พบผลลัพธ์ทั้งหมด 223 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2350/2515
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเบิกความเท็จต่อศาลต้องแสดงให้เห็นถึงความสำคัญในคดี มิเช่นนั้นขาดองค์ประกอบความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 177
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเบิกความอันเป็นเท็จต่อศาลในการพิจารณาคดี โดยกล่าวในฟ้องเพียงว่า การเบิกความอันเป็นเท็จของจำเลยดังกล่าวนั้น เป็นข้อสำคัญในคดีแต่ไม่ได้บรรยาย ให้เห็นว่าเป็นข้อสำคัญอย่างไร ฟ้องของโจทก์จึงไม่พอให้ฟังว่า คำเบิกความของจำเลยนั้น เป็นข้อสำคัญในคดีอันควรมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 177 แม้จำเลยจะให้การรับสารภาพ ศาลก็พิพากษายกฟ้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2350/2515 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเบิกความเท็จในคดีอาญา ต้องแสดงให้เห็นว่าข้อความเท็จนั้นเป็นประเด็นสำคัญในคดี มิเช่นนั้นไม่ถือเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 177
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเบิกความอันเป็นเท็จต่อศาลในการพิจารณาคดี โดยกล่าวในฟ้องเพียงว่า การเบิกความอันเป็นเท็จของจำเลยดังกล่าวนั้น เป็นข้อสำคัญในคดีแต่ไม่ได้บรรยายให้เห็นว่าเป็นข้อสำคัญอย่างไร ฟ้องของโจทก์จึงไม่พอให้ฟังว่า คำเบิกความของจำเลยนั้น เป็นข้อสำคัญในคดีอันควรมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 177แม้จำเลยจะให้การรับสารภาพ ศาลก็พิพากษายกฟ้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 467/2512 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การนำสืบการชำระดอกเบี้ยด้วยการมอบที่ดิน แม้ไม่มีหลักฐานการมอบให้ทำกินต่างดอกเบี้ย
แม้ในสัญญากู้จะเขียนว่า ได้เอาที่ไร่ให้โจทก์ไว้เป็นประกัน โดยไม่ปรากฏว่าได้มอบที่ไร่ให้ทำกินต่างดอกเบี้ยก็ตาม จำเลยก็นำสืบได้ เพราะเป็นการนำสืบการชำระเงินดอกเบี้ย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 467/2512 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การนำสืบการชำระดอกเบี้ยจากพยานบุคคล แม้ไม่มีหลักฐานการมอบที่ดินเป็นประกัน
แม้ในสัญญากู้จะเขียนว่า ได้เอาที่ไร่ให้โจทก์ไว้เป็นประกัน โดยไม่ปรากฏว่าได้มอบที่ไร่ให้ทำกินต่างดอกเบี้ยก็ตามจำเลยก็นำสืบได้ เพราะเป็นการนำสืบการชำระเงินดอกเบี้ย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 467/2512
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การนำสืบชำระดอกเบี้ยด้วยการมอบที่ดิน แม้ไม่มีหลักฐานการมอบให้ทำกินต่างดอกเบี้ย ก็ใช้ได้
