คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
เฉลิม ทัตภิรมย์

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 641 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1253/2511

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ พยานรับรองลายพิมพ์นิ้วมือ ผู้ให้กู้ลงชื่อได้ ไม่ขัดกฎหมาย
ไม่มีบทกฎหมายใดห้ามมิให้ผู้ให้กู้ลงชื่อเป็นพยานรับรองลายพิมพ์นิ้วมือของผู้กู้.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1253/2511 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ พยานรับรองลายพิมพ์นิ้วมือ ผู้ให้กู้เป็นพยานได้
ไม่มีบทกฎหมายใดห้ามมิให้ผู้ให้กู้ลงชื่อเป็นพยานรับรองลายพิมพ์นิ้วมือของผู้กู้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1250/2511 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การแก้ไขฟ้องหลังชี้สองสถาน-กรรมสิทธิ์ในอสังหาริมทรัพย์-การสละสิทธิ-การวินิจฉัยตามหลักฐานในสำนวน
โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากบ้านเช่าเลขที่ 1 และ 1/1 จำเลยให้การต่อสู้ว่าบ้านเลขที่ 1/1 เป็นของจำเลย.ดังนี้ ถ้าโจทก์ไม่ประสงค์ดำเนินคดีในประเด็นข้อนี้โจทก์ก็อาจยื่นคำร้องขอแก้ฟ้องได้ก่อนวันชี้สองสถาน แต่โจทก์ก็หาทำไม่ การที่โจทก์แถลงในวันชี้สองสถานว่าโจทก์ยอมยกกรรมสิทธิ์ในอู่รถยนต์ (บ้านเลขที่ 1/1)ให้จำเลย จะถือว่าเป็นข้อเท็จจริงที่เพิ่งมีขึ้นโดยโจทก์ไม่อาจยื่นคำร้องได้ก่อนวันชี้สองสถานหาได้ไม่ เมื่อโจทก์ยื่นคำร้องขอแก้ฟ้องภายหลังการชี้สองสถาน ศาลก็ชอบที่จะสั่งยกคำร้องของโจทก์ เมื่อไม่อนุญาตให้โจทก์ยื่นคำร้องขอแก้ฟ้อง ก็ต้องถือตามฟ้องเดิม
โจทก์ฟ้องว่า บ้านเลขที่ 1/1 ใช้เป็นอู่ซ่อมรถยนต์เป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ จำเลยเช่าจากโจทก์ ขอให้ขับไล่.จำเลยให้การว่าบ้านเลขที่ 1/1 เป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยในวันชี้สองสถานโจทก์แถลงยกกรรมสิทธิ์ให้จำเลย จึงเท่ากับโจทก์สละสิทธิที่จะดำเนินคดีกับจำเลยในประเด็นข้อนี้.ข้อเท็จจริงจึงต้องรับฟังตามคำให้การของจำเลยว่าบ้านเลขที่1/1 เป็นของจำเลย โจทก์จะฟ้องขับไล่จำเลยให้ออกจากบ้านของจำเลยเองไม่ได้
ตามคำฟ้อง คำให้การของจำเลยไม่มีฝ่ายใดหยิบยกขึ้นกล่าวอ้างว่าที่ดินที่ปลูกบ้านเลขที่ 1/1 เป็นส่วนหนึ่งของการเช่าบ้านเลขที่ 1 จึงไม่มีปัญหาที่จะต้องแปลสัญญาเช่าว่าจำเลยเช่าที่ดินตรงที่ปลูกบ้านเลขที่ 1/1ด้วยหรือไม่
การที่ศาลวินิจฉัยตามสภาพที่ปรากฏในขณะที่ศาลไปเผชิญสืบตรวจดูที่พิพาทจึงเป็นการวินิจฉัยตามหลักฐานที่ปรากฏในสำนวน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1250/2511

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การแก้ฟ้องและการสละสิทธิในคดีขับไล่: ศาลต้องพิจารณาตามฟ้องเดิมหากแก้ฟ้องไม่สำเร็จ
โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากบ้านเช่าเลขที่ 1 และ 1/1. จำเลยให้การต่อสู้ว่าบ้านเลขที่ 1/1 เป็นของจำเลย.ดังนี้ ถ้าโจทก์ไม่ประสงค์ดำเนินคดีในประเด็นข้อนี้โจทก์ก็อาจยื่นคำร้องขอแก้ฟ้องได้ก่อนวันชี้สองสถาน แต่โจทก์ก็หาทำไม่. การที่โจทก์แถลงในวันชี้สองสถานว่าโจทก์ยอมยกกรรมสิทธิ์ในอู่รถยนต์ (บ้านเลขที่ 1/1)ให้จำเลย จะถือว่าเป็นข้อเท็จจริงที่เพิ่งมีขึ้นโดยโจทก์ไม่อาจยื่นคำร้องได้ก่อนวันชี้สองสถานหาได้ไม่. เมื่อโจทก์ยื่นคำร้องขอแก้ฟ้องภายหลังการชี้สองสถาน ศาลก็ชอบที่จะสั่งยกคำร้องของโจทก์. เมื่อไม่อนุญาตให้โจทก์ยื่นคำร้องขอแก้ฟ้อง ก็ต้องถือตามฟ้องเดิม.
