พบผลลัพธ์ทั้งหมด 223 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 455/2511
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องร้องซ้ำเรื่องเครื่องหมายการค้าเดิมที่ยังอยู่ในระหว่างพิจารณาของศาลฎีกา ถือเป็นการฟ้องซ้ำที่ต้องห้ามตามกฎหมาย
คดีเรื่องก่อน โดยเฉพาะคดีแดงที่ 4475/2506 เป็นเรื่องที่โจทก์ยื่นคำขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้า HIPEX สำหรับใช้สินค้าจำพวก 8 คือ เครื่องรับวิทยุ ฯลฯ. และได้ฟ้องจำเลยขอให้แสดงว่าโจทก์มีสิทธิจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าดังกล่าวนี้. เพราะจำเลยยื่นคำขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าHYPEX สำหรับใช้กับสินค้าจำพวก 8 คือ เครื่องรับวิทยุฯลฯ. ศาลพิพากษายกฟ้อง. โจทก์กลับยื่นคำขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้า HIPEX สำหรับใช้กับสินค้าจำพวก 8 ซ้ำอีก. ครั้นนายทะเบียนไม่รับจด. โจทก์ก็มาฟ้องจำเลยเป็นคดีขึ้นอีก. เห็นว่าคดีหลังนี้กับคดีแดงที่4475/2506 เป็นเรื่องเดียวกันโดยมีประเด็นข้อพิพาทเป็นอย่างเดียวกันว่า โจทก์มีสิทธิจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าHIPEX สำหรับใช้กับสินค้าจำพวก 8 หรือไม่. ในเมื่อจำเลยได้ยื่นคำขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้า HYPEX สำหรับใช้กับสินค้าจำพวกเดียวกันไว้แล้ว. ซึ่งต้องพิจารณาเรื่องที่กระทำ ไม่ใช่ครั้งของการกระทำ. แม้โจทก์จะประดิษฐ์รูปลักษณะของตัวอักษรให้ผิดเพี้ยนไปบ้าง. แต่ตัวอักษรก็ยังเป็นอย่างเดิม และเรียกขานเหมือนเดิม คือ HIPEX. ส่วนลวดลายส่วนประกอบโดยรอบตัวอักษร แม้จะมีเพิ่มขึ้นก็ไม่ใช่ส่วนสำคัญเพราะเป็นเพียงส่วนประกอบของลักษณะบ่งเฉพาะแห่งเครื่องหมายเท่านั้น. ไม่ทำให้เครื่องหมาย HIPEX ที่โจทก์ยื่นคำขอจดทะเบียนครั้งหลังอันเป็นมูลฟ้องคดีนี้กลายเป็นคนละเครื่องหมายคนละเรื่องกับเรื่องก่อนไปได้. เมื่อคดีหลังกับคดีก่อนคือคดีแดงที่ 4475/2506 ของศาลชั้นต้นเป็นเรื่องเดียวกัน และขณะโจทก์ฟ้องคดีหลังนี้ คดีแดงที่ 4475/2506 ยังอยู่ระหว่างพิจารณาของศาลฎีกา. โจทก์จึงฟ้องคดีหลังนี้ไม่ได้. ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 173(1).
