พบผลลัพธ์ทั้งหมด 422 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1897/2512 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การผ่อนชำระหนี้นอกศาลและการบังคับคดี: ศาลไม่รับรองการตกลงนอกสัญญา หากโจทก์ยังไม่รับรองการชำระหนี้ครบถ้วน
จำเลยอ้างว่าได้ผ่อนชำระหนี้ตามสัญญายอมความในศาลเสร็จสิ้นแล้ว โดยตกลงกันว่าโจทก์จะไม่คิดดอกเบี้ยตามสัญญา โจทก์ปฏิเสธว่าจำเลยไม่เคยชำระหนี้ ไม่เคยตกลงยอมไม่คิดดอกเบี้ย ดังนี้ เป็นเรื่องที่จำเลยกระทำการนอกศาล โดยศาลไม่รับรู้ด้วย เมื่อโจทก์ไม่รับรองว่าได้รับเงินครบถ้วนแล้ว จำเลยจะยกมาเป็นเหตุให้ศาลงดการบังคับคดีไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1897/2512 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การผ่อนชำระหนี้ตามสัญญาประนีประนอมยอมความนอกศาลและการบังคับคดี
จำเลยอ้างว่าได้ผ่อนชำระหนี้ตามสัญญายอมความในศาลเสร็จสิ้นแล้ว โดยตกลงกันว่าโจทก์จะไม่คิดดอกเบี้ยตามสัญญา โจทก์ปฏิเสธว่าจำเลยไม่เคยชำระหนี้ ไม่เคยตกลงยอมไม่คิดดอกเบี้ยดังนี้ เป็นเรื่องที่จำเลยกระทำการนอกศาล โดยศาลไม่รับรู้ด้วย เมื่อโจทก์ไม่รับรองว่าได้รับเงินครบถ้วนแล้ว จำเลยจะยกมาเป็นเหตุให้ศาลงดการบังคับคดีไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1892/2512
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาเช่านาขัดต่อ พ.ร.บ.ควบคุมค่าเช่านา และประเด็นอำนาจฟ้อง
โจทก์ฟ้องว่า นายสุขเช่านา 36 ไร่ ต่อมานายสุขตายมรดกตกมาเป็นของจำเลยในฐานะทายาทโดยธรรม. จำเลยเก็บผลประโยชน์ในนาที่เช่า จึงมีภาระต้องชำระค่าเช่าแทนผู้ตาย คิดเป็นเงิน 7,020 บาท. โจทก์ได้มีหนังสือทวงถามให้จำเลยนำค่าเช่ามาชำระและได้บอกเลิกการเช่านา ขอให้ศาลบังคับ. คำฟ้องของโจทก์จึงแสดงชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับ ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172. ฟ้องของโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม.
พ.ร.บ.ควบคุมค่าเช่านา ห้ามมิให้ผู้เช่านาเรียกเก็บค่าเช่านาที่มีผลทำนาได้ข้าวเปลือกโดยปกติไร่ละ 40 ถังต่อปี เรียกเก็บได้ไม่เกินไร่ละ 10 ถัง. ตามสัญญาที่ฟ้องเรียกเก็บค่าเช่าไร่ละ 15 ถัง. สัญญาดังกล่าวจึงขัดต่อกฎหมายตกเป็นโมฆะ ไม่มีผลบังคับให้เรียกค่าเช่ากันได้ตามสัญญา.
คำฟ้องของโจทก์นอกจากเรียกค่าเช่านาและขับไล่ โจทก์ยังได้บอกเลิกสัญญาเช่านารายนี้.และจำเลยได้ต่อสู้ว่า จำเลยได้เช่านาจากบุคคลอื่น. ที่นาไม่ใช่กรรมสิทธิ์ของโจทก์.โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง. คดีมีประเด็นจะต้องวินิจฉัยต่อไปการที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งงดสืบพยานโจทก์จำเลยเสียนั้นไม่ชอบ. การให้ศาลชั้นต้นทำการสืบพยานโจทก์จำเลยตามประเด็นแล้วพิพากษาใหม่.
พ.ร.บ.ควบคุมค่าเช่านา ห้ามมิให้ผู้เช่านาเรียกเก็บค่าเช่านาที่มีผลทำนาได้ข้าวเปลือกโดยปกติไร่ละ 40 ถังต่อปี เรียกเก็บได้ไม่เกินไร่ละ 10 ถัง. ตามสัญญาที่ฟ้องเรียกเก็บค่าเช่าไร่ละ 15 ถัง. สัญญาดังกล่าวจึงขัดต่อกฎหมายตกเป็นโมฆะ ไม่มีผลบังคับให้เรียกค่าเช่ากันได้ตามสัญญา.
