คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
บัญญัติ สุขารมณ์

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 389 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1048/2512 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจตนาทำร้าย vs. เจตนาฆ่า: การประเมินจากพฤติการณ์และบาดแผล
จำเลยโต้เถียงทะเลากับผู้เสียหายก่อนแล้วผู้เสียหายใช้ของแข็งตีศีรษะจำเลย 1 ที จำเลยไปหยิบมีดโต้วิ่งเข้าหาผู้เสียหาย ผู้เสียหายวิ่งหนี จำเลยไล่ตาม ผู้เสียหายหกล้ม จำเลยตามทันก็ใช้มีดโต้ฟันผู้เสียหายมีบาดแผล 2 แห่ง คือ ที่ข้อศอกซ้ายและที่ไหล่ขวาแห่งละแผล แล้วจำเลยก็กลับไปเองโดยไม่ได้ทำร้ายซ้ำเติมอีก ดั้งนี้แสดงว่าจำเลยได้ฟันผู้เสียหายโดยฉุกละหุก เนื่องจากผู้เสียหายตีศีรษะจำเลยแตก แม้อาวุธมีดที่จำเลยใช้ฟันผู้เสียหายจะเป็นมีดที่ใหญ่ยาวถึงศอกเศษ อันอาจทำให้ผู้เสียหายถึงตายได้ก็ดี แต่จำเลยก็ใช้ฟันผู้เสียหาย 2 แผลในที่ไม่สำคัญเท่านั้น แล้วจำเลยก็หยุดยั้งและกลับไปเอง ทั้งที่จำเลยมีโอกาสที่จะฟันผู้เสียหายซ้ำในที่สำคัญ ๆ ให้ถึงตายได้ บาดแผลที่ผู้เสียหายได้รับก็รักษาหายภายในเวลาหนึ่งเดือน เพียงเท่านี้จึงยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยฟันทำร้ายผู้เสียหายโดยมีเจตนาฆ่า คงฟังได้เพียงว่าจำเลยมีเจตนาทำร้ายผู้เสียหายเท่านั้น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 966/2512

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การแก้ไขคำฟ้อง: การลด/เพิ่มทุนทรัพย์/เปลี่ยนข้อหา ต้องไม่ขัดประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 179
โจทก์อาจแก้ไขคำฟ้องที่เสนอต่อศาลแต่แรกได้โดยเพิ่มหรือลดจำนวนทุนทรัพย์หรือราคาทรัพย์สินที่พิพาทในฟ้องเดิม. หรือสละข้อหาในฟ้องเดิมเสียบางข้อ. หรือเพิ่มเติมฟ้องเดิมให้บริบูรณ์. โดยวิธีเสนอคำฟ้องเพิ่มเติม.
คำฟ้องเดิมของโจทก์เรียกร้องให้จำเลยใช้เงินแก่โจทก์เป็นค่าสินไหมทดแทนกรณีละเมิดที่จำเลยฟ้องโจทก์เรียกหนี้6,460 บาท. ซึ่งโจทก์ได้ชำระหนี้ให้จำเลยด้วยเช็คของผู้มีชื่อไปแล้ว. เป็นเหตุให้โจทก์แพ้คดีต้องเสียหายถูกยึดทรัพย์ เสียค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดี และต้องเสียเกียรติยศชื่อเสียง รวมค่าเสียหายทั้งสิ้น 3 แสนบาทเศษ. ภายหลังโจทก์ยื่นคำร้องขอแก้ไขคำฟ้องเดิมว่า โจทก์ขอถอนคำขอที่ให้บังคับจำเลยใช้ค่าสินไหมทดแทนในฟ้องเดิมเสียทั้งสิ้น. โดยมีคำขอใหม่ให้บังคับจำเลยใช้เงินค่าเช็ค6,460 บาท. ซึ่งโจทก์ตั้งข้อหาว่าจำเลยยักยอกเช็คที่โจทก์นำเอาไปเป็นประกันชำระหนี้ไปเพื่อประโยชน์ส่วนตัวหรือของผู้อื่น อันจำเลยจะต้องรับผิดชอบใช้เงินแทนให้โจทก์.จำนวนทุนทรัพย์ตามคำร้องดังกล่าวมิได้รวมอยู่ในจำนวนค่าสินไหมทดแทนตามคำฟ้องเดิม. แต่เป็นการตั้งทุนทรัพย์เรียกร้องขึ้นใหม่จึงมิใช่เป็นการขอลดจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทในฟ้องเดิมตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 179(1). และการที่โจทก์ตั้งข้อหาว่า จำเลยยักยอกเช็ค ขอให้จำเลยใช้เงินค่าเช็คนั้น. ก็เป็นการตั้งข้อหาใหม่เปลี่ยนแปลงข้อหาในฟ้องเดิม. มิใช่เป็นการสละข้อหาในฟ้องเดิมเสียบางข้อ หรือเพิ่มเติมฟ้องเดิมให้บริบูรณ์ โดยวิธีเสนอคำฟ้องเพิ่มเติมตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา179(2).