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 455/2511 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องคดีซ้ำซ้อนที่คดีเดิมยังอยู่ระหว่างพิจารณาของศาลฎีกา ถือเป็นการฟ้องคดีที่ต้องห้ามตามกฎหมาย
คดีเรื่องก่อน โดยเฉพาะคดีแดงที่ 4475/2506 เป็นเรื่องที่โจทก์ยื่นคำขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้า HIPEX สำหรับใช้สินค้าจำพวก 8 คือ เครื่องรับวิทยุ ฯลฯ และได้ฟ้องจำเลยขอให้แสดงว่าโจทก์มีสิทธิจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าดังกล่าวนี้ เพราะจำเลยยื่นคำขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้า HYPEX สำหรับใช้กับสินค้าจำพวก 8 คือ เครื่องรับวิทยุฯลฯ ศาลพิพากษายกฟ้อง โจทก์กลับยื่นคำขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้า HIPEX สำหรับใช้กับสินค้าจำพวก 8 ซ้ำอีก ครั้นนายทะเบียนไม่รับจด โจทก์ก็มาฟ้องจำเลยเป็นคดีขึ้นอีกเห็นว่าคดีหลังนี้กับคดีแดงที่4475/2506 เป็นเรื่องเดียวกันโดยมีประเด็นข้อพิพาทเป็นอย่างเดียวกันว่า โจทก์มีสิทธิจดทะเบียนเครื่องหมายการค้า HIPEX สำหรับใช้กับสินค้าจำพวก 8 หรือไม่ ในเมื่อจำเลยได้ยื่นคำขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้า HYPEX สำหรับใช้กับสินค้าจำพวกเดียวกันไว้แล้ว ซึ่งต้องพิจารณาเรื่องที่กระทำ ไม่ใช่ครั้งของการกระทำแม้โจทก์จะประดิษฐ์รูปลักษณะของตัวอักษรให้ผิดเพี้ยนไปบ้างแต่ตัวอักษรก็ยังเป็นอย่างเดิม และเรียกขานเหมือนเดิม คือ HIPEX ส่วนลวดลายส่วนประกอบโดยรอบตัวอักษร แม้จะมีเพิ่มขึ้นก็ไม่ใช่ส่วนสำคัญเพราะเป็นเพียงส่วนประกอบของลักษณะบ่งเฉพาะแห่งเครื่องหมายเท่านั้น ไม่ทำให้เครื่องหมาย HIPEX ที่โจทก์ยื่นคำขอจดทะเบียนครั้งหลังอันเป็นมูลฟ้องคดีนี้กลายเป็นคนละเครื่องหมายคนละเรื่องกับเรื่องก่อนไปได้ เมื่อคดีหลังกับคดีก่อนคือคดีแดงที่ 4475/2506 ของศาลชั้นต้นเป็นเรื่องเดียวกัน และขณะโจทก์ฟ้องคดีหลังนี้ คดีแดงที่ 4475/2506 ยังอยู่ระหว่างพิจารณาของศาลฎีกาโจทก์จึงฟ้องคดีหลังนี้ไม่ได้ ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 173(1)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 454/2511
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับมอบอาคารพิพาทโดยชอบจากผู้รับเหมาช่วง แม้ไม่ได้ทำสัญญากับผู้รับเหมาหลัก ไม่ถือเป็นการละเมิด
จำเลยจ้างเหมา ม. ปลูกสร้างโรงเรียนในที่ดินที่จำเลยมีสิทธิครอบครอง. โจทก์เป็นผู้รับเหมาช่วงจาก ม.. เมื่อม. คู่สัญญาจำเลยได้มอบอาคารพิพาทซึ่งก่อสร้างให้แก่จำเลยเป็นลายลักษณ์อักษรตามข้อตกลงในหนังสือสัญญาที่ทำไว้ต่อกัน. จึงเป็นการที่จำเลยรับมอบอาคารพิพาทไว้โดยชอบ และย่อมเป็นเหตุให้จำเลยมีสิทธิใช้อาคารได้โดยชอบด้วยกฎหมาย. การที่จำเลยเข้าใช้อาคารพิพาทจึงไม่เป็นละเมิดต่อโจทก์.ส่วนการที่ ม. ได้ทำสัญญากับโจทก์เกี่ยวกับอาคารพิพาทนั้น เป็นเรื่องระหว่าง ม. กับโจทก์เท่านั้น. ไม่เกี่ยวข้องกับจำเลยซึ่งเป็นบุคคลภายนอกด้วย. เมื่อ ม.ทำผิดสัญญาที่ทำไว้กับโจทก์. โจทก์ก็ต้องฟ้องร้องว่ากล่าวเอาแก่ ม..
