คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
ป.วิ.พ. ม. 1 (5)

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 47 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1587/2542

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คำร้องขอพิจารณาใหม่ต้องมีข้อคัดค้านคำพิพากษาชัดเจน การแก้ไขเพิ่มเติมคำร้องต้องรอคำสั่งรับคำร้องเดิม
จำเลยระบุในคำร้องขอให้พิจารณาใหม่เพียงว่า หากจำเลยได้มีโอกาสยื่นคำให้การต่อสู้คดีแล้ว ย่อมทำให้ผลของคำพิพากษาเปลี่ยนแปลงไปเพราะความจริงแล้วจำเลยเป็นหนี้โจทก์ไม่ถึงจำนวนตามฟ้องของโจทก์ โดยจำเลยมิได้กล่าวโดยละเอียดชัดแจ้งซึ่งข้อคัดค้านคำตัดสินชี้ขาดของศาลชั้นต้นว่า คำพิพากษาของศาลชั้นต้นไม่ชอบหรือไม่ถูกต้องในส่วนใดอย่างไรทั้งไม่มีเหตุผลหรือหลักฐานอ้างอิงที่จะแสดงให้เห็นได้ชัดแจ้งว่าหากพิจารณาใหม่แล้วศาลอาจพิพากษาให้ผิดแผกแตกต่างจากที่ได้ พิพากษาไปแล้ว คำร้อง ของ จำเลยจึงไม่ต้องด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 208 วรรคสอง การที่จะขอแก้ไขเพิ่มเติมคำร้องขอให้พิจารณาใหม่ได้จะต้องให้ศาลมีคำสั่งรับคำร้องขอให้พิจารณาใหม่เสียก่อนเมื่อคำร้องขอให้พิจารณาใหม่ของจำเลยขาดองค์ประกอบสำคัญที่ศาลจะพึงรับไว้ได้และศาลชั้นต้นสั่งยกคำร้องแล้วกรณีจึงไม่จำต้องสั่งคำร้องขอแก้ไขเพิ่มเติมคำร้องอีกต่อไป

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1587/2542 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คำร้องขอพิจารณาใหม่ต้องแสดงเหตุผลชัดเจนและมีเหตุผลที่ศาลจะรับพิจารณาได้ หากขาดองค์ประกอบดังกล่าว ศาลไม่ต้องรับคำร้อง
จำเลยระบุในคำร้องขอให้พิจารณาใหม่เพียงว่า หากจำเลยได้มีโอกาสยื่นคำให้การต่อสู้คดีแล้ว ย่อมทำให้ผลของคำพิพากษาเปลี่ยนแปลงไปเพราะความจริงแล้วจำเลยเป็นหนี้โจทก์ไม่ถึงจำนวนตามฟ้องของโจทก์ โดยจำเลยมิได้กล่าวโดยละเอียดชัดแจ้งซึ่งข้อคัดค้านคำตัดสินชี้ขาดของศาลชั้นต้นว่าคำพิพากษาของศาลชั้นต้นไม่ชอบหรือไม่ถูกต้องในส่วนใดอย่างไร ทั้งไม่มีเหตุผลหรือหลักฐานอ้างอิงที่จะแสดงให้เห็นได้ชัดแจ้งว่าหากพิจารณาใหม่แล้วศาลอาจพิพากษาให้ผิดแผกแตกต่างจากที่ได้พิพากษาไปแล้ว คำร้องของจำเลยจึงไม่ต้องด้วย ป.วิ.พ.มาตรา 208 วรรคสอง
การที่จะขอแก้ไขเพิ่มเติมคำร้องขอให้พิจารณาใหม่ได้จะต้องให้ศาลมีคำสั่งรับคำร้องขอให้พิจารณาใหม่เสียก่อน เมื่อคำร้องขอให้พิจารณาใหม่ของจำเลยขาดองค์ประกอบสำคัญที่ศาลจะพึงรับไว้ได้และศาลชั้นต้นสั่งยกคำร้องแล้วกรณีจึงไม่จำต้องสั่งคำร้องขอแก้ไขเพิ่มเติมคำร้องอีกต่อไป