โจทก์ฟ้องว่า บ้านเลขที่ 1/1 ใช้เป็นอู่ซ่อมรถยนต์เป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ จำเลยเช่าจากโจทก์ ขอให้ขับไล่.จำเลยให้การว่าบ้านเลขที่ 1/1 เป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลย.ในวันชี้สองสถานโจทก์แถลงยกกรรมสิทธิ์ให้จำเลย จึงเท่ากับโจทก์สละสิทธิที่จะดำเนินคดีกับจำเลยในประเด็นข้อนี้.ข้อเท็จจริงจึงต้องรับฟังตามคำให้การของจำเลยว่าบ้านเลขที่1/1 เป็นของจำเลย. โจทก์จะฟ้องขับไล่จำเลยให้ออกจากบ้านของจำเลยเองไม่ได้.
ตามคำฟ้อง คำให้การของจำเลยไม่มีฝ่ายใดหยิบยกขึ้นกล่าวอ้างว่าที่ดินที่ปลูกบ้านเลขที่ 1/1 เป็นส่วนหนึ่งของการเช่าบ้านเลขที่ 1 จึงไม่มีปัญหาที่จะต้องแปลสัญญาเช่าว่าจำเลยเช่าที่ดินตรงที่ปลูกบ้านเลขที่ 1/1ด้วยหรือไม่.
การที่ศาลวินิจฉัยตามสภาพที่ปรากฏในขณะที่ศาลไปเผชิญสืบตรวจดูที่พิพาทจึงเป็นการวินิจฉัยตามหลักฐานที่ปรากฏในสำนวน.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1250/2511 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การแก้ฟ้อง การสละสิทธิ และขอบเขตการเช่าทรัพย์ การฟ้องขับไล่ต้องสอดคล้องกับสิทธิของผู้ให้เช่า
โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากบ้านเช่าเลขที่ 1 และ 1/1จำเลยให้การต่อสู้ว่าบ้านเลขที่ 1/1 เป็นของจำเลยดังนี้ ถ้าโจทก์ไม่ประสงค์ดำเนินคดีในประเด็นข้อนี้โจทก์ก็อาจยื่นคำร้องขอแก้ฟ้องได้ก่อนวันชี้สองสถาน แต่โจทก์ก็หาทำไม่ การที่โจทก์แถลงในวันชี้สองสถานว่าโจทก์ยอมยกกรรมสิทธิ์ในอู่รถยนต์ (บ้านเลขที่ 1/1)ให้จำเลย จะถือว่าเป็นข้อเท็จจริงที่เพิ่งมีขึ้นโดยโจทก์ไม่อาจยื่นคำร้องได้ก่อนวันชี้สองสถานหาได้ไม่ เมื่อโจทก์ยื่นคำร้องขอแก้ฟ้องภายหลังการชี้สองสถาน ศาลก็ชอบที่จะสั่งยกคำร้องของโจทก์ เมื่อไม่อนุญาตให้โจทก์ยื่นคำร้องขอแก้ฟ้อง ก็ต้องถือตามฟ้องเดิม
โจทก์ฟ้องว่า บ้านเลขที่ 1/1 ใช้เป็นอู่ซ่อมรถยนต์เป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ จำเลยเช่าจากโจทก์ ขอให้ขับไล่จำเลยให้การว่าบ้านเลขที่ 1/1 เป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลย ในวันชี้สองสถานโจทก์แถลงยกกรรมสิทธิ์ให้จำเลย จึงเท่ากับโจทก์สละสิทธิที่จะดำเนินคดีกับจำเลยในประเด็นข้อนี้ข้อเท็จจริงจึงต้องรับฟังตามคำให้การของจำเลยว่าบ้านเลขที่1/1 เป็นของจำเลย โจทก์จะฟ้องขับไล่จำเลยให้ออกจากบ้านของจำเลยเองไม่ได้