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 966/2512 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การแก้ไขคำฟ้อง: การลด/เพิ่มทุนทรัพย์/เปลี่ยนแปลงข้อหา ต้องไม่ขัดต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 179
โจทก์อาจแก้ไขคำฟ้องที่เสนอต่อศาลแต่แรกได้โดยเพิ่มหรือลดจำนวนทุนทรัพย์หรือราคาทรัพย์สินที่พิพาทในฟ้องเดิมหรือสละข้อหาในฟ้องเดิมเสียบางข้อหรือเพิ่มเติมฟ้องเดิมให้บริบูรณ์โดยวิธีเสนอคำฟ้องเพิ่มเติม
คำฟ้องเดิมของโจทก์เรียกร้องให้จำเลยใช้เงินแก่โจทก์เป็นค่าสินไหมทดแทนกรณีละเมิดที่จำเลยฟ้องโจทก์เรียกหนี้ 6,460 บาท ซึ่งโจทก์ได้ชำระหนี้ให้จำเลยด้วยเช็คของผู้มีชื่อไปแล้ว เป็นเหตุให้โจทก์แพ้คดีต้องเสียหายถูกยึดทรัพย์ เสียค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดี และต้องเสียเกียรติยศชื่อเสียง รวมค่าเสียหายทั้งสิ้น 3 แสนบาทเศษ ภายหลังโจทก์ยื่นคำร้องขอแก้ไขคำฟ้องเดิมว่า โจทก์ขอถอนคำขอที่ให้บังคับจำเลยใช้ค่าสินไหมทดแทนในฟ้องเดิมเสียทั้งสิ้น โดยมีคำขอใหม่ให้บังคับจำเลยใช้เงินค่าเช็ค6,460 บาท ซึ่งโจทก์ตั้งข้อหาว่าจำเลยยักยอกเช็คที่โจทก์นำเอาไปเป็นประกันชำระหนี้ไปเพื่อประโยชน์ส่วนตัวหรือของผู้อื่น อันจำเลยจะต้องรับผิดชอบใช้เงินแทนให้โจทก์จำนวนทุนทรัพย์ตามคำร้องดังกล่าวมิได้รวมอยู่ในจำนวนค่าสินไหมทดแทนตามคำฟ้องเดิม แต่เป็นการตั้งทุนทรัพย์เรียกร้องขึ้นใหม่จึงมิใช่เป็นการขอลดจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทในฟ้องเดิมตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 179(1) และการที่โจทก์ตั้งข้อหาว่า จำเลยยักยอกเช็ค ขอให้จำเลยใช้เงินค่าเช็คนั้นก็เป็นการตั้งข้อหาใหม่เปลี่ยนแปลงข้อหาในฟ้องเดิม มิใช่เป็นการสละข้อหาในฟ้องเดิมเสียบางข้อ หรือเพิ่มเติมฟ้องเดิมให้บริบูรณ์ โดยวิธีเสนอคำฟ้องเพิ่มเติมตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา179(2)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 966/2512 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การแก้ไขคำฟ้อง: การลด/เพิ่มทุนทรัพย์/เปลี่ยนแปลงข้อหา ต้องไม่กระทบทุนทรัพย์เดิมและข้อหาเดิม
โจทก์อาจแก้ไขคำฟ้องที่เสนอต่อศาลแต่แรกได้โดยเพิ่มหรือลดจำนวนทุนทรัพย์หรือราคาทรัพย์สินที่พิพาทในฟ้องเดิม หรือสละข้อหาในฟ้องเดิมเสียบ้างข้อ หรือเพิ่มเติมฟ้องเดิมให้บริบูรณ์ โดยวิธีเสนอคำฟ้องเพิ่มเติม
คำฟ้องเดิมของโจทก์เรียกร้องให้จำเลยใช้เงินแก่โจทก์เป็นค่าสินไหมทดแทน กรณีละเมิดที่จำเลยฟ้องโจทก์เรียกหนี้ 6,460 บาท ซึ่งโจทก์ได้ชำระหนี้ให้จำเลยด้วยเช็คของผู้มีชื่อไปแล้ว เป็นเหตุให้โจทก์แพ้คดีต้องเสียหาย ถูกยึดทรัพย์ เสียค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดี และต้องเสียเกียรติยศชื่อเสียง รวมค่าเสียหายทั้งสิ้น 3 แสนบาทเศษ ภายหลังโจทก์ยื่นคำร้องขอแก้ไขคำฟ้องเดิมว่า โจทก์ขอถอนคำขอที่ให้บังคับจำเลยใช้ค่าสินไหมทดแทนในฟ้องเดิมเสียทั้งสิ้น โดยมีคำขอใหม่ให้บังคับจำเลยใช้เงินค่าเช็ค 6,460 บาท ซึ่งโจทก์ตั้งข้อหาว่าจำเลยยักยอกเช็คที่โจทก์นำเอาไปเป็นประกันชำระหนี้ไปเพื่อประโยชน์ส่วนตัวหรือของผู้อื่น อันจำเลยจะต้องรับผิดชอบใช้เงินแทนให้โจทก์ จำนวนทุนทรัพย์ตามคำร้องดังกล่าวมิได้รวมอยู่ในจำนวนค่าสินไหมทดแทนตามคำฟ้องเดิม แต่เป็นการตั้งทุนทรัพย์เรียกร้องขึ้นใหม่ จึงมิใช่เป็นการขอลดจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทในฟ้องเดิมตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 179 (1) และการที่โจทก์ตั้งข้อหาว่า จำเลยยักยอกเช็ค ขอให้จำเลยใช้เงินค่าเช็คนั้น ก็เป็นการตั้งข้อหาใหม่เปลี่ยนแปลงข้อหาในฟ้องเดิม มิใช่เป็นการสละข้อหาในฟ้องเดิมเสียบางข้อ หรือเพิ่มเติมฟ้องเดิมให้บริบูรณ์ โดยวิธีเสนอคำฟ้องเพิ่มเติมตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 179 (2)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 962/2512 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การป้องกันตนโดยชอบด้วยกฎหมาย: การใช้อาวุธปืนเพื่อป้องกันภัยคุกคามในเคหสถาน
ผู้ตายและพวกเข้าไปอยู่ใกล้ๆ เรือนจำเลยในยามวิกาลโดยไม่บอกกล่าวเล่าขานแก่จำเลยผู้เป็นเจ้าของบ้านถึงเหตุจำเป็นที่ต้องเข้ามาและกลับใช้อาวุธปืนซึ่งเป็นอาวุธร้ายแรงยิงขึ้นหลายนัดเช่นนี้ ย่อมมีเหตุสมควรให้จำเลยสำคัญผิดคิดว่าผู้ตายและพวกเข้ามาโดยเจตนาประทุษร้ายต่อจำเลยจำต้องยิงไปเพื่อป้องกันตนและทรัพย์สินของจำเลยการกระทำของจำเลยดังกล่าวจึงเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 68,62

