คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
อาจิต ไชยาคำ

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 422 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 745/2512 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาว่าจ้างก่อสร้าง: ความรับผิดชอบของคู่สัญญา, การแก้ไขงาน, และการชดใช้ค่าก่อสร้างเมื่อเลิกสัญญา
จำเลยจ้างโจทก์ก่อสร้างตึกแถว เมื่อจำเลย หรือ ฟ.พบเห็นสิ่งใดโจทก์ทำไว้บกพร่องได้ทักท้วงบอกให้แก้ ได้ตกลงกันทำบันทึกระบุวิธีแก้ไข ดังนี้ ย่อมมีผลว่าเรื่องที่ให้ทักท้วงตกลงกันไปแล้วก็เป็นอันเป็นไปตามข้อตกลงใหม่ แต่ข้อบกพร่องอื่น ๆ ที่ยังไม่ได้พูดถึงจะถือว่าจำเลยยอมรับเอาทุกอย่างหาได้ไม่ จะเอาการที่ ฟ.ทักท้วงหรือไม่มาผูกมัดจำเลยไม่ได้เพราะ ฟ.เป็นเพียงผู้ที่จำเลยให้มาช่วยตรวจดูงานก่อสร้าง ไม่ใช่มาเป็นตัวแทนรับมอบงาน โจทก์ยังคงต้องรับผิดอยู่ เมื่อจำเลยบอกให้แก้ไขแล้วไม่แก้ไข ย่อมผิดสัญญา
อนึ่ง โจทก์เป็นช่างก่อสร้าง เอาแบบแปลนที่เขียนขึ้นเคร่า ๆ ไม่มีรายละเอียดให้ก่อสร้างได้สะดวกมาต่อท้ายสัญญาจ้าง โจทก์ย่อมเป็นฝ่ายไม่สุจริตไม่มีสิทธิเรียกเอาค่าจ้างจากจำเลยผู้ว่าจ้าง แต่การที่จำเลยเข้าทำสัญญาจ้างโดยไม่พิจารณาว่าแบบแปลนใช้ก่อสร้างได้หรือไม่ เพราะรายละเอียดมีไม่พอ
เป็นเหตุให้ต้องบอกโจทก์แก้ไขเพิ่มเติมสิ่งก่อสร้างบ่อย ๆ ถือว่าจำเลยมีส่วนผิดอยู่ด้วย จำเลยเป็นผู้ไม่สุจริต มีส่วนผิดที่ต้องเลิกสัญญา จำเลยจึงไม่อาจฟ้องแย้งเรียกค่าเสียหาย เพราะโจทก์ก่อสร้างไม่สำเร็จได้
โจทก์จำเลยต่างมีส่วนผิด บอกเลิกสัญญากันไปแล้ว การก่อสร้างที่โจทก์ลงทุนลงแรงไว้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 391 เมื่อเลิกสัญญากัน ให้กลับคืนสู่ฐานะดังที่เป็นอยู่เดิม ส่วนการงานอันได้กระทำให้ ก็ให้ทำได้ด้วยใช้เงินตามควรค่าแห่งการนั้น ๆ การจะให้โจทก์รื้อสัมภาระของโจทก์ไปย่อมเสียหายแก่โจทก์มาก การก่อสร้างที่ทำไปแล้ว ใช่ว่าใช้ไม่ได้เสียหายทีเดียว จำเลยยังอาจแก้ไขทำต่อใช้ประโยชน์ได้ จึงให้จำเลยรับเอาสิ่งปลูกสร้าง และค่าการงานชดใช้แก่โจทก์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 745/2512