ตามคำฟ้อง คำให้การของจำเลยไม่มีฝ่ายใดหยิบยกขึ้นกล่าวอ้างว่าที่ดินที่ปลูกบ้านเลขที่ 1/1 เป็นส่วนหนึ่งของการเช่าบ้านเลขที่ 1 จึงไม่มีปัญหาที่จะต้องแปลสัญญาเช่าว่าจำเลยเช่าที่ดินตรงที่ปลูกบ้านเลขที่ 1/1ด้วยหรือไม่
การที่ศาลวินิจฉัยตามสภาพที่ปรากฏในขณะที่ศาลไปเผชิญสืบตรวจดูที่พิพาทจึงเป็นการวินิจฉัยตามหลักฐานที่ปรากฏในสำนวน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1179/2511

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องซ้ำ: การร้องขอปล่อยทรัพย์พิพาทในฐานะสินสมรส/สินบริคณห์ เมื่อเคยถูกยกคำร้องแล้ว
สามีร้องขอให้ปล่อยทรัพย์ที่ยึดซึ่งเป็นสินสมรสหรือสินบริคณห์. ศาลได้ยกคำร้องของสามี คดีถึงที่สุดแล้ว.ภรรยาจะร้องขอให้ปล่อยทรัพย์นั้นอีกหาได้ไม่. กรณีเป็นฟ้องซ้ำต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1179/2511 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องซ้ำในคดีปล่อยทรัพย์: สิทธิของคู่สมรสและความเป็นผู้จัดการทรัพย์สิน
สามีร้องขอให้ปล่อยทรัพย์ที่ยึดซึ่งเป็นสินสมรสหรือสินบริคณห์ ศาลได้ยกคำร้องของสามี คดีถึงที่สุดแล้ว ภรรยาจะร้องขอให้ปล่อยทรัพย์นั้นอีกหาได้ไม่ กรณีเป็นฟ้องซ้ำต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1179/2511 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องซ้ำในคดีปล่อยทรัพย์สินสมรส: เมื่อสามีเคยฟ้องแล้ว ภรรยาฟ้องซ้ำไม่ได้
สามีร้องขอให้ปล่อยทรัพย์ที่ยึดซึ่งเป็นสินสมรสหรือสินบริคณห์ ศาลได้ยกคำร้องของสามี คดีถึงที่สุดแล้วภรรยาจะร้องขอให้ปล่อยทรัพย์นั้นอีกหาได้ไม่ กรณีเป็นฟ้องซ้ำต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1160/2511 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจตนาการครอบครองที่ดิน: สัญญาซื้อขายที่ยังไม่สมบูรณ์และการพิสูจน์เจตนาสละการครอบครอง
จำเลยขายนาพิพาทให้โจทก์โดยทำหนังสือกันเอง มิได้จดทะเบียนให้ถูกต้องตามกฎหมาย แม้สัญญาดังกล่าวเป็นโมฆะ แต่ก็ยังมีผลเป็นการแสดงถึงพฤติการณ์ของโจทก์จำเลยเกี่ยวกับนาพิพาทซึ่งไม่มีหนังสือสำคัญสำหรับที่ดิน ว่ามีเจตนาต่อกันอย่างไร หนังสือสัญญานี้ในตอนต้นมีข้อความว่าจำเลยขายนาพิพาทให้โจทก์ และได้รับชำระราคาจากโจทก์เป็นการถูกต้องแล้ว แต่ในตอนท้ายกล่าวว่า"ให้ผู้ขายตรึกตรองและตกลงปลงใจพิจารณาอยู่ภายใน 10วัน นับตั้งแต่วันทำหนังสือนี้เป็นต้นไป ถ้าพ้นจากภายใน 10 วันแล้ว ที่ดินนาดังกล่าวแล้วให้นายบุ่ง