทให้โจทก์ตามสัญญา
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 262/2510 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การลดโทษจำเลยที่ให้การรับสารภาพเพื่อหวังผลประโยชน์อื่น และกลับให้การต่อสู้คดีภายหลัง
ในกรณีที่จำเลยเข้ามอบตัวต่อเจ้าพนักงานและให้การรับสารภาพแต่ด้วยความมุ่งหมายที่จะให้เจ้าพนักงานกันจำเลยไว้เป็นพยาน ครั้นการไม่เป็นไปตามความประสงค์เมื่อคดีมาสู่ศาล จำเลยก็กลับให้การต่อสู้คดีตลอดมา เช่นนี้ แม้คำให้การชั้นสอบสวนของจำเลยจะเป็นประโยชน์ก็สมควรลดโทษให้จำเลยหนึ่งในสามเท่านั้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 262/2510
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การลดโทษจำเลยที่ให้การรับสารภาพแต่มีเจตนาอื่น ศาลพิจารณาจากพฤติการณ์และคำให้การที่เป็นประโยชน์
ในกรณีที่จำเลยเข้ามอบตัวต่อเจ้าพนักงานและให้การรับสารภาพแต่ด้วยความมุ่งหมายที่จะให้เจ้าพนักงานกันจำเลยไว้เป็นพยานครั้นการไม่เป็นไปตามความประสงค์เมื่อคดีมาสู่ศาลจำเลยก็กลับให้การต่อสู้คดีตลอดมา เช่นนี้แม้คำให้การชั้นสอบสวนของจำเลยจะเป็นประโยชน์ก็สมควรลดโทษให้จำเลยหนึ่งในสามเท่านั้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 230/2510
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เหตุสุดวิสัยในการยื่นอุทธรณ์คดีอาญา: การป่วยและการเดินทาง
การยื่นคำขอให้ขยายเวลายื่นอุทธรณ์คดีอาญาภายหลัง ล่วงเลยกำหนด 15 วัน แล้วจะต้องเข้าหลักเกณฑ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 และประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 23
การที่โจทก์มีบ้านพักอยู่ห่างศาล 38 กิโลเมตรป่วยเป็นหวัด และพยาธิตัวตืดมีอาการปวดศีรษะ อ่อนเพลีย ปวดท้อง เมื่อโจทก์ มาในเมืองขอให้แพทย์ตรวจร่างกายได้ก็น่าจะมาศาลเพื่อยื่นอุทธรณ์ได้ จึงไม่แสดงว่ามีเหตุสุดวิสัยแต่ประการใด
การที่โจทก์มีบ้านพักอยู่ห่างศาล 38 กิโลเมตรป่วยเป็นหวัด และพยาธิตัวตืดมีอาการปวดศีรษะ อ่อนเพลีย ปวดท้อง เมื่อโจทก์ มาในเมืองขอให้แพทย์ตรวจร่างกายได้ก็น่าจะมาศาลเพื่อยื่นอุทธรณ์ได้ จึงไม่แสดงว่ามีเหตุสุดวิสัยแต่ประการใด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 230/2510 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การยื่นอุทธรณ์คดีอาญา เกินกำหนด 15 วัน ต้องมีเหตุสุดวิสัยตามกฎหมาย
การยื่นคำขอให้ขยายเวลายื่นอุทธรณ์คดีอาญาภายหลังล่วงเลยกำหนด 15 วันแล้ว จะต้องเข้าหลักเกณฑ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 และประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 23
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 190/2510
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การนำสืบพยานเพื่อแสดงมูลหนี้และการหักหนี้ที่ถูกต้องตามกฎหมาย
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทำสัญญากู้เงินโจทก์ 2,500 บาท จำเลยรับว่าทำสัญญากู้จริง เนื่องจากโจทก์ตกลงจ้างเหมาจำเลยเจาะน้ำบาดาลเป็นเงิน 3,300 บาท จำเลยจึงทำหนังสือกู้เงินโจทก์ 2,500 บาท เป็นเงินล่วงหน้าเพื่อซื้ออุปกรณ์ต่างๆ เมื่อจำเลยลงมือทำงานแล้วต่อมาจำเลยขอให้โจทก์ซื้อเครื่องสูบโยกอีกเป็นเงิน 1,500 บาท เมื่อรวมกับเงินที่จำเลยทำสัญญากู้จึงเป็น 4,000 บาทเงินรายนี้ เมื่อคิดหักกับค่าจ้าง 3,300 บาทแล้ว จำเลยยังคงรับผิดเพียง 700 บาท ดังนี้ จำเลยย่อมนำสืบพยานบุคคลได้ เพราะการนำสืบ ของจำเลยเป็นการนำสืบเพื่อแสดงว่าจำเลยเป็นหนี้โจทก์โดยเหตุใด อันเป็นการนำสืบถึงมูลหนี้ ไม่ได้เป็นการนำสืบแสดงว่าไม่ได้เป็นหนี้ และเป็นการนำสืบถึงว่าโจทก์ก็เป็นหนี้จำเลยในเรื่องโจทก์จ้างจำเลย เจาะน้ำบาดาล 3,300 บาท เมื่อได้หักหนี้กันแล้ว จำเลยยังคงเป็น หนี้โจทก์อยู่เพียง 700 บาท มิใช่เป็นการนำสืบแก้ไขเปลี่ยนแปลงเอกสารแต่เป็นการนำสืบเพื่อแสดงว่าโจทก์จำเลยเป็นหนี้ต่อกันอย่างไร ได้มีการหักหนี้กันแล้วอย่างไร จำเลยยังคงเป็นหนี้โจทก์อยู่อีกเท่าใด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 190/2510 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การนำสืบพยานเพื่อแสดงมูลหนี้และการหักหนี้: จำเลยมีสิทธิแสดงข้อเท็จจริงเพื่อพิสูจน์ข้ออ้างในการหักหนี้ได้