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาจ้างก่อสร้าง: ความรับผิดของทั้งสองฝ่าย, การแก้ไขงาน, และการชดใช้ค่าก่อสร้างเมื่อเลิกสัญญา
จำเลยจ้างโจทก์ก่อสร้างตึกแถว เมื่อจำเลย หรือ ฟ.พบเห็นสิ่งใดโจทก์ทำไว้บกพร่องได้ทักท้วงบอกให้แก้ ได้ตกลงกันทำบันทึกระบุวิธีแก้ไข. ดังนี้ ย่อมมีผลว่าเรื่องที่ได้ทักท้วงตกลงกันไปแล้วก็เป็นอันเป็นไปตามข้อตกลงใหม่. แต่ข้อบกพร่องอื่นๆ ที่ยังไม่ได้พูดถึงจะถือว่าจำเลยยอมรับเอาทุกอย่างหาได้ไม่. จะเอาการที่ ฟ.ทักท้วงหรือไม่มาผูกมัดจำเลยไม่ได้. เพราะ ฟ.เป็นเพียงผู้ที่จำเลยให้มาช่วยตรวจดูงานก่อสร้าง. ไม่ใช่มาเป็นตัวแทนรับมอบงาน. โจทก์ยังคงต้องรับผิดอยู่ เมื่อจำเลยบอกให้แก้ไขแล้วไม่แก้ไข. ย่อมผิดสัญญา.
อนึ่ง โจทก์เป็นช่างก่อสร้าง เอาแบบแปลนที่เขียนขึ้นเคร่าๆไม่มีรายละเอียดให้ก่อสร้างได้สะดวกมาต่อท้ายสัญญาจ้าง. โจทก์ย่อมเป็นฝ่ายไม่สุจริตไม่มีสิทธิเรียกเอาค่าจ้างจากจำเลยผู้ว่าจ้าง. แต่การที่จำเลยเข้าทำสัญญาจ้างโดยไม่พิจารณาว่าแบบแปลนใช้ก่อสร้างได้หรือไม่ เพราะรายละเอียดมีไม่พอ. เป็นเหตุให้ต้องบอกโจทก์แก้ไขเพิ่มเติมสิ่งก่อสร้างบ่อยๆถือว่าจำเลยมีส่วนผิดอยู่ด้วย.จำเลยเป็นผู้ไม่สุจริต มีส่วนผิดที่ต้องเลิกสัญญา. จำเลยจึงไม่อาจฟ้องแย้งเรียกค่าเสียหาย. เพราะโจทก์ก่อสร้างไม่สำเร็จได้.
โจทก์จำเลยต่างมีส่วนผิด บอกเลิกสัญญากันไปแล้ว. การก่อสร้างที่โจทก์ลงทุนลงแรงไว้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 391. เมื่อเลิกสัญญากัน ให้กลับคืนสู่ฐานะดังที่เป็นอยู่เดิม. ส่วนการงานอันได้กระทำให้ ก็ให้ทำได้ด้วยใช้เงินตามควรค่าแห่งการนั้นๆ. การจะให้โจทก์รื้อสัมภาระของโจทก์ไปย่อมเสียหายแก่โจทก์มาก. การก่อสร้างที่ทำไปแล้ว ใช่ว่าใช้ไม่ได้เสียหายทีเดียว.จำเลยยังอาจแก้ไขทำต่อใช้ประโยชน์ได้ จึงให้จำเลยรับเอาสิ่งปลูกสร้าง และค่าการงานชดใช้แก่โจทก์.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 720/2512

