พบผลลัพธ์ทั้งหมด 641 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 61/2515
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาต้องห้าม: โต้เถียงข้อเท็จจริงในชั้นฎีกา
ฎีกาเขียนให้เห็นว่าเป็นปัญหาข้อกฎหมาย แต่เนี้อหารายละเอียดในฎีกายังโต้แย้งข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยชั่งน้ำหนักและรับฟังคำพยานหลักฐานในคดี ดังนี้ เป็นฎีกาต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2302/2514 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การลดโทษจำเลยในคดีอาญาพิจารณาจากเหตุผลการรับสารภาพ, สภาพเมาสุรา และพยานหลักฐาน
การที่จำเลยดื่มสุราจนมึนเมาแล้วก่อเหตุร้ายขึ้นนั้นไม่ใช่เหตุอันควรปรานีเสมอไป
จำเลยให้การรับว่าได้แทงผู้ตายจริง แต่ต่อสู้ว่าเป็นการกระทำเพื่อป้องกันตัวเช่นนี้ ย่อมถือว่าจำเลยปฏิเสธความผิด โจทก์ต้องนำพยานเข้าสืบจนคดีฟังได้ว่าจำเลยได้กระทำความผิด ไม่ใช่เป็นการกระทำเพื่อป้องกันจึงจะลงโทษจำเลยได้ แม้ต่อมาระหว่างสืบพยานโจทก์จำเลยกลับให้การใหม่ยอมรับสารภาพตามฟ้องทุกประการ ก็ไม่ใช่เหตุผลที่จะลดโทษให้จำเลยกึ่งหนึ่งเสมอไปจะต้องพิเคราะห์ด้วยว่า คำรับสารภาพของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาเพียงใด หรือไม่ ถ้าการรับสารภาพของจำเลยพอถือได้ว่าเป็นการจำนนต่อพยานหลักฐานของโจทก์ ก็ไม่เป็นเหตุที่จะปรานีลดโทษให้ถึงกึ่ง
จำเลยให้การรับว่าได้แทงผู้ตายจริง แต่ต่อสู้ว่าเป็นการกระทำเพื่อป้องกันตัวเช่นนี้ ย่อมถือว่าจำเลยปฏิเสธความผิด โจทก์ต้องนำพยานเข้าสืบจนคดีฟังได้ว่าจำเลยได้กระทำความผิด ไม่ใช่เป็นการกระทำเพื่อป้องกันจึงจะลงโทษจำเลยได้ แม้ต่อมาระหว่างสืบพยานโจทก์จำเลยกลับให้การใหม่ยอมรับสารภาพตามฟ้องทุกประการ ก็ไม่ใช่เหตุผลที่จะลดโทษให้จำเลยกึ่งหนึ่งเสมอไปจะต้องพิเคราะห์ด้วยว่า คำรับสารภาพของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาเพียงใด หรือไม่ ถ้าการรับสารภาพของจำเลยพอถือได้ว่าเป็นการจำนนต่อพยานหลักฐานของโจทก์ ก็ไม่เป็นเหตุที่จะปรานีลดโทษให้ถึงกึ่ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2302/2514
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การลดโทษจำเลยในคดีอาญาพิจารณาจากพยานหลักฐาน, การยอมรับสารภาพ, และเหตุผลในการลดโทษ
การที่จำเลยดื่มสุราจนมึนเมาแล้วก่อเหตุร้ายขึ้นนั้น ไม่ใช่เหตุอันควรปรานีเสมอไป