แม้ในสัญญากู้จะเขียนว่า ได้เอาที่ไร่ให้โจทก์ไว้เป็นประกัน โดยไม่ปรากฏว่าได้มอบที่ไร่ให้ทำกินต่างดอกเบี้ยก็ตาม. จำเลยก็นำสืบได้ เพราะเป็นการนำสืบการชำระเงินดอกเบี้ย.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 313/2512 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การสืบพยานบุคคลแทนเอกสารที่หายในคดีแพ่ง การขออนุญาตศาล และการพิจารณาตามรูปคดี
โจทก์ฟ้องเรียกเงินที่จำเลยกู้ไปจากโจทก์ จำเลยได้ต่อสู้ว่าจำเลยได้ชำระต้นเงินให้โจทก์ครบแล้ว โจทก์ออกใบเสร็จให้แก่จำเลยไว้เป็นหลักฐาน ฉะนั้นการที่จำเลยขอสืบพยานบุคคลในข้อที่ว่า ใบเสร็จรับเงินที่โจทก์ออกให้แก่จำเลยหายไป 6 ฉบับ จึงไม่ใช่ประเด็นแห่งคดี เพราะประเด็นแห่งคดีมีว่า จำเลยได้ชำระต้นเงินให้แก่โจทก์ครบตามคำให้การโดยมีหลักฐานเป็นหนังสือลงลายมือชื่อโจทก์ซึ่งจำเลยได้ให้การไว้แล้วหรือไม่ จำเลยจึงไม่ต้องยกข้อเท็จจริงที่ว่า ใบเสร็จที่โจทก์ออกให้แก่จำเลยได้หายไปไว้ในคำให้การ เพราะเป็นวิธีการนำสืบพยานบุคคลแทนเอกสารที่หายตามกฎหมายวิธีสบัญญัติ เมื่อหลักฐานที่ต่อสู้ได้หายไป จำเลยมีสิทธิขออนุญาตศาลนำพยานบุคคลมาสืบแทนเอกสารที่หายไปได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 93(2) โดยกฎหมายไม่ได้บัญญัติว่า จำเลยจะต้องขออนุญาตศาลเมื่อใด คดีนี้ เมื่อศาลสืบตัวจำเลยแล้ว จำเลยแถลงขอสืบพยานจำเลยต่อไปในเรื่องใบเสร็จรับเงินที่โจทก์ออกให้แก่จำเลยไว้หายไป 6 ฉบับ ถือได้ว่าจำเลยขออนุญาตสืบพยานบุคคลแทนพยานเอกสารที่หายไปตามกฎหมายดังกล่าวแล้ว.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 313/2512 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การสืบพยานแทนเอกสารหายในคดีแพ่ง: จำเลยมีสิทธิขอสืบพยานบุคคลแทนเอกสารใบเสร็จที่หายไปได้หากมีเหตุผล
โจทก์ฟ้องเรียกเงินที่จำเลยกู้ไปจากโจทก์จำเลยได้ต่อสู้ว่าจำเลยได้ชำระต้นเงินให้โจทก์ครบแล้วโจทก์ออกใบเสร็จให้แก่จำเลยไว้เป็นหลักฐานฉะนั้นการที่จำเลยขอสืบพยานบุคคลในข้อที่ว่าใบเสร็จรับเงินที่โจทก์ออกให้แก่จำเลยหายไป 6 ฉบับ จึงไม่ใช่ประเด็นแห่งคดีเพราะประเด็นแห่งคดีมีว่า จำเลยได้ชำระต้นเงินให้แก่โจทก์ครบตามคำให้การโดยมีหลักฐานเป็นหนังสือลงลายมือชื่อโจทก์ซึ่งจำเลยได้ให้การไว้แล้วหรือไม่ จำเลยจึงไม่ต้องยกข้อเท็จจริงที่ว่า ใบเสร็จที่โจทก์ออกให้แก่จำเลยได้หายไปไว้ในคำให้การ เพราะเป็นวิธีการนำสืบพยานบุคคลแทนเอกสารที่หายตามกฎหมายวิธีสบัญญัติ เมื่อหลักฐานที่ต่อสู้ได้หายไป จำเลยมีสิทธิขออนุญาตศาลนำพยานบุคคลมาสืบแทนเอกสารที่หายไปได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 93(2) โดยกฎหมายไม่ได้บัญญัติว่า จำเลยจะต้องขออนุญาตศาลเมื่อใดคดีนี้ เมื่อศาลสืบตัวจำเลยแล้วจำเลยแถลงขอสืบพยานจำเลยต่อไปในเรื่องใบเสร็จรับเงินที่โจทก์ออกให้แก่จำเลยไว้หายไป 6 ฉบับ ถือได้ว่าจำเลยขออนุญาตสืบพยานบุคคลแทนพยานเอกสารที่หายไปตามกฎหมายดังกล่าวแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 313/2512
