พบผลลัพธ์ทั้งหมด 223 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 287/2512
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับผิดของกรมที่ดินในคดีละเมิดจากการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ โดยศาลฎีกาวินิจฉัยว่าการวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์นอกประเด็น
ในคดีละเมิด โจทก์บรรยายฟ้องเพื่อแสดงว่าจำเลยที่ 2(กรมที่ดิน) ต้องรับผิดใช้ค่าเสียหายร่วมกับจำเลยที่ 1ต่อโจทก์. คงมีตามฟ้องข้อ 3 ข้อเดียวว่า ศ.มอบโฉนดที่ดินไว้กับจำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานที่ดิน.ในการปฏิบัติหน้าที่ราชการจำเลยที่ 2 ที่ 3 ยอมรับหนังสือมอบอำนาจปลอมที่ว่า ศ.มอบอำนาจให้ ม.มีอำนาจขายกรรมสิทธิ์ที่ดินได้.โดยมิได้สอบถาม ศ.เจ้าของที่ดินให้ทราบเหตุผลว่า. เหตุใดจึงกลายเป็นมอบอำนาจให้ ม.มีอำนาจขายกรรมสิทธิ์ที่ดินได้. ทั้งๆ ที่ ศ.มามอบโฉนดให้แก่จำเลยที่ 3 ด้วยตนเอง. ดังนี้คดีจึงมีประเด็นเพียงว่า จำเลยที่ 2 จะต้องรับผิดต่อโจทก์เนื่องจากการปฏิบัติหน้าที่ของจำเลยที่ 3 หรือไม่เท่านั้น. ซึ่งศาลชั้นต้นก็ได้วินิจฉัยชี้ขาดมาแล้วว่า.จำเลยที่ 3 มิได้ประมาทเลินเล่อ. ทั้งคดีเฉพาะตัวจำเลยที่ 3 ก็ได้ยุติไปแล้วตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น. เมื่อเป็นดังนี้จำเลยที่ 2 จึงไม่ควรรับผิดต่อโจทก์.เพราะการกระทำของจำเลยที่ 3 แต่อย่างใด. ฉะนั้นการที่ศาลอุทธรณ์ได้ยกเอาเหตุแห่งการปฏิบัติหน้าที่ราชการที่กระทำไปโดยความบกพร่องของเจ้าหน้าที่หมวดคำขอ. ซึ่งเป็นผู้รับโฉนดไว้จาก ศ.เพื่อทำการแบ่งแยก. แต่แล้วกลับมอบให้ธ.ไป จนเป็นเหตุให้ท.กับพวกสมคบกันนำใบมอบอำนาจไปจดทะเบียนการซื้อขายและขายฝากต่อๆ ไปจนสำเร็จ. โดยเจ้าหน้าที่ผู้นั้นควรจะได้มอบโฉนดให้แก่ ศ.รับไปด้วยตนเอง.หรือเรียกเอาใบรับโฉนดที่ออกให้แก่ ศ.กลับคืนมาไว้เป็นหลักฐานก็ดี. และการที่ศาลอุทธรณ์ยกเอาเหตุแห่งการปฏิบัติหน้าที่ราชการของ ป.และ ว.เจ้าหน้าที่หมวดรักษาทะเบียน. โดยความบกพร่องในการตรวจสอบลายเซ็นชื่อของ ศ.ในใบมอบอำนาจปลอมขึ้นอ้าง.เพื่อให้จำเลยที่ 2 ต้องรับผิดร่วมกับจำเลยที่ 1 ก็ดี.จึงเป็นการวินิจฉัยนอกประเด็นที่โจทก์บรรยายฟ้องมาทั้งสิ้น.เป็นการไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142วรรคแรก.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 232/2512 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิฟ้องคดีค้าที่ดินผิดกฎหมาย: ผู้เสียหายต้องเป็นรัฐเท่านั้น การระงับคดีเมื่อห้างหุ้นส่วนเลิกกิจการ
ความผิดฐานค้าที่ดินโดยมิได้รับอนุญาตอันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายที่ดิน เป็นความผิดที่รัฐเท่านั้นจะดำเนินคดีแก่ผู้กระทำผิดเอกชนมิใช่ผู้เสียหายที่จะฟ้องร้องในความผิดส่วนนี้ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 232/2512 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิการฟ้องคดีอาญาเกี่ยวกับค้าที่ดินโดยไม่ได้รับอนุญาต และการระงับความรับผิดทางอาญาหลังเลิกกิจการ
ความผิดฐานค้าที่ดินโดยมิได้รับอนุญาตอันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายที่ดิน เป็นความผิดที่รัฐเท่านั้นจะดำเนินคดีแก่ผู้กระทำผิด เอกชนมิใช่ผู้เสียหายที่จะฟ้องร้องในความผิดส่วนนี้ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 232/2512
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิฟ้องคดีค้าที่ดินโดยไม่ได้รับอนุญาต และการระงับคดีอาญาหลังเลิกห้างหุ้นส่วน