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทำสัญญากู้เงินโจทก์ 2,500 บาท จำเลยรับว่าทำสัญญากู้จริง เนื่องจากโจทก์ตกลงจ้างเหมาจำเลยเจาะน้ำบาดาลเป็นเงิน 3,300 บาท จำเลยจึงทำหนังสือกู้จากโจทก์ 2,500 บาท เป็นเงินล่วงหน้าเพื่อซื้ออุปกรณ์ต่าง ๆ เมื่อจำเลยลงมือทำงานแล้ว ต่อมาจำเลยขอให้โจทก์ซื้อเครื่องสูบโยกอีกเป็นเงิน 1,500 บาท เมื่อรวมกับเงินที่จำเลยทำสัญญากู้จึงเป็น 4,000 บาท เงินรายนี้เมื่อคิดหักกับค่าจ้าง 3,300 บาทแล้ว จำเลยยังคงรับผิดเพียง 700 บาท ดังนี้ จำเลยย่อมนำสืบพยานบุคคลได้ เพราะการนำสืบของจำเลยเป็นการนำสืบเพื่อแสดงว่าจำเลยเป็นหนี้โจทก์โดยเหตุใด อันเป็นการนำสืบถึงมูลหนี้ ไม่ได้เป็นการนำสืบแสดงว่าไม่ได้เป็นหนี้ และเป็นการนำสืบถึงว่าโจทก์ก็เป็นหนี้จำเลยในเรื่องโจทก์จ้างจำเลยเจาะน้ำบาดาล 3,300 บาท เมื่อได้หักหนี้กันแล้ว จำเลยยังคงเป็นหนี้โจทก์อยู่เพียง 700 บาท มิใช่เป็นการนำสืบแก้ไขเปลี่ยนแปลงเอกสาร แต่เป็นการนำสืบเพื่อแสดงว่าโจทก์จำเลยเป็นหนี้ต่อกันอย่างไร ได้มีการหักหนี้กันแล้วอย่างไร จำเลยยังคงเป็นหนี้โจทก์อยู่อีกเท่าใด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 162/2510
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การจับกุมและการต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงาน: อำนาจการจับกุมและการป้องกันตัวตามกฎหมาย
ในคดีที่ข้อเท็จจริงมีเพียงว่า มีผู้แจ้งความ (ในข้อหาชิงทรัพย์)เมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 2508 ต่อมาวันที่ 14 สิงหาคม 2508 สายลับแจ้งว่าจำเลยกลับมานอนบ้านเจ้าพนักงานจึงไปจับจำเลยเข้าจับเวลา 5.40 นาฬิกา ไม่ปรากฏว่ามีการขออนุญาตพิเศษจากผู้ว่าราชการจังหวัดหรือไม่อาจขอได้ทันเพราะเหตุใด เช่นนี้คดีไม่พอจะฟังว่าเป็นการฉุกเฉินอย่างยิ่งฉะนั้น การที่เจ้าพนักงานจับจำเลยในที่รโหฐานในเวลากลางคืนจึงไม่มีอำนาจที่จะทำได้หากจำเลยต่อสู้จำเลยก็ไม่มีความผิดฐานต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงาน (ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 96(2))
จำเลยให้การว่า ได้ทำร้ายเจ้าพนักงานจริง แต่ต่อสู้ว่า สำคัญผิดว่าเป็นคนร้ายและได้ต่อสู้เช่นนี้มาตั้งแต่ชั้นสอบสวนเมื่อพิเคราะห์การกระทำของเจ้าพนักงานที่ขึ้นไปจับจำเลยบนเรือนในเวลากลางคืนขณะจำเลยยังนอนอยู่และทันทีที่รู้ตัวจำเลยก็ลุกขึ้นสู้เช่นนี้ น่าเชื่อว่าจำเลยไม่ทันเข้าใจว่าเป็นเจ้าพนักงาน และการกระทำของจำเลยเท่าที่ได้กระทำไปนั้น (มีดฟัน 1 ที) ก็พอสมควรแก่เหตุ จำเลยจึงไม่มีความผิด (ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 68)
จำเลยให้การว่า ได้ทำร้ายเจ้าพนักงานจริง แต่ต่อสู้ว่า สำคัญผิดว่าเป็นคนร้ายและได้ต่อสู้เช่นนี้มาตั้งแต่ชั้นสอบสวนเมื่อพิเคราะห์การกระทำของเจ้าพนักงานที่ขึ้นไปจับจำเลยบนเรือนในเวลากลางคืนขณะจำเลยยังนอนอยู่และทันทีที่รู้ตัวจำเลยก็ลุกขึ้นสู้เช่นนี้ น่าเชื่อว่าจำเลยไม่ทันเข้าใจว่าเป็นเจ้าพนักงาน และการกระทำของจำเลยเท่าที่ได้กระทำไปนั้น (มีดฟัน 1 ที) ก็พอสมควรแก่เหตุ จำเลยจึงไม่มีความผิด (ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 68)