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 454/2511 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับมอบอาคารโดยชอบของบุคคลภายนอก ผู้รับเหมาช่วงไม่มีสิทธิเรียกร้องละเมิด
จำเลยจ้างเหมา ม.ปลูกสร้างโรงเรียนในที่ดินที่จำเลยมีสิทธิครอบครอง โจทก์เป็นผู้รับเหมาช่วงจาก ม. เมื่อ ม. คู่สัญญาจำเลยได้มอบอาคารพิพาทซึ่งก่อสร้างให้แก่จำเลยเป็นลายลักษณ์อักษรตามข้อตกลงในหนังสือสัญญาที่ทำไว้ต่อกัน จึงเป็นการที่จำเลยรับมอบอาคารพิพาทไว้โดยชอบ และย่อมเป็นเหตุให้จำเลยมีสิทธิใช้อาคารได้โดยชอบด้วยกฎหมาย การที่จำเลยเข้าใช้อาคารพิพาทจึงไม่เป็นละเมิดต่อโจทก์ ส่วนการที่ ม. ได้ทำสัญญากับโจทก์เกี่ยวกับอาคารพิพาทนั้น เป็นเรื่องระหว่าง ม. กับโจทก์เท่านั้น ไม่เกี่ยวข้องกับจำเลยซึ่งเป็นบุคคลภายนอกด้วย เมื่อ ม. ทำผิดสัญญาที่ทำไว้กับโจทก์ โจทก์ก็ต้องฟ้องร้องว่ากล่าวเอาแก่ ม.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 454/2511 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การครอบครองอาคารพิพาทโดยชอบ ผู้รับเหมาช่วงไม่มีสิทธิเรียกร้องต่อผู้ว่าจ้างเหมาช่วง
จำเลยจ้างเหมา ม. ปลูกสร้างโรงเรียนในที่ดินที่จำเลยมีสิทธิครอบครอง โจทก์เป็นผู้รับเหมาช่วงจาก ม.เมื่อ ม. คู่สัญญาจำเลยได้มอบอาคารพิพาทซึ่งก่อสร้างให้แก่จำเลยเป็นลายลักษณ์อักษรตามข้อตกลงในหนังสือสัญญาที่ทำไว้ต่อกันจึงเป็นการที่จำเลยรับมอบอาคารพิพาทไว้โดยชอบ และย่อมเป็นเหตุให้จำเลยมีสิทธิใช้อาคารได้โดยชอบด้วยกฎหมาย การที่จำเลยเข้าใช้อาคารพิพาทจึงไม่เป็นละเมิดต่อโจทก์ส่วนการที่ ม. ได้ทำสัญญากับโจทก์เกี่ยวกับอาคารพิพาทนั้น เป็นเรื่องระหว่าง ม. กับโจทก์เท่านั้น ไม่เกี่ยวข้องกับจำเลยซึ่งเป็นบุคคลภายนอกด้วย เมื่อ ม. ทำผิดสัญญาที่ทำไว้กับโจทก์โจทก์ก็ต้องฟ้องร้องว่ากล่าวเอาแก่ ม.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 438/2511 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การร่วมกันทำร้ายร่างกายจนถึงแก่ความตาย ไม่ถือเป็นการป้องกันสิทธิโดยชอบธรรม
จำเลยที่ 1 และผู้ตายสมัครใจวิวาททำร้ายร่างกายซึ่งกันและกัน ไม่ถือว่าเป็นการกระทำโดยบันดาลโทสะเพราะถูกผู้ตายข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม จำเลยที่ 1 ร้องให้ช่วย จำเลยที่ 2 จึงเอาเหล็กงัดยางกว้าง 2 นิ้ว หนา1 กระเบียด ยาวศอกเศษ ตีผู้ตายที่ศีรษะและดั้งจมูกโดยแรง จนผู้ตายล้มฟุบแล้ว จำเลยที่ 1 ก็เอามีดซึ่งหลุดจากมือผู้ตายมาแทงผู้ตายและผู้ตายถึงแก่ความตาย ดังนี้ ถือว่าจำเลยที่ 1 มีความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาและจำเลยที่ 2 ก็เป็นตัวการในการกระทำความผิดนั้นด้วย ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 83 การกระทำของจำเลยที่ 2 ไม่ถือว่าเป็นการกระทำเพื่อป้องกันสิทธิของจำเลยที่ 1 โดยชอบด้วยกฎหมายเพราะจำเลยที่ 2 ได้รู้เห็นว่าจำเลยที่ 1 และผู้ตายสมัครใจวิวาททำร้ายซึ่งกันและกัน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 438/2511 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การร่วมกันทำร้ายร่างกายจนถึงแก่ความตาย แม้เป็นการวิวาทแต่มีเจตนาฆ่า ถือเป็นตัวการ