ความผิดฐานค้าที่ดินโดยมิได้รับอนุญาตอันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายที่ดิน เป็นความผิดที่รัฐเท่านั้นจะดำเนินคดีแก่ผู้กระทำผิด. เอกชนมิใช่ผู้เสียหายที่จะฟ้องร้องในความผิดส่วนนี้ได้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 183/2512
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องซ้ำ: การฟ้องขับไล่ซ้ำกับคดีก่อน แม้จำเลยต่างกัน แต่มีประเด็นข้อเท็จจริงเกี่ยวพันกัน ศาลพิจารณาได้
คดีก่อนโจทก์ฟ้องขับไล่บุตรเขยจำเลยให้รื้อถอนบ้านเรือนออกไปจากที่พิพาท ซึ่งอ้างว่าเป็นของโจทก์. บุตรเขยจำเลยต่อสู้กรรมสิทธิ์. ศาลพิพากษายกฟ้องคดีถึงที่สุดแล้วโจทก์มาฟ้องคดีนี้ขอให้ขับไล่จำเลยรื้อถอนบ้านเรือนออกไปจากที่พิพาท. บุตรเขยจำเลยร้องสอดเข้าต่อสู้คดีร่วมกับจำเลย. ดังนี้คดีระหว่างโจทก์กับจำเลยย่อมไม่เป็นฟ้องซ้ำ.เพราะจำเลยในคดีนี้มิใช่คู่ความเดียวกันกับคู่ความในคดีก่อน. การที่บุตรเขยจำเลยร้องสอดเข้ามาในคดีด้วยความสมัครใจเอง. ไม่ทำให้ฟ้องระหว่างโจทก์กับจำเลยเป็นฟ้องซ้ำ. ส่วนคดีระหว่างโจทก์กับผู้ร้องสอด. ไม่ว่าบุตรเขยจำเลยจะมีอำนาจร้องสอดหรือไม่. คำพิพากษาคดีก่อนจะผูกพันโจทก์กับผู้ร้องสอดเพียงใดหรือไม่. และคดีระหว่างโจทก์กับผู้ร้องสอดจะเป็นฟ้องซ้ำหรือไม่. ศาลก็ย่อมพิจารณาพิพากษาคดีนี้ต่อไปได้โดยไม่จำต้องแยกวินิจฉัยคดีระหว่างโจทก์กับผู้ร้องสอดก่อน.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 183/2512 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องซ้ำ: การฟ้องขับไล่บุคคลเดิมและบุคคลที่ร้องสอดคดี ย่อมไม่เป็นฟ้องซ้ำหากไม่ใช่คู่ความเดียวกัน
คดีก่อนโจทก์ฟ้องขับไล่บุตรเขยจำเลยให้รื้อถอนบ้านเรือนออกไปจากที่พิพาท ซึ่งอ้างว่าเป็นของโจทก์บุตรเขยจำเลยต่อสู้กรรมสิทธิ์ศาลพิพากษายกฟ้องคดีถึงที่สุดแล้วโจทก์มาฟ้องคดีนี้ขอให้ขับไล่จำเลยรื้อถอนบ้านเรือนออกไปจากที่พิพาทบุตรเขยจำเลยร้องสอดเข้าต่อสู้คดีร่วมกับจำเลย ดังนี้คดีระหว่างโจทก์กับจำเลยย่อมไม่เป็นฟ้องซ้ำเพราะจำเลยในคดีนี้มิใช่คู่ความเดียวกันกับคู่ความในคดีก่อนการที่บุตรเขยจำเลยร้องสอดเข้ามาในคดีด้วยความสมัครใจเองไม่ทำให้ฟ้องระหว่างโจทก์กับจำเลยเป็นฟ้องซ้ำส่วนคดีระหว่างโจทก์กับผู้ร้องสอด ไม่ว่าบุตรเขยจำเลยจะมีอำนาจร้องสอดหรือไม่ คำพิพากษาคดีก่อนจะผูกพันโจทก์กับผู้ร้องสอดเพียงใดหรือไม่และคดีระหว่างโจทก์กับผู้ร้องสอดจะเป็นฟ้องซ้ำหรือไม่ศาลก็ย่อมพิจารณาพิพากษาคดีนี้ต่อไปได้โดยไม่จำต้องแยกวินิจฉัยคดีระหว่างโจทก์กับผู้ร้องสอดก่อน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 159/2512 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การครอบครองสัตว์และการแจ้งความผิดฐานลักทรัพย์/ยักยอกทรัพย์ ศาลฎีกาชี้ว่าการยิงสัตว์แล้วชำแหละเนื้อเป็นลักทรัพย์
ผู้เสียหายจับกระบือไม่ได้เพราะติดอยู่ในฝูงอื่นซึ่งอยู่บนเขาและเป็นทำเลเลี้ยงมิใช่เพริดไปจนพ้นการติดตาม ดังนี้ตามกฎหมายต้องถือว่าผู้เสียหายยังครอบครองกระบือตัวนั้นอยู่ เพราะผู้เสียหายยังไม่ได้สละการครอบครองกระบือตัวนั้น การที่จำเลยยิงกระบือของผู้เสียหายตายและชำแหละเอาเนื้อกระบือไปโดยไม่ได้รับอนุญาตจากผู้เสียหายเป็นการเอาไปโดยทุจริต เป็นการกระทำผิดฐานลักทรัพย์ส่วนการที่จำเลยชำแหละเนื้อกระบือเอาไป ก็เป็นการครอบครอง เพราะยึดถือเพื่อตน แต่เป็นผลภายหลังการที่จำเลยลักกระบือนั้นแล้ว ไม่เป็นความผิดฐานยักยอกทรัพย์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352 วรรคสอง