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5640/2540

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การซื้อที่ดินจากการขายทอดตลาดมิใช่การขายตาม พ.ร.บ.เช่าที่ดินฯ มาตรา 53 ผู้เช่าไม่สามารถใช้สิทธิซื้อก่อนได้
แม้การอุทธรณ์คำวินิจฉัยของ คชก. จังหวัดต่อศาลตามพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อการเกษตรกรรม พ.ศ. 2524 มาตรา 57 จะไม่ระบุว่าให้ทำเป็นคำฟ้องหรือคำร้องขอแต่การอุทธรณ์ก็บ่งบอกว่าผู้อุทธรณ์ไม่พอใจคำวินิจฉัยของ คชก. จังหวัด หรือคำวินิจฉัยของ คชก. จังหวัดนั้นโต้แย้งสิทธิหรือหน้าที่ของผู้อุทธรณ์เกิดเป็นคดีมีข้อพิพาทระหว่างผู้อุทธรณ์และ คชก. จังหวัดแล้ว ผู้อุทธรณ์จึงจำต้องอุทธรณ์ต่อศาลโดยทำเป็นคำฟ้องอย่างคดีมีข้อพิพาท หาใช่ทำเป็นคำร้องขอฝ่ายเดียวอย่างคดีไม่มีข้อพิพาทไม่แต่เมื่อคำร้องของผู้ร้องทั้งสามได้บรรยายว่า คชก. จังหวัดสิงห์บุรี โต้แย้งสิทธิหรือหน้าที่ของผู้ร้องทั้งสามอย่างไร ตลอดทั้งได้แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อกล่าวหา คำขอบังคับ ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาทุกประการเสมือนเป็นคำฟ้องคดีมีข้อพิพาทและศาลชั้นต้นได้สั่งรับคำร้องและให้มีการนำส่งสำเนาคำร้องให้ คชก. จังหวัดสิงห์บุรีผู้คัดค้านที่ 2 และที่ 3 ซึ่งเป็นผู้เช่าที่ดินพิพาททำนามีโอกาสคัดค้านโต้แย้ง และ คชก. จังหวัดสิงห์บุรี ผู้คัดค้านที่ 2 และที่ 3 ได้ทำคำคัดค้านเสมือนเป็นคำให้การเข้ามาในคดีจนศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาอย่างคดีมีข้อพิพาททั้งได้สืบพยานทั้งสองฝ่ายเสร็จสิ้นล่วงเลยเวลาที่จะสั่งยกคำร้องของผู้ร้องทั้งสามแล้ว จึงไม่อาจยกคำร้องของผู้ร้องทั้งสามได้
การที่ ส. เจ้าของที่ดินพิพาทผู้ให้เช่านาถูกธนาคารเจ้าหนี้ฟ้องบังคับจำนองและนำยึดที่ดินพิพาทที่จำนองออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้ หาได้เป็นการที่ ส. ประสงค์ที่จะขายนา หรือจะโอนนาชำระหนี้จำนองตามจำนวนหนี้จำนองที่ค้างชำระอยู่ตามพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมฯ มาตรา 53 วรรคแรกและวรรคท้ายไม่แต่เป็นเรื่องที่ ส. หรือที่ดินของ ส. ถูกบังคับหรือถูกยึดทรัพย์สินไปขายทอดตลาดแก่ประชาชนทั่วไปเพื่อนำเงินมาชำระหนี้จำนองแก่เจ้าหนี้ผู้รับจำนองตามอำนาจแห่งบทกฎหมายว่าด้วยเรื่องหนี้การจำนองและการบังคับจำนองได้บัญญัติวิธีการไว้เป็นพิเศษต่างหาก ยากที่ ส. ในฐานะผู้ให้เช่านาจะปฏิบัติให้เป็นไปตามมาตรา 53 วรรคแรก แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าวได้ เพราะการขายทอดตลาดย่อมมีเจ้าพนักงานบังคับคดีเป็นผู้ดำเนินการแทนตามอำนาจหน้าที่ ต้องประกาศขายอย่างเปิดเผยเปิดโอกาสให้ประชาชนรวมทั้งผู้เช่านาเพื่อเข้าสู้ราคา ไม่ใช่ขายให้แก่บุคคลใดบุคคลหนึ่งโดยเฉพาะ ทั้งราคาที่จะขายก็ไม่มีใครสามารถกำหนดได้ล่วงหน้าสุดแต่ผู้เข้าสู้ราคาหรือผู้จะซื้อจะเสนอ ประกอบกับวิธีการชำระเงิน วิธีการขายก็มีบทกฎหมายว่าด้วยการขายทอดตลาดบัญญัติไว้โดยเฉพาะ ไม่มีทางที่ ส. ผู้ให้เช่านาจะแจ้งถึงความจำนงที่จะขายนา ราคาที่จะขาย วิธีการขาย และวิธีการชำระเงินให้แก่ผู้เช่านาทราบล่วงหน้าตามกฎหมายว่าด้วยการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมดังกล่าวได้ การซื้อขายนาจากการขายทอดตลาดของศาลในกรณีเช่นนี้จึงถือไม่ได้ว่าเป็นการที่ผู้ให้เช่านาขายนาตามพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมฯ มาตรา 53 วรรคแรก

