คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
ปันโน สุขทรรศนีย์

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 235 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1570/2511

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข้อจำกัดการตกลงกันในคดีอาญา: ศาลต้องวินิจฉัยเฉพาะประเด็นตามฟ้องเท่านั้น
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามิได้มีบทบัญญัติให้สิทธิแก่คู่ความในอันที่จะตกลงกันหรือที่เรียกว่าท้ากัน ขอให้ศาลวินิจฉัยประเด็นข้อหนึ่งข้อใดโดยเฉพาะแล้วให้ศาลพิพากษาชี้ขาดไปตามประเด็นข้อที่ตกลงหรือท้ากันนั้นได้. และในการนี้จะนำประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 138,182 ที่บัญญัติเกี่ยวกับการตกลงหรือท้ากันในคดีแพ่งมาใช้กับคดีอาญาโดยอนุโลม ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 ก็ไม่ได้. เพราะประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 บัญญัติบังคับห้ามมิให้ศาลพิพากษาหรือสั่งเกินคำขอหรือที่มิได้กล่าวในฟ้อง.
โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยได้กระทำผิดฐานเก็บหาของป่าหวงห้ามในป่าโดยไม่ได้รับอนุญาตและเสียค่าภาคหลวง.จำเลยมิได้ให้การรับสารภาพในข้อหานี้แต่รับสารภาพในข้ออื่นที่โจทก์มิได้ฟ้อง. เมื่อโจทก์ไม่สืบพยาน.ข้อเท็จจริงตามที่โจทก์ฟ้องจึงฟังไม่ได้.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1570/2511 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข้อจำกัดการตกลงประเด็นนอกฟ้องในคดีอาญา ศาลต้องวินิจฉัยตามฟ้องเท่านั้น
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามิได้มีบทบัญญัติให้สิทธิแก่คู่ความในอันที่จะตกลงกันหรือที่เรียกว่าท้ากัน ขอให้ศาลวินิจฉัยประเด็นข้อหนึ่งข้อใดโดยเฉพาะแล้วให้ศาลพิพากษาชี้ขาดไปตามประเด็นข้อที่ตกลงหรือท้ากันนั้นได้ และในการนี้จะนำประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 138,182 ที่บัญญัติเกี่ยวกับการตกลงหรือท้ากันในคดีแพ่งมาใช้กับคดีอาญาโดยอนุโลม ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 ก็ไม่ได้ เพราะประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 บัญญัติบังคับห้ามมิให้ศาลพิพากษาหรือสั่งเกินคำขอหรือที่มิได้กล่าวในฟ้อง
โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยได้กระทำผิดฐานเก็บหาของป่าหวงห้ามในป่าโดยไม่ได้รับอนุญาตและเสียค่าภาคหลวงจำเลยมิได้ให้การรับสารภาพในข้อหานี้แต่รับสารภาพในข้ออื่นที่โจทก์มิได้ฟ้อง เมื่อโจทก์ไม่สืบพยานข้อเท็จจริงตามที่โจทก์ฟ้องจึงฟังไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1529/2511 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ประเด็นคำท้าสืบพยานพินัยกรรมชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ การวินิจฉัยพยานหลักฐานต้องพิจารณาความแท้จริงของลายมือชื่อ