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การสืบพยานแทนเอกสารหาย: จำเลยมีสิทธิขอสืบพยานบุคคลแทนใบเสร็จที่หายไปได้ แม้ไม่ได้ยกประเด็นในคำให้การ
โจทก์ฟ้องเรียกเงินที่จำเลยกู้ไปจากโจทก์. จำเลยได้ต่อสู้ว่าจำเลยได้ชำระต้นเงินให้โจทก์ครบแล้ว. โจทก์ออกใบเสร็จให้แก่จำเลยไว้เป็นหลักฐาน. ฉะนั้นการที่จำเลยขอสืบพยานบุคคลในข้อที่ว่า. ใบเสร็จรับเงินที่โจทก์ออกให้แก่จำเลยหายไป 6 ฉบับ. จึงไม่ใช่ประเด็นแห่งคดี.เพราะประเด็นแห่งคดีมีว่า จำเลยได้ชำระต้นเงินให้แก่โจทก์ครบตามคำให้การโดยมีหลักฐานเป็นหนังสือลงลายมือชื่อโจทก์ซึ่งจำเลยได้ให้การไว้แล้วหรือไม่. จำเลยจึงไม่ต้องยกข้อเท็จจริง.ที่ว่า ใบเสร็จที่โจทก์ออกให้แก่จำเลยได้หายไปไว้ในคำให้การ. เพราะเป็นวิธีการนำสืบพยานบุคคลแทนเอกสารที่หายตามกฎหมายวิธีสบัญญัติ. เมื่อหลักฐานที่ต่อสู้ได้หายไป จำเลยมีสิทธิขออนุญาตศาลนำพยานบุคคลมาสืบแทนเอกสารที่หายไปได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 93(2). โดยกฎหมายไม่ได้บัญญัติว่า จำเลยจะต้องขออนุญาตศาลเมื่อใด. คดีนี้ เมื่อศาลสืบตัวจำเลยแล้ว. จำเลยแถลงขอสืบพยานจำเลยต่อไปในเรื่องใบเสร็จรับเงินที่โจทก์ออกให้แก่จำเลยไว้หายไป 6 ฉบับ. ถือได้ว่าจำเลยขออนุญาตสืบพยานบุคคลแทนพยานเอกสารที่หายไปตามกฎหมายดังกล่าวแล้ว.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 287/2512
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับผิดของกรมที่ดินในคดีละเมิดจากการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ โดยศาลฎีกาวินิจฉัยว่าการวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์นอกประเด็น
ในคดีละเมิด โจทก์บรรยายฟ้องเพื่อแสดงว่าจำเลยที่ 2(กรมที่ดิน) ต้องรับผิดใช้ค่าเสียหายร่วมกับจำเลยที่ 1ต่อโจทก์. คงมีตามฟ้องข้อ 3 ข้อเดียวว่า ศ.มอบโฉนดที่ดินไว้กับจำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานที่ดิน.ในการปฏิบัติหน้าที่ราชการจำเลยที่ 2 ที่ 3 ยอมรับหนังสือมอบอำนาจปลอมที่ว่า ศ.มอบอำนาจให้ ม.มีอำนาจขายกรรมสิทธิ์ที่ดินได้.โดยมิได้สอบถาม ศ.เจ้าของที่ดินให้ทราบเหตุผลว่า. เหตุใดจึงกลายเป็นมอบอำนาจให้ ม.มีอำนาจขายกรรมสิทธิ์ที่ดินได้. ทั้งๆ ที่ ศ.มามอบโฉนดให้แก่จำเลยที่ 3 ด้วยตนเอง. ดังนี้คดีจึงมีประเด็นเพียงว่า จำเลยที่ 2 จะต้องรับผิดต่อโจทก์เนื่องจากการปฏิบัติหน้าที่ของจำเลยที่ 3 หรือไม่เท่านั้น. ซึ่งศาลชั้นต้นก็ได้วินิจฉัยชี้ขาดมาแล้วว่า.จำเลยที่ 3 มิได้ประมาทเลินเล่อ. ทั้งคดีเฉพาะตัวจำเลยที่ 3 ก็ได้ยุติไปแล้วตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น. เมื่อเป็นดังนี้จำเลยที่ 2 จึงไม่ควรรับผิดต่อโจทก์.เพราะการกระทำของจำเลยที่ 3 แต่อย่างใด. ฉะนั้นการที่ศาลอุทธรณ์ได้ยกเอาเหตุแห่งการปฏิบัติหน้าที่ราชการที่กระทำไปโดยความบกพร่องของเจ้าหน้าที่หมวดคำขอ. ซึ่งเป็นผู้รับโฉนดไว้จาก ศ.เพื่อทำการแบ่งแยก. แต่แล้วกลับมอบให้ธ.ไป จนเป็นเหตุให้ท.