จำเลยที่ 1 และผู้ตายสมัครใจวิวาททำร้ายร่างกายซึ่งกันและกันไม่ถือว่าเป็นการกระทำโดยบันดาลโทสะเพราะถูกผู้ตายข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม จำเลยที่ 1 ร้องให้ช่วย. จำเลยที่ 2 จึงเอาเหล็กงัดยางกว้าง 2 นิ้ว หนา 1 กระเบียด ยาวศอกเศษ ตีผู้ตายที่ศีรษะและดั้งจมูกโดยแรง จนผู้ตายล้มฟุบลงแล้วจำเลยที่ 1 ก็เอามีดซึ่งหลุดจากมือผู้ตายมาแทงผู้ตายและผู้ตายถึงแก่ความตาย ดังนี้ ถือว่าจำเลยที่ 1 มีความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาและจำเลยที่ 2 ก็เป็นตัวการในการกระทำความผิดนั้นด้วย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 การกระทำของจำเลยที่ 2 ไม่ถือว่าเป็นการกระทำเพื่อป้องกันสิทธิของจำเลยที่ 1 โดยชอบด้วยกฎหมายเพราะจำเลยที่ 2 ได้รู้เห็นว่าจำเลยที่ 1 และผู้ตายสมัครใจวิวาททำร้ายซึ่งกันและกัน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 438/2511
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาและเป็นตัวการร่วมกัน การป้องกันสิทธิโดยชอบด้วยกฎหมาย
จำเลยที่ 1 และผู้ตายสมัครใจวิวาททำร้ายร่างกายซึ่งกันและกัน. ไม่ถือว่าเป็นการกระทำโดยบันดาลโทสะเพราะถูกผู้ตายข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม. จำเลยที่ 1 ร้องให้ช่วย. จำเลยที่ 2 จึงเอาเหล็กงัดยางกว้าง 2 นิ้ว หนา 1 กระเบียด ยาวศอกเศษ ตีผู้ตายที่ศีรษะและดั้งจมูกโดยแรง. จนผู้ตายล้มฟุบลงแล้วจำเลยที่ 1 ก็เอามีดซึ่งหลุดจากมือผู้ตายมาแทงผู้ตายและผู้ตายถึงแก่ความตาย. ดังนี้ ถือว่าจำเลยที่ 1 มีความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา.และจำเลยที่ 2 ก็เป็นตัวการในการกระทำความผิดนั้นด้วย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา83. การกระทำของจำเลยที่ 2 ไม่ถือว่าเป็นการกระทำเพื่อป้องกันสิทธิของจำเลยที่ 1 โดยชอบด้วยกฎหมาย.เพราะจำเลยที่ 2 ได้รู้เห็นว่าจำเลยที่ 1 และผู้ตายสมัครใจวิวาททำร้ายซึ่งกันและกัน.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 376/2511
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบังคับคดีหลังศาลอุทธรณ์ไม่อนุญาตทุเลาการบังคับคดี ศาลชั้นต้นมีอำนาจดำเนินการยึดและขายทอดตลาดได้
เมื่อศาลอุทธรณ์มีคำสั่งไม่อนุญาตให้ทุเลาการบังคับคดีแล้ว. การดำเนินการบังคับคดีย่อมเป็นอำนาจของศาลชั้นต้น. และเมื่อศาลชั้นต้นยึดทรัพย์ของจำเลยมาและขายทอดตลาด. จำเลยยื่นคำร้องขอให้งดการขายทอดตลาดไว้ก่อน. การจะงดการขายทอดตลาดหรือไม่. เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับการบังคับคดี.จึงอยู่ในอำนาจของศาลชั้นต้นที่จะสั่งคำร้องของจำเลยได้.