โจทก์บรรยายฟ้องว่า ก่อนเจ้ามรดกถึงแก่กรรม เจ้ามรดกมิได้ทำพินัยกรรมเกี่ยวกับทรัพย์สินใดๆ ไว้ หากจำเลยจะมีพินัยกรรมของเจ้ามรดก พินัยกรรมก็ปลอม เมื่อจำเลยยื่นคำให้การ ได้เสนอสำเนาพินัยกรรมมาท้ายคำให้การ โจทก์ยื่นคำร้องขอให้จำเลยส่งต้นฉบับต่อศาลก่อนวันชี้สองสถานเพื่อโจทก์จะได้ตรวจดู โจทก์แถลงว่า ต้องสอบลายมือในพินัยกรรมจากผู้รู้ลายมือของผู้ทำพินัยกรรม แล้วคู่ความเลื่อนวันชี้สองสถานไป พอถึงวันชี้สองสถานครั้งที่ 2 คู่ความแถลงต่อศาลว่า คู่ความตกลงกันสืบประเด็นเดียวว่า พินัยกรรมตามที่จำเลยอ้างเป็นพินัยกรรมที่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ดังนี้ ที่ว่า "พินัยกรรมชอบด้วยกฎหมายหรือไม่" ตามที่คู่ความตกลงกันหรือท้ากันสืบนี้ หมายความถึงประเด็นที่คู่ความโต้เถียงกันก่อนว่าเจ้ามรดกได้ทำพินัยกรรมหรือไม่นั่นเอง ถ้านายอ่อนได้ทำพินัยกรรมฉบับนี้จริงโจทก์ก็แพ้คดีตามคำท้า แต่ถ้านายอ่อนไม่ได้ทำพินัยกรรมฉบับนี้ จำเลยก็แพ้คดีตามคำท้า ดังนั้นที่คู่ความนำสืบพยานหลักฐานในประเด็นที่ว่า นายอ่อนเจ้ามรดกทำพินัยกรรมหมายล.1หรือไม่ จึงอยู่ในประเด็นคำท้าที่คู่ความพิพาทโต้เถียงกัน หาใช่เป็นการนำสืบนอกประเด็นคำท้าไม่ และที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยพยานหลักฐานของคู่ความในประเด็นข้อนี้ ก็ถือได้ว่าเป็นการวินิจฉัยตามประเด็นคำท้า มิใช่นอกประเด็นคำท้าเช่นเดียวกันการที่คู่ความแถลงท้ากันศาลจดประเด็นคำท้า ใช้คำว่า"พินัยกรรมชอบด้วยกฎหมายหรือไม่" นั้น ไม่ทำให้ประเด็นคำท้าที่คู่ความพิพาทโต้เถียงกันมาก่อนเปลี่ยนแปลงไปเป็นอย่างอื่น เพราะคำว่า "ชอบด้วยกฎหมาย"นี้ มีความหมายกว้างมาก การใดที่กฎหมายห้ามมิให้กระทำแต่ผู้ใดฝ่าฝืนไปกระทำการนั้นเข้า ต้องถือว่าการกระทำนั้นไม่ชอบด้วยกฎหมาย ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา1656 ได้บัญญัติถึงแบบของพินัยกรรมธรรมดาไว้ว่าผู้ทำพินัยกรรมจะต้องลงลายมือชื่อในพินัยกรรม ถ้าผู้อื่นปลอมลายมือชื่อผู้ทำพินัยกรรมลงในพินัยกรรม ย่อมเป็นการฝ่าฝืนกฎหมาย พินัยกรรมถือว่าทำขึ้นผิดแบบ จึงเป็นพินัยกรรมที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย การที่พิเคราะห์ดูแต่ตัวพินัยกรรมอย่างเดียว โดยไม่ฟังคำพยานหลักฐานที่คู่ความนำสืบ จะไม่มีทางทราบได้เลยว่าลายมือชื่อผู้ทำพินัยกรรมในพินัยกรรมนั้นปลอมหรือไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1529/2511

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ประเด็นคำท้าการพิสูจน์พินัยกรรมชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ การนำสืบพยานหลักฐานต้องอยู่ในประเด็นคำท้า