คำฟ้องของโจทก์นอกจากเรียกค่าเช่านาและขับไล่ โจทก์ยังได้บอกเลิกสัญญาเช่านารายนี้.และจำเลยได้ต่อสู้ว่า จำเลยได้เช่านาจากบุคคลอื่น. ที่นาไม่ใช่กรรมสิทธิ์ของโจทก์.โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง. คดีมีประเด็นจะต้องวินิจฉัยต่อไปการที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งงดสืบพยานโจทก์จำเลยเสียนั้นไม่ชอบ. การให้ศาลชั้นต้นทำการสืบพยานโจทก์จำเลยตามประเด็นแล้วพิพากษาใหม่.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1892/2512 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาเช่านาขัดต่อ พรบ.ควบคุมค่าเช่านา โมฆะ ไม่มีผลบังคับ และประเด็นอำนาจฟ้องที่ต้องสืบพยาน
โจทก์ฟ้องว่า นายสุขเช่านา 36 ไร่ ต่อมานายสุขตายมรดกตกมาเป็นของจำเลยในฐานะทายาทโดยธรรม จำเลยเก็บผลประโยชน์ในนาที่เช่า จึงมีภาระต้องชำระค่าเช่าแทนผู้ตาย คิดเป็นเงิน 7,020 บาท โจทก์ได้มีหนังสือทวงถามให้จำเลยนำค่าเช่ามาชำระและได้บอกเลิกการเช่านา ขอให้ศาลบังคับ คำฟ้องของโจทก์จึงแสดงชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับ ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 ฟ้องของโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม
พระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่านา ห้ามมิให้ผู้เช่านาเรียกเก็บค่าเช่านาที่มีผลทำนาได้ข้าวเปลือกโดยปกติไร่ละ 40 ถังต่อปี เรียกเก็บได้ไม่เกินไร่ละ 10 ถัง ตามสัญญาที่ฟ้องเรียกเก็บค่าเช่าไร่ละ 15 ถัง สัญญาดังกล่าวจึงขัดต่อกฎหมายตกเป็นโมฆะ ไม่มีผลบังคับให้เรียกค่าเช่ากันได้ตามสัญญา
คำฟ้องของโจทก์นอกจากเรียกค่าเช่านาและขับไล่ โจทก์ยังได้บอกเลิกสัญญาเช่านารายนี้ และจำเลยได้ต่อสู้ว่า จำเลยได้เช่านาจากบุคคลอื่น ที่นาไม่ใช่กรรมสิทธิ์ของโจทก์โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง คดีมีประเด็นจะต้องวินิจฉัยต่อไปการที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งงดสืบพยานโจทก์จำเลยเสียนั้นไม่ชอบ การให้ศาลชั้นต้นทำการสืบพยานโจทก์จำเลยตามประเด็นแล้วพิพากษาใหม่
พระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่านา ห้ามมิให้ผู้เช่านาเรียกเก็บค่าเช่านาที่มีผลทำนาได้ข้าวเปลือกโดยปกติไร่ละ 40 ถังต่อปี เรียกเก็บได้ไม่เกินไร่ละ 10 ถัง ตามสัญญาที่ฟ้องเรียกเก็บค่าเช่าไร่ละ 15 ถัง สัญญาดังกล่าวจึงขัดต่อกฎหมายตกเป็นโมฆะ ไม่มีผลบังคับให้เรียกค่าเช่ากันได้ตามสัญญา
คำฟ้องของโจทก์นอกจากเรียกค่าเช่านาและขับไล่ โจทก์ยังได้บอกเลิกสัญญาเช่านารายนี้ และจำเลยได้ต่อสู้ว่า จำเลยได้เช่านาจากบุคคลอื่น ที่นาไม่ใช่กรรมสิทธิ์ของโจทก์โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง คดีมีประเด็นจะต้องวินิจฉัยต่อไปการที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งงดสืบพยานโจทก์จำเลยเสียนั้นไม่ชอบ การให้ศาลชั้นต้นทำการสืบพยานโจทก์จำเลยตามประเด็นแล้วพิพากษาใหม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1892/2512 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาเช่านาขัดต่อ พ.ร.บ.ควบคุมค่าเช่านา ศาลพิจารณาประเด็นอำนาจฟ้องและสิทธิการทำสัญญา