จำเลยให้การรับว่าได้แทงผู้ตายจริง แต่ต่อสู้ว่าเป็นการกระทำเพื่อป้องกันตัวเช่นนี้ ย่อมถือว่าจำเลยปฏิเสธความผิด โจทก์ต้องนำพยานเข้าสืบจนคดีฟังได้ว่าจำเลยได้กระทำความผิด ไม่ใช่เป็นการกระทำเพื่อป้องกันจึงจะลงโทษจำเลยได้ แม้ต่อมาระหว่างสืบพยานโจทก์จำเลยกลับให้การใหม่ยอมรับสารภาพตามฟ้องทุกประการ ก็ไม่ใช่เหตุผลที่จะลดโทษให้จำเลยกึ่งหนึ่งเสมอไป จะต้องพิเคราะห์ด้วยว่า คำรับสารภาพของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาเพียงใดหรือไม่ ถ้าการรับสารภาพของจำเลยพอถือได้ว่าเป็นการจำนนต่อพยานหลักฐานของโจทก์ ก็ไม่เป็นเหตุที่จะปรานีลดโทษให้ถึงกึ่ง
จำเลยให้การรับว่าได้แทงผู้ตายจริง แต่ต่อสู้ว่าเป็นการกระทำเพื่อป้องกันตัวเช่นนี้ ย่อมถือว่าจำเลยปฏิเสธความผิด โจทก์ต้องนำพยานเข้าสืบจนคดีฟังได้ว่าจำเลยได้กระทำความผิด ไม่ใช่เป็นการกระทำเพื่อป้องกันจึงจะลงโทษจำเลยได้ แม้ต่อมาระหว่างสืบพยานโจทก์จำเลยกลับให้การใหม่ยอมรับสารภาพตามฟ้องทุกประการ ก็ไม่ใช่เหตุผลที่จะลดโทษให้จำเลยกึ่งหนึ่งเสมอไป จะต้องพิเคราะห์ด้วยว่า คำรับสารภาพของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาเพียงใดหรือไม่ ถ้าการรับสารภาพของจำเลยพอถือได้ว่าเป็นการจำนนต่อพยานหลักฐานของโจทก์ ก็ไม่เป็นเหตุที่จะปรานีลดโทษให้ถึงกึ่ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2211/2514 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องของมัสยิด: กรรมการ, เจ้าหน้าที่บริหาร และการจัดการทรัพย์สิน
มัสยิดซึ่งจดทะเบียนเป็นนิติบุคคลนั้น เมื่อกรรมการมัสยิดซึ่งกฎหมายบัญญัติให้มีหน้าที่จัดการทรัพย์สินของมัสยิดได้ลงมติให้ดำเนินคดีกับจำเลยซึ่งอยู่ในที่ดินของมัสยิด เจ้าหน้าที่บริหารของมัสยิดอันได้แก่อิหม่าม คอเต็บ และบิหลั่นก็ย่อมดำเนินการแต่งตั้งทนายความให้ฟ้องคดีในนามของมัสยิดได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2211/2514
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องของมัสยิด: กรรมการมีอำนาจจัดการทรัพย์สินและมอบหมายให้เจ้าหน้าที่บริหารดำเนินการฟ้องคดีได้
มัสยิดซึ่งจดทะเบียนเป็นนิติบุคคลนั้น เมื่อกรรมการมัสยิดซึ่งกฎหมายบัญญัติให้มีหน้าที่จัดการทรัพย์สินของมัสยิดได้ลงมติให้ดำเนินคดีกับจำเลยซึ่งอยู่ในที่ดินของมัสยิด เจ้าหน้าที่บริหารของมัสยิดอันได้แก่อิหม่าม คอเต็บ และบิหลั่นก็ย่อมดำเนินการแต่งตั้งทนายความให้ฟ้องคดีในนามของมัสยิดได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2122/2514
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การกู้ยืมเงินร่วมกัน แม้ไม่ได้ลงชื่อในสัญญากู้ ผู้รับประโยชน์ย่อมมีหน้าที่รับผิดชอบหนี้ร่วมกัน
จำเลยที่ 1 เป็นสามี จำเลยที่ 2 เป็นภรรยา แต่ไม่ได้จดทะเบียนสมรสกันจำเลยที่ 1 กู้เงินโจทก์เพื่อซื้อบ้านมาอยู่อาศัยด้วยกันและซื้อทรัพย์สินอื่นมาใช้ร่วมกัน เมื่อจำเลยทั้งสองเลิกร้างกัน จำเลยที่ 2 ได้ฟ้องแบ่งทรัพย์สินดังกล่าวจากจำเลยที่ 1 จึงถือได้ว่าจำเลยที่ 2 ยอมรับเอาประโยชน์จากการที่จำเลยที่ 1 ไปกู้เงินโจทก์และยินยอมให้จำเลยที่ 1 กระทำไปในฐานะตัวแทนอันมีผลให้จำเลยที่ 2 มีส่วนร่วมเป็นเจ้าของบ้านและทรัพย์สินอื่นด้วย ฉะนั้นแม้ในสัญญากู้ยืมเงินจากโจทก์จะมีชื่อจำเลยที่ 1 เป็นผู้กู้คนเดียวก็ตาม จำเลยที่ 2 ก็ต้องรับผิดในฐานะเป็นตัวการของจำเลยที่ 1 ในการกู้เงินโจทก์รายนี้ร่วมกับจำเลยที่ 1