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจ้าพนักงานเรียกรับทรัพย์สินในหน้าที่ โดยมีอำนาจตามกฎหมายแต่เรียกเงินเพิ่มเติมนอกเหนือจากที่กฎหมายกำหนด
จำเลยเป็นเจ้าพนักงานตำรวจ ขณะปฏิบัติหน้าที่เวรตำรวจจราจร. ได้สั่งให้ผู้เสียหายซึ่งขับรถยนต์บรรทุกฝ่าฝืนกฎจราจรหยุดรถเพื่อตรวจใบอนุญาตขับขี่. แล้วภายหลังเรียกเงินจากผู้เสียหาย. เช่นนี้ไม่เป็นความผิดตามมาตรา 148. เพราะมิได้ใช้อำนาจในตำแหน่งหน้าที่โดยมิชอบ. แต่เป็นความผิดตามมาตรา 149 ฐานเจ้าพนักงานเรียกรับทรัพย์สินโดยมิชอบ. และฐานเจ้าพนักงานทุจริตต่อหน้าที่ตามมาตรา 157 ด้วย. เมื่อโจทก์ฟ้องให้ลงโทษตามมาตรา 148 และ 157. แต่มิได้ขอให้ลงโทษตามมาตรา 149. ศาลย่อมลงโทษจำเลยตามมาตรา 157ได้.
จำเลยเป็นเจ้าพนักงานตำรวจจราจร. ได้เรียกให้ผู้เสียหายซึ่งขับรถยนต์บรรทุกฝ่าฝืนกฎจราจรหยุดรถเพื่อตรวจใบอนุญาตขับขี่และจับกุมอันเป็นการปฏิบัติในอำนาจหน้าที่. แต่ภายหลังได้เรียกเงินจากผู้เสียหายโดยมิชอบ. ดังนี้ คงเป็นความผิดฐานเจ้าพนักงานเรียกรับทรัพย์สินในอำนาจหน้าที่โดยมิชอบตามมาตรา149 และฐานเจ้าพนักงานทุจริตต่อตำแหน่งหน้าที่ตามมาตรา 157.ไม่เป็นความผิดตามมาตรา 337.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 720/2512 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจ้าพนักงานเรียกรับเงินจากผู้กระทำผิดกฎจราจร เข้าข่ายความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานเรียกรับทรัพย์สินและทุจริตต่อหน้าที่
จำเลยเป็นเจ้าพนักงานตำรวจ ขณะปฏิบัติหน้าที่เวรตำรวจจราจรได้สั่งให้ผู้เสียหายซึ่งขับรถยนต์บรรทุกฝ่าฝืนกฎจราจรหยุดรถเพื่อตรวจใบอนุญาตขับขี่ แล้วภายหลังเรียกเงินจากผู้เสียหายเช่นนี้ไม่เป็นความผิดตามมาตรา 148 เพราะมิได้ใช้อำนาจในตำแหน่งหน้าที่โดยมิชอบแต่เป็นความผิดตามมาตรา 149 ฐานเจ้าพนักงานเรียกรับทรัพย์สินโดยมิชอบและฐานเจ้าพนักงานทุจริตต่อหน้าที่ตามมาตรา 157 ด้วย เมื่อโจทก์ฟ้องให้ลงโทษตามมาตรา 148 และ 157 แต่มิได้ขอให้ลงโทษตามมาตรา 149ศาลย่อมลงโทษจำเลยตามมาตรา 157 ได้
จำเลยเป็นเจ้าพนักงานตำรวจจราจร ได้เรียกให้ผู้เสียหายซึ่งขับรถยนต์บรรทุกฝ่าฝืนกฎจราจรหยุดรถเพื่อตรวจใบอนุญาตขับขี่และจับกุมอันเป็นการปฏิบัติในอำนาจหน้าที่ แต่ภายหลังได้เรียกเงินจากผู้เสียหายโดยมิชอบ ดังนี้ คงเป็นความผิดฐานเจ้าพนักงานเรียกรับทรัพย์สินในอำนาจหน้าที่โดยมิชอบตามมาตรา149 และฐานเจ้าพนักงานทุจริตต่อตำแหน่งหน้าที่ตามมาตรา 157ไม่เป็นความผิดตามมาตรา 337

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 434/2512 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิในการนำสืบพยานเพิ่มเติมหลังศาลอนุญาตพยานฝ่ายตรงข้าม และหน้าที่ในการนำสืบเมื่อจำเลยต่อสู้ว่าสัญญากู้เป็นปลอม
ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 89 ถ้าศาลยอมรับฟังพยานจำเลยซึ่งเป็นฝ่ายที่สืบภายหลัง โดยที่จำเลยไม่ได้ถามค้านโจทก์ไว้ขณะโจทก์เบิกความคู่ความที่ได้นำพยานสืบก่อนจะเรียกพยานที่เกี่ยวข้องมาสืบอีกก็ได้ ถ้าโจทก์เพียงแต่ยื่นคำแถลงคัดค้านว่าคำสั่งศาลคลาดเคลื่อนด้วยกฎหมาย ขอโต้แย้งไว้ให้ศาลสูงวินิจฉัย โจทก์ไม่ได้ขอให้เรียกพยานที่เกี่ยวข้องของโจทก์มาสืบตามสิทธิที่มีอยู่ ดังนี้ จะว่าศาลไม่อนุญาตให้โจทก์นำพยานที่เกี่ยวข้องมาสืบอีกหาได้ไม่
โจทก์ฟ้องเรียกเงินที่จำเลยกู้ไป จำเลยปฏิเสธว่าไม่ได้ทำสัญญากู้ไว้กับโจทก์ โจทก์เอาสัญญากู้ซึ่งไม่มีข้อความอื่น นอกจากจำเลยเซ็นชื่อในช่องผู้กู้ให้ ป.มากรอกข้อความแล้วเอามาฟ้อง ดังนี้ เท่ากับจำเลยสู้ว่าสัญญากู้นั้นปลอม โจทก์จึงต้องนำสืบก่อน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 434/2512