โดยหลักทั่วไป เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาให้โจทก์ชนะคดีอันจำเลยจะต้องปฏิบัติการชำระหนี้ให้โจทก์ตามคำพิพากษา.คำพิพากษาของศาลชั้นต้นย่อมมีผลให้จำเลยต้องปฏิบัติตามแม้คดีจะยังไม่ถึงที่สุด. เว้นแต่จำเลยจะได้ยื่นอุทธรณ์และดำเนินการตามวิธีใดวิธีหนึ่งในมาตรา 231 คือขอทุเลาการบังคับคดีหรือวางเงินต่อศาลชั้นต้นเป็นจำนวนพอชำระหนี้ตามคำพิพากษารวมทั้งค่าฤชาธรรมเนียมในการฟ้องร้องและการบังคับคดี. หรือได้หาประกันมาให้สำหรับจำนวนเงินเช่นว่านี้ จนเป็นที่พอใจของศาลชั้นต้นซึ่งจะเป็นผลให้ศาลชั้นต้นงดการบังคับคดีไว้.
จำเลยมิได้วางเงินหรือหาประกันมาให้. แต่ได้ยื่นขอทุเลาการบังคับคดีต่อศาลอุทธรณ์. และศาลอุทธรณ์ไม่อนุญาต.คดีจึงไม่ตกอยู่ในบังคับแห่งมาตรา 231. มาตรา 231วรรคท้าย เป็นเรื่องที่จำเลยได้รับอนุญาตให้ทุเลาการบังคับคดีแล้ว แต่ไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขที่ศาลกำหนด. ศาลย่อมมีอำนาจที่จะดำเนินการตามมาตรา 231 วรรคท้าย ได้. เมื่อกรณีจำเลยไม่ต้องด้วยมาตรา 231 วรรคท้าย. เพราะจำเลยมิได้รับอนุญาตให้ทุเลาการบังคับคดี. จำเลยจึงขอให้งดการขายทอดตลาดตามมาตรา 231 วรรคท้าย ไม่ได้.
โดยหลักทั่วไป เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาให้โจทก์ชนะคดีอันจำเลยจะต้องปฏิบัติการชำระหนี้ให้โจทก์ตามคำพิพากษา.คำพิพากษาของศาลชั้นต้นย่อมมีผลให้จำเลยต้องปฏิบัติตามแม้คดีจะยังไม่ถึงที่สุด. เว้นแต่จำเลยจะได้ยื่นอุทธรณ์และดำเนินการตามวิธีใดวิธีหนึ่งในมาตรา 231 คือขอทุเลาการบังคับคดีหรือวางเงินต่อศาลชั้นต้นเป็นจำนวนพอชำระหนี้ตามคำพิพากษารวมทั้งค่าฤชาธรรมเนียมในการฟ้องร้องและการบังคับคดี. หรือได้หาประกันมาให้สำหรับจำนวนเงินเช่นว่านี้ จนเป็นที่พอใจของศาลชั้นต้นซึ่งจะเป็นผลให้ศาลชั้นต้นงดการบังคับคดีไว้.
จำเลยมิได้วางเงินหรือหาประกันมาให้. แต่ได้ยื่นขอทุเลาการบังคับคดีต่อศาลอุทธรณ์. และศาลอุทธรณ์ไม่อนุญาต.คดีจึงไม่ตกอยู่ในบังคับแห่งมาตรา 231. มาตรา 231วรรคท้าย เป็นเรื่องที่จำเลยได้รับอนุญาตให้ทุเลาการบังคับคดีแล้ว แต่ไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขที่ศาลกำหนด. ศาลย่อมมีอำนาจที่จะดำเนินการตามมาตรา 231 วรรคท้าย ได้. เมื่อกรณีจำเลยไม่ต้องด้วยมาตรา 231 วรรคท้าย. เพราะจำเลยมิได้รับอนุญาตให้ทุเลาการบังคับคดี. จำเลยจึงขอให้งดการขายทอดตลาดตามมาตรา 231 วรรคท้าย ไม่ได้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 376/2511 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจศาลในการบังคับคดีหลังศาลอุทธรณ์ไม่อนุญาตทุเลา และเงื่อนไขการงดการขายทอดตลาด