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3217/2535

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คำสั่งศาลไม่อนุญาตเรียกบุคคลภายนอกเข้าเป็นจำเลยร่วม ไม่ใช่คำสั่งไม่รับคำคู่ความ, อุทธรณ์ระหว่างพิจารณาต้องห้าม
คำร้องขอให้เรียกบุคคลภายนอกเข้ามาในคดีมิใช่คำคู่ความตาม ป.วิ.พ. มาตรา 1(5) เพราะมิได้ตั้งประเด็นระหว่างคู่ความดังนั้น คำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่อนุญาตให้เรียกบุคคลภายนอกเข้ามาในคดี จึงมิใช่คำสั่งไม่รับคำคู่ความและเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาจะอุทธรณ์คัดค้านคำสั่งศาลชั้นต้นในระหว่างพิจารณาไม่ได้ ต้องห้ามตาม ป.วิ.พ. มาตรา 226.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1212/2535

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คำขอคัดค้านการขายทอดตลาดต้องเป็นคำร้องและชำระค่าธรรมเนียม มิเช่นนั้นศาลไม่รับคำขอ
คำขอคัดค้านการขายทอดตลาดของจำเลยเป็นคำขอเพื่อให้ศาลมีคำสั่งยกกระบวนวิธีการบังคับคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 296 วรรคสอง ต้องทำเป็นคำร้องและต้องเสียค่าธรรมเนียมตามตาราง 2 ท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ข้อ (3) เป็นค่าคำร้องเป็นเงิน20 บาท และข้อ (7) เป็นค่าคำสั่งเป็นเงิน 50 บาท ด้วย โดยต้องชำระเมื่อยื่นคำขอเช่าว่านั้นต่อศาล จำเลยยื่นคำขอดังกล่าวโดยมิได้ชำระค่าธรรมเนียมในขณะที่ยื่นคำขอ จึงเป็นคำขอที่ไม่ชอบศาลไม่รับคำขอคัดค้านการขายทอดตลาดของจำเลย คำขอคัดค้านการขายทอดตลาดของจำเลยมิใช่คำร้องเพื่อตั้งประเด็นระหว่างคู่ความ จึงมิใช่คำคู่ความตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 1(5) ศาลจะสั่งคืนคำขอให้จำเลยไปชำระค่าธรรมเนียมเสียให้ถูกต้องตามมาตรา 18 ไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1212/2535 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ค่าธรรมเนียมคำขอคัดค้านการขายทอดตลาด จำเป็นต้องชำระก่อนยื่นคำขอ มิฉะนั้นศาลไม่รับคำขอ
คำขอคัดค้านการขายทอดตลาดของจำเลยเป็นคำขอเพื่อให้ศาลมีคำสั่งยกกระบวนวิธีการบังคับคดีตาม ป.วิ.พ. มาตรา 296 วรรคสองซึ่งคำขอดังกล่าวต้องทำเป็นคำร้องต่อศาลและต้องเสียค่าธรรมเนียมตามตาราง 2 ท้าย ป.วิ.พ. ข้อ (3) เป็นค่าคำร้องเป็นเงิน 20 บาทและ ข้อ (7) เป็นค่าคำสั่งเป็นเงิน 50 บาท โดยต้องชำระเมื่อยื่นคำขอเช่นว่านั้นต่อศาลเมื่อจำเลยยื่นคำขอคัดค้านการขายทอดตลาดโดยมิได้ชำระค่าธรรมเนียมในขณะที่ยื่นคำขอ จึงเป็นคำขอที่ไม่ชอบด้วยบทบัญญัติดังกล่าว ศาลชอบที่จะไม่รับคำขอคัดค้านการขายทอดตลาดของจำเลย คำขอคัดค้านการขายทอดตลาดของจำเลยมิใช่คำร้องเพื่อตั้งประเด็นระหว่างคู่ความ จึงมิใช่คำคู่ความตาม ป.วิ.พ. มาตรา 1(5)ซึ่งศาลจะต้องคืนให้จำเลยไปชำระค่าธรรมเนียมตามมาตรา 18 หากแต่เป็นคำร้องขอให้ศาลกำหนดวิธีการใดอย่างใด ๆ ที่บัญญัติไว้ในภาค 4 การที่ศาลล่างไม่รับคำขอจึงมีผลเท่ากับยกคำขอของจำเลย.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1136/2535