โจทก์บรรยายฟ้องว่า ก่อนเจ้ามรดกถึงแก่กรรม เจ้ามรดกมิได้ทำพินัยกรรมเกี่ยวกับทรัพย์สินใดๆ ไว้. หากจำเลยจะมีพินัยกรรมของเจ้ามรดก พินัยกรรมก็ปลอม. เมื่อจำเลยยื่นคำให้การ ได้เสนอสำเนาพินัยกรรมมาท้ายคำให้การ. โจทก์ยื่นคำร้องขอให้จำเลยส่งต้นฉบับต่อศาลก่อนวันชี้สองสถานเพื่อโจทก์จะได้ตรวจดู. โจทก์แถลงว่า ต้องสอบลายมือในพินัยกรรมจากผู้รู้ลายมือของผู้ทำพินัยกรรม. แล้วคู่ความเลื่อนวันชี้สองสถานไป. พอถึงวันชี้สองสถานครั้งที่ 2คู่ความแถลงต่อศาลว่า คู่ความตกลงกันสืบประเด็นเดียวว่า. พินัยกรรมตามที่จำเลยอ้างเป็นพินัยกรรมที่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่. ดังนี้ ที่ว่า 'พินัยกรรมชอบด้วยกฎหมายหรือไม่' ตามที่คู่ความตกลงกันหรือท้ากันสืบนี้. หมายความถึงประเด็นที่คู่ความโต้เถียงกันก่อนว่าเจ้ามรดกได้ทำพินัยกรรมหรือไม่นั่นเอง. ถ้านายอ่อนได้ทำพินัยกรรมฉบับนี้จริงโจทก์ก็แพ้คดีตามคำท้า. แต่ถ้านายอ่อนไม่ได้ทำพินัยกรรมฉบับนี้ จำเลยก็แพ้คดีตามคำท้า. ดังนั้นที่คู่ความนำสืบพยานหลักฐานในประเด็นที่ว่า นายอ่อนเจ้ามรดกทำพินัยกรรมหมายล.1หรือไม่. จึงอยู่ในประเด็นคำท้าที่คู่ความพิพาทโต้เถียงกัน. หาใช่เป็นการนำสืบนอกประเด็นคำท้าไม่. และที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยพยานหลักฐานของคู่ความในประเด็นข้อนี้ ก็ถือได้ว่าเป็นการวินิจฉัยตามประเด็นคำท้า. มิใช่นอกประเด็นคำท้าเช่นเดียวกัน.การที่คู่ความแถลงท้ากันศาลจดประเด็นคำท้า ใช้คำว่า'พินัยกรรมชอบด้วยกฎหมายหรือไม่' นั้น. ไม่ทำให้ประเด็นคำท้าที่คู่ความพิพาทโต้เถียงกันมาก่อนเปลี่ยนแปลงไปเป็นอย่างอื่น. เพราะคำว่า 'ชอบด้วยกฎหมาย'นี้ มีความหมายกว้างมาก. การใดที่กฎหมายห้ามมิให้กระทำ.แต่ผู้ใดฝ่าฝืนไปกระทำการนั้นเข้า. ต้องถือว่าการกระทำนั้นไม่ชอบด้วยกฎหมาย. ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา1656 ได้บัญญัติถึงแบบของพินัยกรรมธรรมดาไว้ว่า.ผู้ทำพินัยกรรมจะต้องลงลายมือชื่อในพินัยกรรม. ถ้าผู้อื่นปลอมลายมือชื่อผู้ทำพินัยกรรมลงในพินัยกรรม ย่อมเป็นการฝ่าฝืนกฎหมาย. พินัยกรรมถือว่าทำขึ้นผิดแบบ. จึงเป็นพินัยกรรมที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย. การที่พิเคราะห์ดูแต่ตัวพินัยกรรมอย่างเดียว โดยไม่ฟังคำพยานหลักฐานที่คู่ความนำสืบ. จะไม่มีทางทราบได้เลยว่าลายมือชื่อผู้ทำพินัยกรรมในพินัยกรรมนั้นปลอมหรือไม่.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1529/2511 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ประเด็นคำท้าการสืบพยานในคดีพินัยกรรม: การพิเคราะห์พยานหลักฐานเพื่อพิสูจน์ความชอบด้วยกฎหมายของพินัยกรรม
