คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
เฉลิม ทัตภิรมย์

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 641 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1685/2512 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาโอนสิทธิการเช่าไม่สมบูรณ์ผลหากผู้รับโอนไม่สามารถทำสัญญาเช่ากับเจ้าของตึกได้ สิทธิการเช่ากลับคืนแก่ผู้ให้เช่าเดิม
ผู้เช่าทำสัญญากับผู้รับโอน ยอมโอนสิทธิการเช่าตึกให้แก่ผู้รับโอนตั้งแต่วันที่ผู้เช่ามีมติเลิกกิจการบริษัทเป็นต้นไป โดยผู้รับโอนยอมจ่ายเงินชดเชยให้ผู้เช่าจำนวนหนึ่งเมื่อผู้รับโอนได้ทำสัญญาเช่ากับเจ้าของตึกแล้ว เห็นเจตนาได้ว่าเป็นสัญญาซึ่งมีวัตถุประสงค์ให้ผู้เช่าโอนสิทธิการเช่าตึกให้ผู้รับโอนในเมื่อผู้รับโอนได้ทำสัญญาเช่ากับเจ้าของตึกแล้ว ความสำเร็จผลเป็นสัญญาผูกพันกันขึ้นอยู่กับการที่ผู้รับโอนได้ทำสัญญาเช่ากับเจ้าของตึกเป็นสำคัญ มิใช่เพียงโอนการเช่าหรือให้เช่าช่วงที่มิได้เกี่ยวข้องถึงผู้ให้เช่า
แม้ผู้เช่าจะมอบหมายให้ผู้รับโอนเก็บค่าเช่าช่วงจากผู้เช่าช่วงตึกได้ก่อนที่ผู้รับโอนจะทำสัญญาเช่ากับเจ้าของตึก แต่เมื่อผู้รับโอนไม่อาจเข้าเป็นผู้เช่าตึกได้เพราะเจ้าของตึกไม่ยอมทำสัญญาเช่ากับผู้รับโอน ทำให้สัญญาโอนสิทธิการเช่าไม่บังเกิดผล ดังนั้นการที่ผู้รับโอนเข้าเก็บค่าเช่าช่วงจากผู้เช่าช่วง ย่อมมีผลเป็นเพียงกระทำแทนผู้เช่าเท่านั้น ผู้รับโอนจึงต้องมอบค่าเช่าช่วงทีเก็บไปคืนให้ผู้เช่า โดยหักค่าใช้จ่ายซึ่งเป็นภาระในการเช่าออกเสียก่อน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1685/2512

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาโอนสิทธิการเช่าไม่สมบูรณ์ผลหากผู้รับโอนไม่สามารถทำสัญญาเช่ากับเจ้าของตึกได้ การเก็บค่าเช่าช่วงก่อนทำสัญญาเช่าถือเป็นการกระทำแทน
ผู้เช่าทำสัญญากับผู้รับโอน ยอมโอนสิทธิการเช่าตึกให้แก่ผู้รับโอนตั้งแต่วันที่ผู้เช่ามีมติเลิกกิจการบริษัทเป็นต้นไป. โดยผู้รับโอนยอมจ่ายเงินชดเชยให้ผู้เช่าจำนวนหนึ่งเมื่อผู้รับโอนได้ทำสัญญาเช่ากับเจ้าของตึกแล้ว. เห็นเจตนาได้ว่าเป็นสัญญาซึ่งมีวัตถุประสงค์ให้ผู้เช่าโอนสิทธิการเช่าตึกให้ผู้รับโอนในเมื่อผู้รับโอนได้ทำสัญญาเช่ากับเจ้าของตึกแล้ว. ความสำเร็จผลเป็นสัญญาผูกพันกันขึ้นอยู่กับการที่ผู้รับโอนได้ทำสัญญาเช่ากับเจ้าของตึกเป็นสำคัญ. มิใช่เพียงโอนการเช่าหรือให้เช่าช่วงที่มิได้เกี่ยวข้องถึงผู้ให้เช่า.