เมื่อจำเลยกู้เงินของสมาคมโจทก์ คือ เอาเงินของสมาคมโจทก์ไปจำเลยก็มีหน้าที่ต้องใช้เงินคืนแก่สมาคมโจทก์ จำเลยจะโต้แย้งว่าสมาคมโจทก์ไม่มีวัตถุประสงค์ในการให้กู้เงิน ไม่มีอำนาจฟ้องนั้นไม่ได้
(อ้างฎีกาที่ 1804/2500)
เมื่อจำเลยกู้เงินของสมาคมโจทก์ คือ เอาเงินของสมาคมโจทก์ไปจำเลยก็มีหน้าที่ต้องใช้เงินคืนแก่สมาคมโจทก์ จำเลยจะโต้แย้งว่าสมาคมโจทก์ไม่มีวัตถุประสงค์ในการให้กู้เงิน ไม่มีอำนาจฟ้องนั้นไม่ได้
(อ้างฎีกาที่ 1804/2500)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2122/2514 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การกู้ยืมเงินร่วมกัน แม้ไม่ได้ลงชื่อเป็นผู้กู้โดยตรง ก็มีหน้าที่รับผิดร่วมกันในฐานะตัวการ
จำเลยที่ 1 เป็นสามี จำเลยที่ 2 เป็นภรรยา แต่ไม่ได้ จดทะเบียนสมรสกันจำเลยที่ 1 กู้เงินโจทก์เพื่อซื้อบ้านมาอยู่อาศัยด้วยกันและซื้อทรัพย์สินอื่นมาใช้ร่วมกัน เมื่อจำเลยทั้งสองเลิกร้างกัน จำเลยที่ 2 ได้ฟ้องแบ่งทรัพย์สินดังกล่าวจากจำเลยที่ 1 จึงถือได้ว่าจำเลยที่ 2 ยอมรับเอาประโยชน์จากการที่จำเลยที่ 1 ไปกู้เงินโจทก์และยินยอมให้จำเลยที่ 1 กระทำไปในฐานะตัวแทนอันมีผลให้จำเลยที่ 2 มีส่วนร่วมเป็นเจ้าของบ้านและทรัพย์สินอื่นด้วย ฉะนั้นแม้ในสัญญากู้ยืมเงินจากโจทก์จะมีชื่อจำเลยที่ 1 เป็นผู้กู้คนเดียวก็ตาม จำเลยที่ 2 ก็ต้องรับผิดในฐานะเป็นตัวการของจำเลยที่ 1 ในการกู้เงินโจทก์รายนี้ร่วมกับจำเลยที่ 1
เมื่อจำเลยกู้เงินของสมาคมโจทก์ คือ เอาเงินของสมาคมโจทก์ไปจำเลยก็มีหน้าที่ต้องใช้เงินคืนแก่สมาคมโจทก์ จำเลยจะโต้แย้งว่าสมาคมโจทก์ไม่มีวัตถุประสงค์ในการให้กู้เงิน ไม่มีอำนาจฟ้องนั้นไม่ได้
(อ้างฎีกาที่ 1804/2500)
เมื่อจำเลยกู้เงินของสมาคมโจทก์ คือ เอาเงินของสมาคมโจทก์ไปจำเลยก็มีหน้าที่ต้องใช้เงินคืนแก่สมาคมโจทก์ จำเลยจะโต้แย้งว่าสมาคมโจทก์ไม่มีวัตถุประสงค์ในการให้กู้เงิน ไม่มีอำนาจฟ้องนั้นไม่ได้
(อ้างฎีกาที่ 1804/2500)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2038/2514
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การขอศาลสั่งให้บุคคลสาบสูญ: การพิจารณาภูมิลำเนาและระยะเวลาขาดการติดต่อ