โจทก์ฟ้องว่า นายสุขเช่านา 36 ไร่ ต่อมานายสุขตาย มรดกตกเป็นของจำเลยในฐานะทายาทโดยธรรม จำเลยเก็บผลประโยชน์ในนาที่เช่า จึงมีภาระต้องชำระค่าเช่าแทนผู้ตาย คิดเป็นเงิน 7,020 บาท โจทก์ได้มีหนังสือทวงถามให้จำเลยนำค่าเช่ามาชำระและได้บอกเลิกการเช่านา ขอให้ศาลบังคับ คำฟ้องของโจทก์จึงแสดงชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับ ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 ฟ้องของโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม
พ.ร.บ.ควบคุมค่าเช่านา ห้ามมิให้ผู้เช่านาเรียกเก็บค่าเช่านาที่มีผลทำนาได้ข้าวเปลือกโดยปกติไร่ละ 40 ถึงต่อปี เรียกเก็บได้ไม่เกินไร่ละ 10 ถัง ตามสัญญาที่ฟ้องเรียกเก็บค่าเช่าไร่ละ 15 ถัง สัญญาดังกล่าวจึงขัดต่อกฎหมายตกเป็นโมฆะ ไม่มีผลบังคับให้เรียกค่าเช่ากันได้ตามสัญญา
คำฟ้องของโจทก์นอกจากเรียกค่าเช่านาและขับไล่ โจทก์ยังได้บอกเลิกสัญญาเช่านารายนี้และจำเลยได้ต่อสู้ว่า จำเลยได้เช่านาจากบุคคลอื่น ที่นาไม่ใช่กรรมสิทธิ์ของโจทก์ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง คดีมีประเด็นจะต้องวินิจฉัยต่อไป การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งงดสืบพยานโจทก์จำเลยเสียนั้นไม่ชอบ การให้ศาลชั้นต้นทำการสืบพยานโจทก์จำเลยตามประเด็นแล้วพิพากษาใหม่
พ.ร.บ.ควบคุมค่าเช่านา ห้ามมิให้ผู้เช่านาเรียกเก็บค่าเช่านาที่มีผลทำนาได้ข้าวเปลือกโดยปกติไร่ละ 40 ถึงต่อปี เรียกเก็บได้ไม่เกินไร่ละ 10 ถัง ตามสัญญาที่ฟ้องเรียกเก็บค่าเช่าไร่ละ 15 ถัง สัญญาดังกล่าวจึงขัดต่อกฎหมายตกเป็นโมฆะ ไม่มีผลบังคับให้เรียกค่าเช่ากันได้ตามสัญญา
คำฟ้องของโจทก์นอกจากเรียกค่าเช่านาและขับไล่ โจทก์ยังได้บอกเลิกสัญญาเช่านารายนี้และจำเลยได้ต่อสู้ว่า จำเลยได้เช่านาจากบุคคลอื่น ที่นาไม่ใช่กรรมสิทธิ์ของโจทก์ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง คดีมีประเด็นจะต้องวินิจฉัยต่อไป การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งงดสืบพยานโจทก์จำเลยเสียนั้นไม่ชอบ การให้ศาลชั้นต้นทำการสืบพยานโจทก์จำเลยตามประเด็นแล้วพิพากษาใหม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1809/2512
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องคดีลักทรัพย์: การระบุตัวเจ้าของทรัพย์และการรับสารภาพของจำเลย
ฟ้องว่าจำเลยบังอาจอาศัยโอกาสที่มีเพลิงไหม้ลักกระปุกอัดจารบีโรงสีเล็ก 1 อัน ราคา 80 บาท ของผู้ขนย้ายสิ่งของหนีไป โดยทุจริต. ดังนี้ พอที่จะเข้าใจได้ว่าทรัพย์เป็นของคนใดคนหนึ่งในพวกขนของหนีไฟ แล้วจำเลยบังอาจลักเอาไป. เท่ากับฟ้องระบุตัวเจ้าทรัพย์ไว้พอสมควรที่จำเลยจะต่อสู้คดีได้. ไม่เป็นฟ้องเคลือบคลุม.
เมื่อจำเลยรับสารภาพแล้วว่าได้ลักของกลางของผู้ขนของหนีไฟ. ศาลย่อมพิพากษาลงโทษไปได้ตามข้อเท็จจริงที่จำเลยรับสารภาพนั้น. ศาลจะยกเอาข้อสงสัยว่า ที่จำเลยรับอาจไม่ใช่ความจริง.มาเป็นเหตุยกฟ้องหาได้ไม่.