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานยักยอกทรัพย์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352 วรรคสอง เมื่อศาลเห็นว่าเป็นความผิดฐานลักทรัพย์ ข้อเท็จจริงที่ปรากฏในทางพิจารณาจึงไม่ใช่เรื่องที่โจทก์ประสงค์ให้ลงโทษ ศาลจะลงโทษจำเลยไม่ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคสาม
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานยักยอกทรัพย์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352 วรรคสอง เมื่อศาลเห็นว่าเป็นความผิดฐานลักทรัพย์ ข้อเท็จจริงที่ปรากฏในทางพิจารณาจึงไม่ใช่เรื่องที่โจทก์ประสงค์ให้ลงโทษ ศาลจะลงโทษจำเลยไม่ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคสาม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 159/2512 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การยักยอกทรัพย์ vs ลักทรัพย์: การครอบครองทรัพย์ที่ไม่สามารถจับได้
ผู้เสียหายจับกระบือไม่ได้เพราะติดอยู่ในฝูงอื่นซึ่งอยู่บนเขาและเป็นทำเลเลี้ยงมิใช่เพริดไปจนพ้นการติดตาม ดังนี้ ตามกฎหมายต้องถือว่าผู้เสียหายยังครอบครองกระบือตัวนั้นอยู่เพราะผู้เสียหายยังไม่ได้สละการครอบครองกระบือตัวนั้นการที่จำเลยยิงกระบือของผู้เสียหายตายและชำแหละเอาเนื้อกระบือไปโดยไม่ได้รับอนุญาตจากผู้เสียหายเป็นการเอาไปโดยทุจริต เป็นการกระทำผิดฐานลักทรัพย์ส่วนการที่จำเลยชำแหละเนื้อกระบือเอาไป ก็เป็นการครอบครอง เพราะยึดถือเพื่อตนแต่เป็นผลภายหลังการที่จำเลยลักกระบือนั้นแล้วไม่เป็นความผิดฐานยักยอกทรัพย์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352 วรรคสอง
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานยักยอกทรัพย์ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 352 วรรคสอง เมื่อศาลเห็นว่าเป็นความผิดฐานลักทรัพย์ข้อเท็จจริงที่ปรากฏในทางพิจารณาจึงไม่ใช่เรื่องที่โจทก์ประสงค์ให้ลงโทษศาลจะลงโทษจำเลยไม่ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคสาม
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานยักยอกทรัพย์ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 352 วรรคสอง เมื่อศาลเห็นว่าเป็นความผิดฐานลักทรัพย์ข้อเท็จจริงที่ปรากฏในทางพิจารณาจึงไม่ใช่เรื่องที่โจทก์ประสงค์ให้ลงโทษศาลจะลงโทษจำเลยไม่ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคสาม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 159/2512
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การครอบครองสัตว์ การลักทรัพย์ และความแตกต่างระหว่างฐานความผิดยักยอกทรัพย์
ผู้เสียหายจับกระบือไม่ได้.เพราะติดอยู่ในฝูงอื่นซึ่งอยู่บนเขาและเป็นทำเลเลี้ยงมิใช่เพริดไปจนพ้นการติดตาม. ดังนี้ ตามกฎหมายต้องถือว่าผู้เสียหายยังครอบครองกระบือตัวนั้นอยู่. เพราะผู้เสียหายยังไม่ได้สละการครอบครองกระบือตัวนั้น. การที่จำเลยยิงกระบือของผู้เสียหายตายและชำแหละเอาเนื้อกระบือไปโดยไม่ได้รับอนุญาตจากผู้เสียหาย.เป็นการเอาไปโดยทุจริต. เป็นการกระทำผิดฐานลักทรัพย์.ส่วนการที่จำเลยชำแหละเนื้อกระบือเอาไป. ก็เป็นการครอบครอง เพราะยึดถือเพื่อตน. แต่เป็นผลภายหลังการที่จำเลยลักกระบือนั้นแล้ว. ไม่เป็นความผิดฐานยักยอกทรัพย์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352 วรรคสอง.