แม้ผู้เช่าจะมอบหมายให้ผู้รับโอนเก็บค่าเช่าช่วงจากผู้เช่าช่วงตึกได้ก่อนที่ผู้รับโอนจะทำสัญญาเช่ากับเจ้าของตึก.แต่เมื่อผู้รับโอนไม่อาจเข้าเป็นผู้เช่าตึกได้ เพราะเจ้าของตึกไม่ยอมทำสัญญาเช่ากับผู้รับโอน. ทำให้สัญญาโอนสิทธิการเช่าไม่บังเกิดผล. ดังนั้นการที่ผู้รับโอนเข้าเก็บค่าเช่าช่วงจากผู้เช่าช่วง ย่อมมีผลเป็นเพียงกระทำแทนผู้เช่าเท่านั้น. ผู้รับโอนจึงต้องมอบค่าเช่าช่วงทีเก็บไปคืนให้ผู้เช่า โดยหักค่าใช้จ่ายซึ่งเป็นภาระในการเช่าออกเสียก่อน.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1671/2512 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การช่วยเหลือผู้ถูกจับกุม: มาตรา 189 อาญา ไม่ครอบคลุมการกระทำหลังการจับกุม
ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 189 บัญญัติถึงการกระทำเพื่อช่วยเหลือผู้อื่น ซึ่งเป็นผู้กระทำความผิด หรือเป็นผู้ต้องหาว่ากระทำผิด ไม่ให้ต้องรับโทษหรือไม่ให้ถูกจับกุม เมื่อข้อเท็จจริงฟังว่าผู้ที่จำเลยได้ช่วยเหลือ ได้ถูกจับกุมในข้อหานั้นไปก่อนแล้ว การกระทำของจำเลยจึงไม่ต้องด้วยความผิดตามมาตรานี้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1671/2512 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การช่วยเหลือผู้ถูกจับกุม: การกระทำหลังจับกุมไม่เป็นความผิดตาม ม.189
ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 189 บัญญัติถึงการกระทำเพื่อช่วยเหลือผู้อื่น ซึ่งเป็นผู้กระทำความผิด หรือเป็นผู้ต้องหาว่ากระทำความผิด ไม่ให้ต้องรับโทษหรือไม่ให้ถูกจับกุม เมื่อข้อเท็จจริงฟังว่าผู้ที่จำเลยได้ช่วยเหลือได้ถูกจับกุมในข้อหานั้นไปก่อนแล้ว การกระทำของจำเลยจึงไม่ต้องด้วยความผิดตามมาตรานี้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1671/2512

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การช่วยเหลือผู้ถูกจับกุม: การกระทำไม่ครบองค์ประกอบความผิดตาม ม.189
ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 189 บัญญัติถึงการกระทำเพื่อช่วยเหลือผู้อื่น ซึ่งเป็นผู้กระทำความผิด หรือเป็นผู้ต้องหาว่ากระทำความผิด ไม่ให้ต้องรับโทษหรือไม่ให้ถูกจับกุม. เมื่อข้อเท็จจริงฟังว่าผู้ที่จำเลยได้ช่วยเหลือได้ถูกจับกุมในข้อหานั้นไปก่อนแล้ว การกระทำของจำเลยจึงไม่ต้องด้วยความผิดตามมาตรานี้.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1620/2512 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การแบ่งมรดกต้องมีเจตนาร่วมกัน การให้ทรัพย์สินเป็นของขวัญสงเคราะห์บุตร ไม่ใช่การแบ่งมรดก
การแบ่งมรดกระหว่างทายาทด้วยกันนั้น ทายาทจะต้องมีเจตนาร่วมกันเพื่อแบ่งมรดก บิดายกที่ดินให้บุตร 200 ตารางวา ที่ดินนี้ไม่ใช่ของนางถนอมมารดาที่ถึงแก่กรรมแต่ผู้เดียว จำเลยซึ่งเป็นบิดามีส่วนเป็นเจ้าของอยู่ด้วย การยกให้ระบุชัดว่าให้เป็นทรัพย์ส่วนตัวของบุตร ในฐานะจำเลยเป็นบิดาต้องสงเคราะห์บุตรของตนดังนี้ ยังฟังไม่ได้ว่าเป็นการแบ่งมรดกของนางถนอมภรรยาของจำเลยให้แก่บุตร