เมื่อจำเลยรับสารภาพแล้วว่าได้ลักของกลางของผู้ขนของหนีไฟ. ศาลย่อมพิพากษาลงโทษไปได้ตามข้อเท็จจริงที่จำเลยรับสารภาพนั้น. ศาลจะยกเอาข้อสงสัยว่า ที่จำเลยรับอาจไม่ใช่ความจริง.มาเป็นเหตุยกฟ้องหาได้ไม่.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1809/2512 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องคดีลักทรัพย์โดยไม่ระบุชื่อเจ้าของทรัพย์ ศาลพิจารณาจากข้อเท็จจริงที่จำเลยรับสารภาพได้
ฟ้องว่าจำเลยบังอาจอาศัยโอกาสที่มีเพลิงไหม้ลักกระปุกอัดจารบีโรงสีเล็ก 1 อัน ราคา 80 บาท ของผู้ขนย้ายสิ่งของหนีไป โดยทุจริต ดังนี้ พอที่จะเข้าใจได้ว่าทรัพย์เป็นของคนใดคนหนึ่งในพวกขนของหนีไฟ แล้วจำเลยบังอาจลักเอาไป เท่ากับฟ้องระบุตัวเจ้าทรัพย์ไว้พอสมควรที่จำเลยจะต่อสู้คดีได้ ไม่เป็นฟ้องเคลือบคลุม
เมื่อจำเลยรับสารภาพแล้วว่าได้ลักของกลางของผู้ขนของหนีไฟ ศาลย่อมพิพากษาลงโทษไปได้ตามข้อเท็จจริงที่จำเลยรับสารภาพนั้น ศาลจะยกเอาข้อสงสัยว่า ที่จำเลยรับอาจไม่ใช่ความจริง มาเป็นเหตุยกฟ้องหาได้ไม่
เมื่อจำเลยรับสารภาพแล้วว่าได้ลักของกลางของผู้ขนของหนีไฟ ศาลย่อมพิพากษาลงโทษไปได้ตามข้อเท็จจริงที่จำเลยรับสารภาพนั้น ศาลจะยกเอาข้อสงสัยว่า ที่จำเลยรับอาจไม่ใช่ความจริง มาเป็นเหตุยกฟ้องหาได้ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1809/2512 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การระบุตัวเจ้าของทรัพย์ในคดีลักทรัพย์: ฟ้องไม่เคลือบคลุมหากระบุได้ว่าทรัพย์เป็นของบุคคลกลุ่มที่ชัดเจน และการรับสารภาพของผู้ต้องหา
ฟ้องว่าจำเลยบังอาจอาศัยโอกาสที่มีเพลิงไหม้ลักกระปุกอัดจารบีโรงสีเล็ก 1 อัน ราคา 80 บาท ของผู้ขนย้ายสิ่งของหนีไฟ โดยทุจริต ดังนี้ พอที่จะเข้าใจได้ว่าทรัพย์เป็นของคนใดคนหนึ่ง ในพวกขนของหนีไฟ แล้วจำเลยบังอาจลักเอาไป เท่ากับฟ้องระบุตัวเจ้าทรัพย์ไว้พอสมควรที่จำเลยต่อต่อสู้คดีได้ ไม่เป็นฟ้องเคลือบคลุม
เมื่อจำเลยรับสารภาพแล้วว่าได้ลักของกลางของผู้ขนของหนีไฟ ศาลย่อมพิพากษาลงโทษไปได้ตามข้อเท็จจริงที่จำเลยรับสารภาพนั้น ศาลจะยกเอาข้อสงสัยว่า ที่จำเลยรับอาจไม่ใช่ความจริงมาเป็นเหตุยกฟ้องหาได้ไม่
เมื่อจำเลยรับสารภาพแล้วว่าได้ลักของกลางของผู้ขนของหนีไฟ ศาลย่อมพิพากษาลงโทษไปได้ตามข้อเท็จจริงที่จำเลยรับสารภาพนั้น ศาลจะยกเอาข้อสงสัยว่า ที่จำเลยรับอาจไม่ใช่ความจริงมาเป็นเหตุยกฟ้องหาได้ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1619/2512
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ผู้รับจ้างร่วม การรับผิดชอบต่อความเสียหายจากละเมิดของผู้รับจ้างร่วมอีกคนหนึ่ง
บุคคลสองคนทำสัญญาเป็นผู้รับจ้างร่วมกันในการวางท่อประปาตามถนนให้แก่กรมโยธาเทศบาล.และยอมรับผิดชอบร่วมกันและเป็นรายตัวสำหรับบรรดาข้อสัญญาทั้งมวล. แต่ผู้รับจ้างสองคนนั้นแบ่งงานกันทำ โดยคนหนึ่งเป็นผู้จัดหาวัสดุ และอีกคนหนึ่งเป็นผู้ดำเนินงานวางท่อประปา. ถึงแม้ผู้รับจ้างคนที่ดำเนินงานวางท่อประปาจะกระทำละเมิดขุดท่อระบายน้ำของเทศบาลเสียหาย. แต่ผู้รับจ้างทั้งสองก็มิใช่ลูกจ้างนายจ้าง หรือตัวแทนตัวการซึ่งกันและกัน. ผู้รับจ้างอีกคนหนึ่งซึ่งมิได้ร่วมกระทำละเมิด. จึงหาจำต้องร่วมรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อการละเมิดนั้นด้วยไม่. เพราะมิใช่ความรับผิดชอบตามสัญญาต่อผู้ว่าจ้าง.