โจทก์บรรยายฟ้องว่า ก่อนเจ้ามรดกถึงแก่กรรม เจ้ามรดกมิได้ทำพินัยกรรมเกี่ยวกับทรัพย์สินใดๆ ไว้ หากจำเลยจะมีพินัยกรรมของเจ้ามรดก พินัยกรรมก็ปลอม เมื่อจำเลยยื่นคำให้การ ได้เสนอสำเนาพินัยกรรมมาท้ายคำให้การ โจทก์ยื่นคำร้องขอให้จำเลยส่งต้นฉบับต่อศาลก่อนวันชี้สองสถานเพื่อโจทก์จะได้ตรวจดู โจทก์แถลงว่า ต้องสอบลายมือในพินัยกรรมจากผู้รู้ลายมือของผู้ทำพินัยกรรม แล้วคู่ความเลื่อนวันชี้สองสถานไป พอถึงวันชี้สองสถานครั้งที่ 2 คู่ความแถลงต่อศาลว่า คู่ความตกลงกันสืบประเด็นเดียวว่า พินัยกรรมตามที่จำเลยอ้างเป็นพินัยกรรมที่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ดังนี้ ที่ว่า 'พินัยกรรมชอบด้วยกฎหมายหรือไม่' ตามที่คู่ความตกลงกันหรือท้ากันสืบนี้ หมายความถึงประเด็นที่คู่ความโต้เถียงกันก่อนว่าเจ้ามรดกได้ทำพินัยกรรมหรือไม่นั่นเอง ถ้านายอ่อนได้ทำพินัยกรรมฉบับนี้จริงโจทก์ก็แพ้คดีตามคำท้า แต่ถ้านายอ่อนไม่ได้ทำพินัยกรรมฉบับนี้ จำเลยก็แพ้คดีตามคำท้า ดังนั้นที่คู่ความนำสืบพยานหลักฐานในประเด็นที่ว่า นายอ่อนเจ้ามรดกทำพินัยกรรมหมาย ล.1หรือไม่ จึงอยู่ในประเด็นคำท้าที่คู่ความพิพาทโต้เถียงกัน หาใช่เป็นการนำสืบนอกประเด็นคำท้าไม่ และที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยพยานหลักฐานของคู่ความในประเด็นข้อนี้ ก็ถือได้ว่าเป็นการวินิจฉัยตามประเด็นคำท้า มิใช่นอกประเด็นคำท้าเช่นเดียวกัน.การที่คู่ความแถลงท้ากันศาลจดประเด็นคำท้า ใช้คำว่า'พินัยกรรมชอบด้วยกฎหมายหรือไม่' นั้น ไม่ทำให้ประเด็นคำท้าที่คู่ความพิพาทโต้เถียงกันมาก่อนเปลี่ยนแปลงไปเป็นอย่างอื่น เพราะคำว่า 'ชอบด้วยกฎหมาย'นี้ มีความหมายกว้างมาก การใดที่กฎหมายห้ามมิให้กระทำแต่ผู้ใดฝ่าฝืนไปกระทำการนั้นเข้า ต้องถือว่าการกระทำนั้นไม่ชอบด้วยกฎหมาย ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา1656 ได้บัญญัติถึงแบบของพินัยกรรมธรรมดาไว้ว่าผู้ทำพินัยกรรมจะต้องลงลายมือชื่อในพินัยกรรม ถ้าผู้อื่นปลอมลายมือชื่อผู้ทำพินัยกรรมลงในพินัยกรรม ย่อมเป็นการฝ่าฝืนกฎหมาย พินัยกรรมถือว่าทำขึ้นผิดแบบ จึงเป็นพินัยกรรมที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย การที่พิเคราะห์ดูแต่ตัวพินัยกรรมอย่างเดียว โดยไม่ฟังคำพยานหลักฐานที่คู่ความนำสืบ จะไม่มีทางทราบได้เลยว่าลายมือชื่อผู้ทำพินัยกรรมในพินัยกรรมนั้นปลอมหรือไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1428/2511

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การทำร้ายร่างกายจนถึงแก่ความตาย: การประเมินเจตนาและเหตุป้องกันตัว
เมื่อจำเลยกับฝ่ายผู้ตายต่างวิวาททำร้ายซึ่งกันและกัน.จำเลยไม่อาจอ้างว่ากระทำเพื่อป้องกันตัว.
จำเลยใช้มีดแทงผู้ตายขณะชุลมุนกันและในเวลาค่ำมืด.ซึ่งฝ่ายผู้ตายมีมีดและเป็นอาวุธที่ร้ายแรงกว่าจำเลย.แม้จำเลยจะแทงผู้ตายหลายที แต่ก็ไม่มีโอกาสเลือกแทงผู้ตายให้ถูกที่สำคัญได้. เพราะชุลมุนและค่ำมืด ทั้งยังต้องสู้กับพวกผู้ตายอีก. เช่นนี้ จะฟังว่าจำเลยกระทำโดยเจตนาฆ่าไม่ได้. จำเลยคงผิดฐานฆ่าผู้ตายโดยไม่เจตนา.