บุตรได้รับการยกให้แล้วได้เอาที่ดินไปจำนอง 2 ครั้ง จำเลยซึ่งเป็นบิดาไปไถ่คืนมา การไถ่มานั้นเพื่อเอาที่ดินเป็นของจำเลยเอง แต่ยังไม่ได้แก้ทะเบียนใส่ชื่อจำเลย บุตรเอาที่ดินไปขาย 70 ตารางวา เอาไปจำนอง 130 ตารางวา เป็นเรื่องของจำเลยผู้เป็นบิดาจะไปว่ากล่าวต่างหากไม่เกี่ยวกับมรดกของภรรยาจำเลย ซึ่งจำเลยจะขอให้หักเป็นส่วนได้ของบุตรด้วยไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1620/2512 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การแบ่งมรดกต้องมีเจตนาแบ่งร่วมกัน การให้ทรัพย์สินบุตรโดยมิใช่จากมรดก ไม่ถือเป็นการแบ่งมรดก
การแบ่งมรดกระหว่างทายาทด้วยกันนั้น ทายาทจะต้องมีเจตนาร่วมกันเพื่อแบ่งมรดก บิดายกที่ดินให้บุตร 200 ตารางวา ที่ดินนี้ไม่ใช่ของนางถนอมมารดาที่ถึงแก่กรรมแต่ผู้เดียว จำเลยซึ่งเป็นบิดามีส่วนเป็นเจ้าของอยู่ด้วย การยกให้ระบุชัดว่าให้เป็นทรัพย์ส่วนตัวของบุตร ในฐานะจำเลยเป็นบิดาต้องสงเคราะห์บุตรของตนดังนี้ ยังฟังไม่ได้ว่าเป็นการแบ่งมรดกของนางถนอมภรรยาของจำเลยให้แก่บุตร
บุตรได้รับการยกให้แล้วได้เอาที่ดินไปจำนอง 2 ครั้ง จำเลยซึ่งเป็นบิดาไปไถ่คืนมา การไถ่มานั้นเพื่อเอาที่ดินเป็นของจำเลยเอง แต่ยังไม่ได้แก้ทะเบียนใส่ชื่อจำเลย บุตรเอาที่ดินไปขาย 70 ตารางวา เอาไปจำนอง 130 ตารางวาเป็นเรื่องของจำเลยผู้เป็นบิดาจะไปว่ากล่าวต่างหากไม่เกี่ยวกับมรดกของภรรยาจำเลย ซึ่งจำเลยจะขอให้หักเป็นส่วนได้ของบุตรด้วยไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1620/2512

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การแบ่งมรดกต้องมีเจตนาเดียวกัน การให้ทรัพย์สินบุตรโดยมิใช่จากมรดก และสิทธิในการเรียกร้องมรดก
การแบ่งมรดกระหว่างทายาทด้วยกันนั้น. ทายาทจะต้องมีเจตนาร่วมกันเพื่อแบ่งมรดก. บิดายกที่ดินให้บุตร 200ตารางวา. ที่ดินนี้ไม่ใช่ของนางถนอมมารดาที่ถึงแก่กรรมแต่ผู้เดียว. จำเลยซึ่งเป็นบิดามีส่วนเป็นเจ้าของอยู่ด้วย.การยกให้ระบุชัดว่าให้เป็นทรัพย์ส่วนตัวของบุตร. ในฐานะจำเลยเป็นบิดาต้องสงเคราะห์บุตรของตนดังนี้. ยังฟังไม่ได้ว่าเป็นการแบ่งมรดกของนางถนอมภรรยาของจำเลยให้แก่บุตร.
บุตรได้รับการยกให้แล้วได้เอาที่ดินไปจำนอง 2 ครั้ง. จำเลยซึ่งเป็นบิดาไปไถ่คืนมา. การไถ่มานั้นเพื่อเอาที่ดินเป็นของจำเลยเอง แต่ยังไม่ได้แก้ทะเบียนใส่ชื่อจำเลย. บุตรเอาที่ดินไปขาย 70 ตารางวา เอาไปจำนอง 130 ตารางวาเป็นเรื่องของจำเลยผู้เป็นบิดาจะไปว่ากล่าวต่างหากไม่เกี่ยวกับมรดกของภรรยาจำเลย. ซึ่งจำเลยจะขอให้หักเป็นส่วนได้ของบุตรด้วยไม่ได้.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1554-1555/2512 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจร้องทุกข์ของผู้ดูแลทรัพย์ที่ถูกยืมไปและเกิดการยักยอก: ผู้ดูแลมีสิทธิแจ้งความดำเนินคดีอาญาได้