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยหรือคนงานของจำเลยขุดถนน เป็นเหตุให้ท่อระบายน้ำของโจทก์เสียหาย. จำเลยให้การว่า จำเลยมิได้ขุดหรือให้คนงานของจำเลยขุดถนนเป็นเหตุให้ท่อระบายน้ำของโจทก์เสียหาย. ดังนี้ จำเลยย่อมมีสิทธินำสืบว่า.บุคคลอื่นเป็นผู้ทำให้โจทก์เสียหายได้. เพื่อแสดงให้เห็นว่า. จำเลยไม่จำต้องรับผิดตามฟ้อง.
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยหรือคนงานของจำเลยขุดถนน เป็นเหตุให้ท่อระบายน้ำของโจทก์เสียหาย. จำเลยให้การว่า จำเลยมิได้ขุดหรือให้คนงานของจำเลยขุดถนนเป็นเหตุให้ท่อระบายน้ำของโจทก์เสียหาย. ดังนี้ จำเลยย่อมมีสิทธินำสืบว่า.บุคคลอื่นเป็นผู้ทำให้โจทก์เสียหายได้. เพื่อแสดงให้เห็นว่า. จำเลยไม่จำต้องรับผิดตามฟ้อง.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1619/2512 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ผู้รับจ้างร่วม: ความรับผิดชอบต่อบุคคลภายนอกเมื่อเกิดละเมิดจากผู้รับจ้างร่วมอีกราย
บุคคลสองคนทำสัญญาเป็นผู้รับจ้างร่วมกันในการวางท่อประปาตามถนนให้แก่กรมโยธาเทศบาล และยอมรับผิดชอบร่วมกันและเป็นรายตัวสำหรับบรรดาข้อสัญญาทั้งมวล แต่ผู้รับจ้างสองคนนั้นแบ่งงานกันทำ โดยคนหนึ่งเป็นผู้จัดหาวัสดุ และอีกคนหนึ่งเป็นผู้ดำเนินงานวางท่อประปา ถึงแม้ผู้รับจ้างคนที่ดำเนินงานวางท่อประปาจะกระทำละเมิดขุดท่อระบายน้ำของเทศบาลเสียหาย แต่ผู้รับจ้างทั้งสองก็มิใช่ลูกจ้างนายจ้าง หรือตัวแทนตัวการซึ่งกันและกัน ผู้รับจ้างอีกคนหนึ่งซึ่งมิได้ร่วมกระทำละเมิด จึงหาจำต้องร่วมรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อการละเมิดนั้นด้วยไม่ เพราะมิใช่ความรับผิดชอบตามสัญญาต่อผู้ว่าจ้าง
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยหรือคนงานของจำเลยขุดถนน เป็นเหตุให้ท่อระบายน้ำของโจทก์เสียหาย จำเลยให้การว่า จำเลยมิได้ขุดหรือให้คนงานของจำเลยขุดถนนเป็นเหตุให้ท่อระบายน้ำของโจทก์เสียหาย ดังนี้ จำเลยย่อมมีสิทธินำสืบว่าบุคคลอื่นเป็นผู้ทำให้โจทก์เสียหายได้ เพื่อแสดงให้เห็นว่า จำเลยไม่จำต้องรับผิดตามฟ้อง
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยหรือคนงานของจำเลยขุดถนน เป็นเหตุให้ท่อระบายน้ำของโจทก์เสียหาย จำเลยให้การว่า จำเลยมิได้ขุดหรือให้คนงานของจำเลยขุดถนนเป็นเหตุให้ท่อระบายน้ำของโจทก์เสียหาย ดังนี้ จำเลยย่อมมีสิทธินำสืบว่าบุคคลอื่นเป็นผู้ทำให้โจทก์เสียหายได้ เพื่อแสดงให้เห็นว่า จำเลยไม่จำต้องรับผิดตามฟ้อง