ซ. บุตรผู้ร้องได้อยู่กับผู้ร้องที่ตลาดชุมแสงตั้งแต่เล็ก ๆ และได้เข้าเรียนหนังสือที่โรงเรียนจีนในอำเภอชุมแสง ต่อมา ซ. มาเรียนต่อที่จังหวัดพระนครจนสำเร็จแล้วสมัครเป็นครูโรงเรียนจีนสอนอยู่ประมาณปีเศษ ก็ถูกศาลลงโทษฐานเป็นอั้งยี่และถูกเนรเทศไปประเทศจีนก่อนถูกเนรเทศ ซ. มีภูมิลำเนาอยู่ที่อำเภอชุมแสง จังหวัดนครสวรรค์ตามทะเบียนบ้านและใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าว ดังนี้ แม้ ซ.จะไปประกอบอาชีพชั่วคราว ณ จังหวัดพระนครก็ตาม ก็ยังถือไม่ได้ว่า ซ. มีเจตนาจะเปลี่ยนภูมิลำเนา
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2038/2514 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การกำหนดภูมิลำเนาเพื่อสิทธิในการร้องขอให้บุคคลสาบสูญ แม้มีการไปประกอบอาชีพชั่วคราว
ซ. บุตรผู้ร้องได้อยู่กับผู้ร้องที่ตลาดชุมแสงตั้งแต่เล็ก ๆ และได้เข้าเรียนหนังสือที่โรงเรียนจีนในอำเภอชุมแสง ต่อมา ซ. มาเรียนต่อที่จังหวัดพระนครจนสำเร็จแล้วสมัครเป็นครูโรงเรียนจีนสอนอยู่ประมาณปีเศษ ก็ถูกศาลลงโทษฐานเป็นอั้งยี่และถูกเนรเทศไปประเทศจีนก่อนถูกเนรเทศ ซ. มีภูมิลำเนาอยู่ที่อำเภอชุมแสง จังหวัดนครสวรรค์ ตามทะเบียนบ้านและใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าว ดังนี้ แม้ ซ. จะไปประกอบอาชีพชั่วคราว ณ จังหวัดพระนครก็ตาม ก็ยังถือไม่ได้ว่า ซ. มีเจตนาจะเปลี่ยนภูมิลำเนา
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2031/2514
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจ้าหน้าที่ออกใบแทนโฉนดปลอมประมาทเลินเล่อ กรมที่ดินต้องรับผิดร่วม
มีผู้ปลอมตัวเป็นเจ้าของที่ดินนำซากโฉนดที่ดินซึ่งถูกไฟไหม้บางส่วนไปยื่นคำขอใบแทนโฉนดต่อสำนักงานที่ดิน ซึ่งถ้าหากเจ้าหน้าที่สำนักงานที่ดินมิได้ละเลยในการตรวจสอบหรือได้ทำการตรวจสอบโดยไม่ได้ประมาทเลินเล่อก็จะพบได้โดยง่ายและโดยไม่ต้องใช้ความรู้หรือความชำนาญพิเศษอย่างใดว่า ซากโฉนดนั้นเป็นซากโฉนดปลอม เพราะมีข้อความผิดกันกับข้อความที่มีอยู่ในโฉนดฉบับสำนักงานที่ดินหลายแห่ง แต่เจ้าหน้าที่สำนักงานที่ดินก็ได้ออกใบแทนโฉนดให้ไปโดยไม่ได้ตรวจสอบซากโฉนดหรือตรวจสอบโดยไม่ได้ใช้ความพินิจพิเคราะห์เท่าที่ควร อันเป็นการกระทำโดยประมาทเลินเล่อเจ้าหน้าที่สำนักงานที่ดินที่มีส่วนในการออกใบแทนโฉนดจึงต้องรับผิดต่อโจทก์ในความเสียหายที่เกิดขึ้นกับโจทก์เนื่องจากได้รับจำนองและรับโอนที่ดินตามใบแทนโฉนดที่สำนักงานที่ดินออกให้นั้น
เจ้าหน้าที่สำนักงานที่ดินซึ่งเป็นข้าราชการในสังกัดกรมที่ดินปฏิบัติราชการในหน้าที่และความรับผิดชอบของกรมที่ดิน ทำให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์กรมที่ดินต้องร่วมรับผิดด้วย
เจ้าหน้าที่สำนักงานที่ดินซึ่งเป็นข้าราชการในสังกัดกรมที่ดินปฏิบัติราชการในหน้าที่และความรับผิดชอบของกรมที่ดิน ทำให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์กรมที่ดินต้องร่วมรับผิดด้วย