กับพวกสมคบกันนำใบมอบอำนาจไปจดทะเบียนการซื้อขายและขายฝากต่อๆ ไปจนสำเร็จ. โดยเจ้าหน้าที่ผู้นั้นควรจะได้มอบโฉนดให้แก่ ศ.รับไปด้วยตนเอง.หรือเรียกเอาใบรับโฉนดที่ออกให้แก่ ศ.กลับคืนมาไว้เป็นหลักฐานก็ดี. และการที่ศาลอุทธรณ์ยกเอาเหตุแห่งการปฏิบัติหน้าที่ราชการของ ป.และ ว.เจ้าหน้าที่หมวดรักษาทะเบียน. โดยความบกพร่องในการตรวจสอบลายเซ็นชื่อของ ศ.ในใบมอบอำนาจปลอมขึ้นอ้าง.เพื่อให้จำเลยที่ 2 ต้องรับผิดร่วมกับจำเลยที่ 1 ก็ดี.จึงเป็นการวินิจฉัยนอกประเด็นที่โจทก์บรรยายฟ้องมาทั้งสิ้น.เป็นการไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142วรรคแรก.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 287/2512 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
จำกัดขอบเขตความรับผิดของกรมที่ดินในคดีละเมิดจากการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ระดับล่าง ศาลฎีกาเน้นการพิจารณาตามประเด็นที่โจทก์ฟ้อง
ในคดีละเมิด โจทก์บรรยายฟ้องเพื่อแสดงว่าจำเลยที่ 2 (กรมที่ดิน) ต้องรับผิดใช้ค่าเสียหายร่วมกับจำเลยที่ 1ต่อโจทก์คงมีตามฟ้องข้อ 3 ข้อเดียวว่า ศ. มอบโฉนดที่ดินไว้กับจำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานที่ดินในการปฏิบัติหน้าที่ราชการจำเลยที่ 2 ที่ 3 ยอมรับหนังสือมอบอำนาจปลอมที่ว่า ศ. มอบอำนาจให้ ม. มีอำนาจขายกรรมสิทธิ์ที่ดินได้โดยมิได้สอบถาม ศ. เจ้าของที่ดินให้ทราบเหตุผลว่าเหตุใดจึงกลายเป็นมอบอำนาจให้ ม. มีอำนาจขายกรรมสิทธิ์ที่ดินได้ ทั้งๆ ที่ ศ. มามอบโฉนดให้แก่จำเลยที่ 3 ด้วยตนเองดังนี้คดีจึงมีประเด็นเพียงว่า จำเลยที่ 2 จะต้องรับผิดต่อโจทก์เนื่องจากการปฏิบัติหน้าที่ของจำเลยที่ 3 หรือไม่เท่านั้น ซึ่งศาลชั้นต้นก็ได้วินิจฉัยชี้ขาดมาแล้วว่าจำเลยที่ 3 มิได้ประมาทเลินเล่อทั้งคดีเฉพาะตัวจำเลยที่ 3 ก็ได้ยุติไปแล้วตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นเมื่อเป็นดังนี้จำเลยที่ 2 จึงไม่ควรรับผิดต่อโจทก์เพราะการกระทำของจำเลยที่ 3 แต่อย่างใดฉะนั้นการที่ศาลอุทธรณ์ได้ยกเอาเหตุแห่งการปฏิบัติหน้าที่ราชการที่กระทำไปโดยความบกพร่องของเจ้าหน้าที่หมวดคำขอซึ่งเป็นผู้รับโฉนดไว้จาก ศ. เพื่อทำการแบ่งแยก แต่แล้วกลับมอบให้ ธ. ไป จนเป็นเหตุให้ ท.กับพวกสมคบกันนำใบมอบอำนาจไปจดทะเบียนการซื้อขายและขายฝากต่อๆ ไปจนสำเร็จ โดยเจ้าหน้าที่ผู้นั้นควรจะได้มอบโฉนดให้แก่ ศ. รับไปด้วยตนเองหรือเรียกเอาใบรับโฉนดที่ออกให้แก่ ศ. กลับคืนมาไว้เป็นหลักฐานก็ดี และการที่ศาลอุทธรณ์ยกเอาเหตุแห่งการปฏิบัติหน้าที่ราชการของ ป. และ ว. เจ้าหน้าที่หมวดรักษาทะเบียน โดยความบกพร่องในการตรวจสอบลายเซ็นชื่อของ ศ. ในใบมอบอำนาจปลอมขึ้นอ้างเพื่อให้จำเลยที่ 2 ต้องรับผิดร่วมกับจำเลยที่ 1 ก็ดีจึงเป็นการวินิจฉัยนอกประเด็นที่โจทก์บรรยายฟ้องมาทั้งสิ้นเป็นการไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142วรรคแรก