แม้โจทก์จะฟ้องจำเลยฐานฆ่าผู้ตายโดยเจตนา แต่ทางพิจารณาได้ความว่าเป็นการฆ่าโดยไม่เจตนา. ศาลลงโทษได้. ไม่ถือว่าข้อเท็จจริงตามทางพิจารณาต่างกับข้อเท็จจริงที่กล่าวมาในฟ้อง.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1428/2511 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การป้องกันตัวในเหตุวิวาททำร้ายร่างกาย และเจตนาในการกระทำความผิดฐานฆ่าคนตาย
เมื่อจำเลยกับฝ่ายผู้ตายต่างวิวาททำร้ายซึ่งกันและกันจำเลยไม่อาจอ้างว่ากระทำเพื่อป้องกันตัว
จำเลยใช้มีดแทงผู้ตายขณะชุลมุนกันและในเวลาค่ำมืดซึ่งฝ่ายผู้ตายมีมีดและเป็นอาวุธที่ร้ายแรงกว่าจำเลยแม้จำเลยจะแทงผู้ตายหลายที แต่ก็ไม่มีโอกาสเลือกแทงผู้ตายให้ถูกที่สำคัญได้ เพราะชุลมุนและค่ำมืด ทั้งยังต้องสู้กับพวกผู้ตายอีก เช่นนี้ จะฟังว่าจำเลยกระทำโดยเจตนาฆ่าไม่ได้ จำเลยคงผิดฐานฆ่าผู้ตายโดยไม่เจตนา
แม้โจทก์จะฟ้องจำเลยฐานฆ่าผู้ตายโดยเจตนา แต่ทางพิจารณาได้ความว่าเป็นการฆ่าโดยไม่เจตนา ศาลลงโทษได้ ไม่ถือว่าข้อเท็จจริงตามทางพิจารณาต่างกับข้อเท็จจริงที่กล่าวมาในฟ้อง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1428/2511 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การป้องกันตัวในคดีทำร้ายร่างกายถึงแก่ความตาย ศาลพิจารณาเหตุชุลมุนและอาวุธที่ใช้ประกอบ
เมื่อจำเลยกับฝ่ายผู้ตายต่างวิวาททำร้ายซึ่งกันและกันจำเลยไม่อาจอ้างว่ากระทำเพื่อป้องกันตัว
จำเลยใช้มีดแทงผู้ตายขณะชุลมุนกันและในเวลาค่ำมืดซึ่งฝ่ายผู้ตายมีมีดและเป็นอาวุธที่ร้ายแรงกว่าจำเลยแม้จำเลยจะแทงผู้ตายหลายที แต่ก็ไม่มีโอกาสเลือกแทงผู้ตายให้ถูกที่สำคัญได้ เพราะชุลมุนและค่ำมืด ทั้งยังต้องสู้กับพวกผู้ตายอีก เช่นนี้ จะฟังว่าจำเลยกระทำโดยเจตนาฆ่าไม่ได้ จำเลยคงผิดฐานฆ่าผู้ตายโดยไม่เจตนา
แม้โจทก์จะฟ้องจำเลยฐานฆ่าผู้ตายโดยเจตนา แต่ทางพิจารณาได้ความว่าเป็นการฆ่าโดยไม่เจตนา ศาลลงโทษได้ ไม่ถือว่าข้อเท็จจริงตามทางพิจารณาต่างกับข้อเท็จจริงที่กล่าวมาในฟ้อง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1391/2511 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สินค้าสำเร็จรูปตามประมวลรัษฎากร: สลากติดถ่านไฟฉาย แม้ใช้ในกระบวนการผลิต ก็ยังเป็นสินค้าสำเร็จรูป
กระดาษสลากที่ปิดรอบก้อนถ่านไฟฉายซึ่งมีชื่อและเครื่องหมายการค้าของโจทก์ โดยโจทก์เป็นผู้สั่งมาจากต่างประเทศนั้น มีลักษณะเป็นสิ่งที่สำเร็จรูปมาแล้ว ไม่จำต้องเปลี่ยนหรือดัดแปลงหรือนำไปผสมกับสิ่งอื่น ก็นำมาใช้ได้ทันทีจึงเป็นสินค้าสำเร็จรูปตามความหมายในประมวลรัษฎากร มาตรา 77 ส่วนการที่โจทก์นำแผ่นสลากนี้ไปทำการต่างๆ เพื่อใช้สวมกับถ่านไฟฉายก็เพื่อประโยชน์ในการค้าของโจทก์ซึ่งเป็นการค้าสำเร็จรูปอีกชนิดหนึ่ง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1391/2511

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ แผ่นสลากสำเร็จรูป แม้ใช้ในกระบวนการผลิต ก็ยังเป็นสินค้าสำเร็จรูปตามประมวลรัษฎากร
แผ่นสลากที่ปิดรอบก้อนถ่านไฟฉายซึ่งมีชื่อและเครื่องหมายการค้าย่อมมีลักษณะเป็นสิ่งที่สำเร็จรูปมาแล้ว.ไม่จำต้องเปลี่ยนหรือดัดแปลง หรือนำไปผสมกับสิ่งอื่นก็นำมาใช้ได้ทันที. จึงเป็นสินค้าสำเร็จรูปตามประมวลรัษฎากร มาตรา 77.
of 24