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ สิทธิในการสืบพยานจำกัด ประเด็นข้อพิพาทจำกัดเฉพาะข้ออ้างในฟ้อง
เมื่อศาลสั่งว่าจำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ จำเลยมีสิทธิเพียงอ้างตนเองเป็นพยานกับซักค้านพยานโจทก์ได้เท่านั้น ไม่มีสิทธิอ้างพยานเอกสารมาสืบ จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ และศาลชั้นต้นไม่ได้อนุญาตให้จำเลยยื่นคำให้การ ประเด็นข้อพิพาทคงเกิดจากข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาตามฟ้องโจทก์ที่ว่าสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์หรือไม่เท่านั้น ไม่มีประเด็นข้อพิพาทว่าจำเลยเป็นผู้ได้ไปซึ่งสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทหรือไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5682/2534 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การขอเรียกบุคคลภายนอกเข้ามาในคดีที่ไม่ใช่คู่ความ และข้อจำกัดในการอุทธรณ์ฎีกาคำสั่งระหว่างพิจารณา
คำร้องที่จำเลยขอให้ศาลเรียกบุคคลภายนอกเข้ามาในคดีมิใช่คำคู่ความตาม ป.วิ.พ. มาตรา 1(5) เพราะไม่ได้ตั้งประเด็นระหว่างคู่ความ เมื่อศาลชั้นต้นยกคำร้อง จึงเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาจำเลยจะอุทธรณ์ฎีกาคำสั่งระหว่างพิจารณาไม่ได้ ต้องห้ามตาม ป.วิ.พ.มาตรา 226(1) ประกอบกับ มาตรา 247.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5682/2534

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คำร้องเรียกทายาทบุคคลภายนอกเข้าสู่คดีไม่ใช่คำคู่ความ อุทธรณ์ฎีกาคำสั่งระหว่างพิจารณาไม่ได้
คำร้องที่จำเลยขอให้ศาลชั้นต้นเรียกทายาทของบุคคลภายนอกเข้ามาในคดีมิใช่คำคู่ความตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 1(5)เพราะไม่ได้ตั้งประเด็นระหว่างคู่ความ เมื่อศาลชั้นต้นยกคำร้องจึงเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาและศาลชั้นต้นยังไม่มีคำพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาดตัดสินคดีจำเลยทั้งสองจะอุทธรณ์ฎีกาคำสั่งระหว่างพิจารณาดังกล่าวไม่ได้ ต้องห้ามตามมาตรา 226(1) ประกอบกับมาตรา 247

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4718/2534

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การทิ้งอุทธรณ์เนื่องจากไม่ปฏิบัติตามคำสั่งศาล และการยื่นอุทธรณ์ที่ไม่ชอบตามกฎหมาย
ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 229 บัญญัติให้ผู้อุทธรณ์ยื่นสำเนาอุทธรณ์ต่อศาลเพื่อส่งให้แก่จำเลยอุทธรณ์และตามแบบพิมพ์ของศาลท้ายอุทธรณ์ได้ระบุไว้ว่าโจทก์ได้ยื่นสำเนาอุทธรณ์โดยข้อความถูกต้องเป็นอย่างเดียวกันมาด้วยหนึ่งฉบับดังนั้นการที่ทนายโจทก์ได้ลงลายมือจริงไว้ในอุทธรณ์หาใช่เป็นการยื่นสำเนาอุทธรณ์โดยมีการรับรองข้อความถูกต้องเป็นอย่างเดียวกันไม่ เมื่อโจทก์ทราบคำสั่งของศาลชั้นต้นที่สั่งให้โจทก์หรือทนายโจทก์มาลงชื่อรับรองสำเนาอุทธรณ์เสียให้ถูกต้อง แต่โจทก์กลับเพิกเฉยไม่ดำเนินการภายในเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนดถือได้ว่าโจทก์ทิ้งอุทธรณ์ ศาลย่อมมีอำนาจที่จะสั่งจำหน่ายคดีโจทก์ออกจากสารบทความ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 132,174(2) ประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 15 การที่ศาลชั้นต้นสั่งรับอุทธรณ์ฉบับแรกของโจทก์โดยมีเงื่อนไขว่าโจทก์หรือทนายโจทก์จะต้องมาลงชื่อรับรองสำเนาอุทธรณ์ภายใน 15 วัน แต่โจทก์กลับส่งอุทธรณ์และสำเนาอุทธรณ์ฉบับที่สองซึ่งมีข้อความเหมือนอุทธรณ์ฉบับแรกมายังศาลโดยทางไปรษณีย์ลงทะเบียนตอบรับ ถือไม่ได้ว่าเป็นการยื่นอุทธรณ์ และสำเนาอุทธรณ์โดยชอบเพราะอุทธรณ์เป็นคำคู่ความ โจทก์จะต้องนำมายื่นต่อศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 18 และมาตรา 229ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 จึงไม่รับอุทธรณ์ของโจทก์
of 5