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานยักยอกทรัพย์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352 วรรคสอง. เมื่อศาลเห็นว่าเป็นความผิดฐานลักทรัพย์. ข้อเท็จจริงที่ปรากฏในทางพิจารณาจึงไม่ใช่เรื่องที่โจทก์ประสงค์ให้ลงโทษ. ศาลจะลงโทษจำเลยไม่ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคสาม.
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานยักยอกทรัพย์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352 วรรคสอง. เมื่อศาลเห็นว่าเป็นความผิดฐานลักทรัพย์. ข้อเท็จจริงที่ปรากฏในทางพิจารณาจึงไม่ใช่เรื่องที่โจทก์ประสงค์ให้ลงโทษ. ศาลจะลงโทษจำเลยไม่ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคสาม.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 82/2512
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องซ้ำและผลของสัญญายอมความ: ศาลยกฟ้องในส่วนที่เกี่ยวข้องกับสัญญาเดิม แต่เปิดทางบังคับคดี
ตามฟ้องโจทก์กล่าวหาว่าจำเลยบุกรุกเข้าไปขุดดินทำไร่ไถนาในที่ดินของโจทก์ภายในเขตเสาหินที่เจ้าพนักงานปักไว้. ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย. จำเลยให้การต่อสู้ว่าจำเลยไม่รู้แนวเขตที่ของโจทก์จำเลยแน่ชัด. จำเลยเข้าใจว่าเป็นเขตที่ดินของตนเอง ไม่มีเจตนาบุกรุกที่ดินโจทก์.ดังนี้ จำเลยจะมายกข้อต่อสู้ในชั้นฎีกาว่าโจทก์ไม่มีสิทธิเรียกค่าเสียหาย. เพราะโจทก์ยังไม่ได้เข้าครอบครองที่ดินส่วนของโจทก์. เนื่องจากยังมิได้มีการทำสัญญาแบ่งแยกนั้นหาได้ไม่. เพราะเป็นข้อที่มิได้กล่าวอ้างมาแล้วในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์. และทั้งมิใช่ปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยแต่อย่างใด.
โจทก์เคยเป็นความกับจำเลยมาก่อนในคดีแดงที่ 211/2505ของศาลจังหวัดนครปฐม. ซึ่งผลที่สุดได้ตกลงทำสัญญายอมความแบ่งที่พิพาทกัน. และศาลได้พิพากษาตามสัญญายอมอันถึงที่สุดแล้วเช่นนี้. เมื่อปรากฏว่าจำเลยขัดขืนไม่ยอมไปทำสัญญาแบ่งแยกที่ดินซึ่งเจ้าพนักงานที่ดินได้ไปดำเนินการรังวัดแบ่งแยกต่อสำนักงานทะเบียนที่ดิน. ก็ชอบที่โจทก์จะดำเนินการบังคับคดีให้มีการปฏิบัติตามข้อตกลงในคดีเดิมนั้นเอง. การที่โจทก์มาฟ้องจำเลยให้ไปทำสัญญาแบ่งแยกที่ดินอันเป็นประเด็นเกี่ยวกับกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทรายเดียวกันนี้อีก. จึงเป็นฟ้องซ้ำกับคดีเดิมดังกล่าวตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148.
โจทก์เคยเป็นความกับจำเลยมาก่อนในคดีแดงที่ 211/2505ของศาลจังหวัดนครปฐม. ซึ่งผลที่สุดได้ตกลงทำสัญญายอมความแบ่งที่พิพาทกัน. และศาลได้พิพากษาตามสัญญายอมอันถึงที่สุดแล้วเช่นนี้. เมื่อปรากฏว่าจำเลยขัดขืนไม่ยอมไปทำสัญญาแบ่งแยกที่ดินซึ่งเจ้าพนักงานที่ดินได้ไปดำเนินการรังวัดแบ่งแยกต่อสำนักงานทะเบียนที่ดิน. ก็ชอบที่โจทก์จะดำเนินการบังคับคดีให้มีการปฏิบัติตามข้อตกลงในคดีเดิมนั้นเอง. การที่โจทก์มาฟ้องจำเลยให้ไปทำสัญญาแบ่งแยกที่ดินอันเป็นประเด็นเกี่ยวกับกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทรายเดียวกันนี้อีก. จึงเป็นฟ้องซ้ำกับคดีเดิมดังกล่าวตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148.