กลมเกลียว (โจทก์) ครอบครองต่อไป" ฉะนั้น ถึงหากจำเลยได้มอบที่นาให้โจทก์ครอบครองตั้งแต่วันทำสัญญานั้น ก็ไม่พอฟังว่าจำเลยสละการครอบครองให้แก่โจทก์ไปในทันใดนั้นแล้ว เพราะยังอยู่ในระหว่างที่จำเลยจะตัดสินใจต่อไป นอกจากนี้ จำเลยได้ให้การต่อสู้คดีว่าต่อจากวันขายฝาก 8 วัน จำเลยได้นำเงินไปขอไถ่ แต่โจทก์ยังไม่รับเงิน ให้จำเลยเอาไว้เป็นเงินยืมจากโจทก์โดยโจทก์ขอทำนาพิพาทต่างดอกเบี้ยไปก่อน เป็นการโต้เถียงว่าโจทก์เพียงแต่เป็นผู้ยึดถือครอบครองนาพิพาทแทนจำเลยอยู่ต่อมา เพราะจำเลยได้จัดการไถ่ภายในกำหนด 10 วันและโจทก์จำเลยตกลงกันใหม่ เพื่อให้โจทก์ทำนาต่างดอกเบี้ยเท่านั้น ซึ่งไม่ใช่เป็นการครอบครองเป็นของโจทก์เอง ฉะนั้น คดีจะต้องให้คู่ความสืบพยานเพื่อพิจารณาข้อเท็จจริงต่อไป

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1160/2511

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจตนาสละการครอบครองที่ดิน: สัญญาซื้อขาย/ขายฝากโมฆะ แต่แสดงเจตนาของคู่สัญญาได้
จำเลยขายนาพิพาทให้โจทก์โดยทำหนังสือกันเอง. มิได้จดทะเบียนให้ถูกต้องตามกฎหมาย. แม้สัญญาดังกล่าวเป็นโมฆะ แต่ก็ยังมีผลเป็นการแสดงถึงพฤติการณ์ของโจทก์จำเลยเกี่ยวกับนาพิพาทซึ่งไม่มีหนังสือสำคัญสำหรับที่ดิน. ว่ามีเจตนาต่อกันอย่างไร. หนังสือสัญญานี้ในตอนต้นมีข้อความว่าจำเลยขายนาพิพาทให้โจทก์. และได้รับชำระราคาจากโจทก์เป็นการถูกต้องแล้ว. แต่ในตอนท้ายกล่าวว่า'ให้ผู้ขายตรึกตรองและตกลงปลงใจพิจารณาอยู่ภายใน 10วัน นับตั้งแต่วันทำหนังสือนี้เป็นต้นไป. ถ้าพ้นจากภายใน 10 วันแล้ว ที่ดินนาดังกล่าวแล้วให้นายบุ่งกลมเกลียว (โจทก์) ครอบครองต่อไป'. ฉะนั้น ถึงหากจำเลยได้มอบที่นาให้โจทก์ครอบครองตั้งแต่วันทำสัญญานั้น. ก็ไม่พอฟังว่าจำเลยสละการครอบครองให้แก่โจทก์ไปในทันใดนั้นแล้ว. เพราะยังอยู่ในระหว่างที่จำเลยจะตัดสินใจต่อไป. นอกจากนี้ จำเลยได้ให้การต่อสู้คดีว่าต่อจากวันขายฝาก 8 วัน. จำเลยได้นำเงินไปขอไถ่ แต่โจทก์ยังไม่รับเงิน. ให้จำเลยเอาไว้เป็นเงินยืมจากโจทก์.โดยโจทก์ขอทำนาพิพาทต่างดอกเบี้ยไปก่อน. เป็นการโต้เถียงว่าโจทก์เพียงแต่เป็นผู้ยึดถือครอบครองนาพิพาทแทนจำเลยอยู่ต่อมา. เพราะจำเลยได้จัดการไถ่ภายในกำหนด 10 วัน.และโจทก์จำเลยตกลงกันใหม่ เพื่อให้โจทก์ทำนาต่างดอกเบี้ยเท่านั้น. ซึ่งไม่ใช่เป็นการครอบครองเป็นของโจทก์เอง. ฉะนั้น คดีจะต้องให้คู่ความสืบพยานเพื่อพิจารณาข้อเท็จจริงต่อไป.
of 65