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 962/2512

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การป้องกันตนโดยชอบด้วยกฎหมาย: การกระทำเพื่อป้องกันชีวิตและทรัพย์สินเมื่อถูกคุกคามในเคหสถาน
ผู้ตายและพวกเข้าไปอยู่ใกล้ๆ เรือนจำเลยในยามวิกาลโดยไม่บอกกล่าวเล่าขานแก่จำเลยผู้เป็นเจ้าของบ้านถึงเหตุจำเป็นที่ต้องเข้ามา. และกลับใช้อาวุธปืนซึ่งเป็นอาวุธร้ายแรงยิงขึ้นหลายนัด. เช่นนี้ ย่อมมีเหตุสมควรให้จำเลยสำคัญผิดคิดว่าผู้ตายและพวกเข้ามาโดยเจตนาประทุษร้ายต่อจำเลย. จำต้องยิงไปเพื่อป้องกันตนและทรัพย์สินของจำเลย. การกระทำของจำเลยดังกล่าวจึงเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 68,62.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 962/2512 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การป้องกันตนโดยชอบด้วยกฎหมาย: การใช้กำลังป้องกันการบุกรุกในเคหสถานยามวิกาล
ผู้ตายและพวกเข้าไปอยู่ใกล้ ๆ เรือนจำเลยในยามวิกาลโดยไม่บอกกล่าวเล่าขานแก่จำเลยผู้เป็นเจ้าของบ้านถึงเหตุจำเป็นที่ต้องเข้ามา และกลับใช้อาวุธปืนซึ่งเป็นอาวุธร้ายแรงยิงขึ้นหลายนัด เช่นนี้ ย่อมมีเหตุสมควรให้จำเลยสำคัญผิดคิดว่าผู้ตายและพวกเข้ามาโดยเจตนาประทุษร้ายต่อจำเลย จำต้องยิงไปเพื่อป้องกันตนและทรัพย์สินของจำเลย การกระทำของจำเลยดังกล่าวจึงเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 68, 62