ถ้าข้อเท็จจริงฟังได้ว่าโจทก์ร่วมเป็นผู้ดูแลทรัพย์พิพาทไว้ จำเลยยืมทรัพย์พิพาทไปจากโจทก์ร่วม เมื่อเกิดการเสียหายขึ้นเพราะการกระทำผิดยักยอกของจำเลย โจทก์ร่วมจึงเป็นผู้เสียหายในฐานะเป็นผู้ครอบครองดูแลทรัพย์พิพาท มีอำนาจร้องทุกข์ตามกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 2(4) (ตามนัยฎีกาที่ 1341/2495,420/2505,562/2505) แม้ในฟ้องจะบรรยายคลาดเคลื่อนว่าใครเป็นเจ้าทรัพย์ ก็ไม่ถือว่าข้อเท็จจริงที่ได้ความต่างกับฟ้อง
เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่าจำเลยยืมทรัพย์ไป แล้วทุจริตยักยอกเอาไว้เป็นผลประโยชน์ส่วนตัวเสีย ย่อมมีความผิดในทางอาญา มิใช่เป็นเพียงเรื่องยืมทางแพ่งเท่านั้น
โจทก์บรรยายฟ้องว่า "เมื่อเดือนตุลาคม 2506 และต่อมาประมาณปลายเดือนเมษายน 2507 จำเลยทั้งสี่ได้ร่วมกันขอยืมเครื่องประดับไปหลายอย่าง (ห้อยคอและกลัดเสื้อรูปดอกไม้แหวนเพชรเม็ดเดียว แหวนเพชรเม็ดเล็กเป็นรูป 4 เหลี่ยมแหวนทับทิมล้อมเพชร กำไลประดับเพชร สร้อยข้อมือนพเก้า จี้เพชรพร้อมสร้อยทองคำขาว แหวนมรกตล้อมเพชร ต่างหูเพชรนาฬิกาข้อมือประดับเพชร) ต้นเดือนมีนาคม 2510 โจทก์ร่วมทั้งสองได้ทวงถามของที่จำเลยยืมไป จำเลยทั้งสี่ปฏิเสธไม่ยอมคืนโดยระหว่างมีนาคม 2510 วันเวลาใดไม่ปรากฏชัดจำเลยมีเจตนาทุจริตคิดยักยอกเอาทรัพย์ดังกล่าวไว้เป็นประโยชน์ส่วนตน" เป็นฟ้องที่ไม่เคลือบคลุม
คำแจ้งความที่มีความว่า "จึงได้มาแจ้งให้พนักงานสอบสวนดำเนินคดีต่อบุคคลทั้งสี่ต่อไป" นั้น เป็นการกล่าวหาโดยมีเจตนาจะให้ผู้กระทำผิดได้รับโทษ จึงเป็นคำร้องทุกข์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 2(7) เมื่อเจ้าพนักงานสอบสวนบันทึกข้อความคำร้องทุกข์ไว้ในรายงานเบ็ดเสร็จประจำวันและผู้ร้องทุกข์ได้ลงชื่อไว้แล้ว จึงเป็นการบันทึกคำร้องทุกข์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 123วรรคสาม

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1552/2512 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เช็คเพื่อประกันเงินกู้ ไม่ถือเจตนาออกเช็คโดยไม่มีเงินจ่าย แม้ผู้รับรองเงินกู้มีส่วนรู้เห็น
จำเลยขอยืมเงินโจทก์ โจทก์ไม่มี จำเลยจึงขอให้ไปยืมคนอื่นมาให้ ผู้ให้กู้ให้โจทก์รับรองว่าจะคืนภายใน 2 เดือนจึงจะให้ยืม จำเลยจึงเขียนเช็ค 2 ฉบับไม่ได้ลงวันที่ โจทก์สลักหลังเช็คทั้งสองฉบับแล้วมอบให้จำเลยไปขอเงินที่ผู้ให้กู้ เมื่อครบกำหนดจำเลยไม่ชำระ ผู้ให้กู้ทวงถามโจทก์ โจทก์จึงใช้เงินให้ และยึดเช็ค 2 ฉบับนั้นไว้ แล้วทวงถามจำเลย จำเลยชำระให้ครึ่งหนึ่งโจทก์จึงคืนเช็คให้จำเลย 1 ฉบับ เมื่อทวงถามให้ชำระอีกจำเลยไม่ชำระ โจทก์จึงเขียนวันที่ลงในเช็ค แล้วเอาไปเข้าบัญชี ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน โจทก์จึงนำคดีมาฟ้อง ดังนี้ ถือได้ว่าเป็นการกู้เงินโดยเอาเช็คเป็นประกันเงินกู้ มิใช่จำเลยออกเช็คเพื่อแลกเงินสดหรือออกเช็คเพื่อชำระหนี้เงินกู้ และไม่ใช่เป็นการออกเช็คโดยเจตนาจะไม่ให้มีการใช้เงินตามเช็ค
of 65