เมื่อศาลอุทธรณ์มีคำสั่งไม่อนุญาตให้ทุเลาการบังคับคดีแล้วการดำเนินการบังคับคดีย่อมเป็นอำนาจของศาลชั้นต้น และเมื่อศาลชั้นต้นยึดทรัพย์ของจำเลยมาและขายทอดตลาด จำเลยยื่นคำร้องขอให้งดการขายทอดตลาดไว้ก่อนการจะงดการขายทอดตลาดหรือไม่ เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับการบังคับคดีจึงอยู่ในอำนาจของศาลชั้นต้นที่จะสั่งคำร้องของจำเลยได้
โดยหลักทั่วไป เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาให้โจทก์ชนะคดีอันจำเลยจะต้องปฏิบัติการชำระหนี้ให้โจทก์ตามคำพิพากษาคำพิพากษาของศาลชั้นต้นย่อมมีผลให้จำเลยต้องปฏิบัติตามแม้คดีจะยังไม่ถึงที่สุด เว้นแต่จำเลยจะได้ยื่นอุทธรณ์และดำเนินการตามวิธีใดวิธีหนึ่งในมาตรา 231 คือขอทุเลาการบังคับคดีหรือวางเงินต่อศาลชั้นต้นเป็นจำนวนพอชำระหนี้ตามคำพิพากษารวมทั้งค่าฤชาธรรมเนียมในการฟ้องร้องและการบังคับคดีหรือได้หาประกันมาให้สำหรับจำนวนเงินเช่นว่านี้ จนเป็นที่พอใจของศาลชั้นต้นซึ่งจะเป็นผลให้ศาลชั้นต้นงดการบังคับคดีไว้
จำเลยมิได้วางเงินหรือหาประกันมาให้แต่ได้ยื่นขอทุเลาการบังคับคดีต่อศาลอุทธรณ์ และศาลอุทธรณ์ไม่อนุญาตคดีจึงไม่ตกอยู่ในบังคับแห่งมาตรา 231 มาตรา 231วรรคท้าย เป็นเรื่องที่จำเลยได้รับอนุญาตให้ทุเลาการบังคับคดีแล้ว แต่ไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขที่ศาลกำหนดศาลย่อมมีอำนาจที่จะดำเนินการตามมาตรา 231 วรรคท้าย ได้ เมื่อกรณีจำเลยไม่ต้องด้วยมาตรา 231 วรรคท้าย เพราะจำเลยมิได้รับอนุญาตให้ทุเลาการบังคับคดีจำเลยจึงขอให้งดการขายทอดตลาดตามมาตรา 231 วรรคท้าย ไม่ได้
โดยหลักทั่วไป เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาให้โจทก์ชนะคดีอันจำเลยจะต้องปฏิบัติการชำระหนี้ให้โจทก์ตามคำพิพากษาคำพิพากษาของศาลชั้นต้นย่อมมีผลให้จำเลยต้องปฏิบัติตามแม้คดีจะยังไม่ถึงที่สุด เว้นแต่จำเลยจะได้ยื่นอุทธรณ์และดำเนินการตามวิธีใดวิธีหนึ่งในมาตรา 231 คือขอทุเลาการบังคับคดีหรือวางเงินต่อศาลชั้นต้นเป็นจำนวนพอชำระหนี้ตามคำพิพากษารวมทั้งค่าฤชาธรรมเนียมในการฟ้องร้องและการบังคับคดีหรือได้หาประกันมาให้สำหรับจำนวนเงินเช่นว่านี้ จนเป็นที่พอใจของศาลชั้นต้นซึ่งจะเป็นผลให้ศาลชั้นต้นงดการบังคับคดีไว้
จำเลยมิได้วางเงินหรือหาประกันมาให้แต่ได้ยื่นขอทุเลาการบังคับคดีต่อศาลอุทธรณ์ และศาลอุทธรณ์ไม่อนุญาตคดีจึงไม่ตกอยู่ในบังคับแห่งมาตรา 231 มาตรา 231วรรคท้าย เป็นเรื่องที่จำเลยได้รับอนุญาตให้ทุเลาการบังคับคดีแล้ว แต่ไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขที่ศาลกำหนดศาลย่อมมีอำนาจที่จะดำเนินการตามมาตรา 231 วรรคท้าย ได้ เมื่อกรณีจำเลยไม่ต้องด้วยมาตรา 231 วรรคท้าย เพราะจำเลยมิได้รับอนุญาตให้ทุเลาการบังคับคดีจำเลยจึงขอให้งดการขายทอดตลาดตามมาตรา 231 วรรคท้าย ไม่ได้