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 831/2512 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เหตุสุดวิสัยปล้นกระบือ ผู้เช่าไม่ต้องรับผิด
การเช่ากระบือไปทำนา ถ้ามิได้ตกลงกันไว้เป็นอย่างอื่นผู้เช่าจะส่งกระบือคืนแก่ผู้ให้เช่าก็ต่อเมื่อได้เก็บเกี่ยวข้าวตลอดจนนำข้าวขึ้นยุ้งเรียบร้อยแล้วซึ่งถือว่าเสร็จฤดูทำนา ก่อนถึงกำหนดส่งกระบือคืนคนร้ายได้ปล้นเอากระบือไป สุดวิสัยของผู้เช่าจะปัดป้องขัดขวางได้ถือว่าความสูญหายของกระบือที่เช่าไม่ใช่ความผิดของผู้เช่าจำเลยผู้เช่าจึงไม่ต้องรับผิดคืนหรือใช้ราคากระบือที่เช่าตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา562

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 831/2512

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความรับผิดของผู้เช่ากระบือเมื่อเกิดเหตุสุดวิสัยก่อนส่งคืน กรณีปล้นทรัพย์
การเช่ากระบือไปทำนา. ถ้ามิได้ตกลงกันไว้เป็นอย่างอื่น. ผู้เช่าจะส่งกระบือคืนแก่ผู้ให้เช่าก็ต่อเมื่อได้เก็บเกี่ยวข้าวตลอดจนนำข้าวขึ้นยุ้งเรียบร้อยแล้ว.ซึ่งถือว่าเสร็จฤดูทำนา. ก่อนถึงกำหนดส่งกระบือคืนคนร้ายได้ปล้นเอากระบือไป สุดวิสัยของผู้เช่าจะปัดป้องขัดขวางได้. ถือว่าความสูญหายของกระบือที่เช่าไม่ใช่ความผิดของผู้เช่า. จำเลยผู้เช่าจึงไม่ต้องรับผิดคืนหรือใช้ราคากระบือที่เช่าตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา562.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 726/2512

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การขาดนัดพิจารณา: ศาลต้องมีคำสั่งแสดงการขาดนัดก่อนชี้ขาดคดี
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 197 วรรคสองเป็นบทบัญญัติถึงลักษณะของการที่จะถือว่าคู่ความขาดนัดพิจารณา. ส่วนมาตรา 202 เป็นบทบัญญัติที่กำหนดวิธีการปฏิบัติเมื่อจำเลยขาดนัดพิจารณา บทบัญญัติสองมาตรานี้ผิดแผกแตกต่างกัน.
ในกรณีที่จำเลยไม่มาศาลในวันสืบพยานและมิได้ร้องขอเลื่อนคดีหรือแจ้งเหตุขัดข้องที่ไม่มาศาลเสียก่อนลงมือสืบพยาน. ซึ่งถือว่าจำเลยขาดนัดพิจารณานั้น ศาลจำต้องมีคำสั่งว่าจำเลยขาดนัดพิจารณาเสียก่อน. แล้วจึงจะทำการพิจารณาและชี้ขาดตัดสินคดีไปฝ่ายเดียวตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 202 และมาตราต่อๆ ไปได้. หากไม่มีคำสั่งดังกล่าวเสียก่อน. ก็ไม่เป็นการพิจารณาฝ่ายเดียวตามกฎหมาย.
of 39