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การรับฟังพยานภายหลัง และสิทธิในการนำพยานสืบเพิ่มเติมของคู่ความ
ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 89 ถ้าศาลยอมรับฟังพยานจำเลยซึ่งเป็นฝ่ายที่สืบภายหลัง โดยที่จำเลยไม่ได้ถามค้านโจทก์ไว้ขณะโจทก์เบิกความคู่ความที่ได้นำพยานสืบก่อนจะเรียกพยานที่เกี่ยวข้องมาสืบอีกก็ได้. ถ้าโจทก์เพียงแต่ยื่นคำแถลงคัดค้านว่าคำสั่งศาลคลาดเคลื่อนด้วยกฎหมาย. ขอโต้แย้งไว้ให้ศาลสูงวินิจฉัย. โจทก์ไม่ได้ขอให้เรียกพยานที่เกี่ยวข้องของโจทก์มาสืบตามสิทธิที่มีอยู่. ดังนี้ จะว่าศาลไม่อนุญาตให้โจทก์นำพยานที่เกี่ยวข้องมาสืบอีกหาได้ไม่.
โจทก์ฟ้องเรียกเงินที่จำเลยกู้ไป จำเลยปฏิเสธว่าไม่ได้ทำสัญญากู้ไว้กับโจทก์. โจทก์เอาสัญญากู้ซึ่งไม่มีข้อความอื่น นอกจากจำเลยเซ็นชื่อในช่องผู้กู้ให้ ป. มากรอกข้อความแล้วเอามาฟ้อง. ดังนี้ เท่ากับจำเลยสู้ว่าสัญญากู้นั้นปลอม. โจทก์จึงต้องนำสืบก่อน.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 434/2512 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การรับฟังพยานจำเลยหลังฝ่ายโจทก์สืบพยาน และสิทธิในการนำพยานหลักฐานเพิ่มเติมของโจทก์
ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 89 ถ้าศาลยอมรับฟังพยานจำเลยซึ่งเป็นฝ่ายที่สืบภายหลัง โดยที่จำเลยไม่ได้ถามค้านโจทก์ไว้ขณะโจทก์เบิกความคู่ความที่ได้นำพยานสืบก่อนจะเรียกพยานที่เกี่ยวข้องมาสืบอีกก็ได้ ถ้าโจทก์เพียงแต่ยื่นคำแถลงคัดค้านว่าคำสั่งศาลคลาดเคลื่อนด้วยกฎหมายขอโต้แย้งไว้ให้ศาลสูงวินิจฉัย โจทก์ไม่ได้ขอให้เรียกพยานที่เกี่ยวข้องของโจทก์มาสืบตามสิทธิที่มีอยู่ ดังนี้ จะว่าศาลไม่อนุญาตให้โจทก์นำพยานที่เกี่ยวข้องมาสืบอีกหาได้ไม่
โจทก์ฟ้องเรียกเงินที่จำเลยกู้ไป จำเลยปฏิเสธว่าไม่ได้ทำสัญญากู้ไว้กับโจทก์ โจทก์เอาสัญญากู้ซึ่งไม่มีข้อความอื่น นอกจากจำเลยเซ็นชื่อในช่องผู้กู้ให้ ป. มากรอกข้อความแล้วเอามาฟ้อง ดังนี้ เท่ากับจำเลยสู้ว่าสัญญากู้นั้นปลอมโจทก์จึงต้องนำสืบก่อน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 90/2512 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความรับผิดในสัญญาหมั้น: การสู่ขอและการชดใช้ค่าเสียหายจากการผิดสัญญา
ค่าเลี้ยงดูในวันทำพิธีแต่งงานไม่ใช่เป็นค่าใช้จ่ายในการเตรียมการสมรสอันจะเรียกค่าทดแทนกันได้ (เทียบฎีกาที่1166/2487).

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 90/2512 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความรับผิดในสัญญาหมั้น: ผู้สู่ขอมีส่วนร่วมรับผิดค่าเสียหายจากผิดสัญญา และค่าเลี้ยงดูในวันแต่งงานไม่ใช่ค่าเตรียมการสมรส
ค่าเลี้ยงดูในวันทำพิธีแต่งงานไม่ใช่เป็นค่าใช้จ่ายในการเตรียมการสมรสอันจะเรียกค่าทดแทนกันได้ (เทียบฎีกาที่1166/2487)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 90/2512

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความรับผิดในสัญญาหมั้นและการชดใช้ค่าเสียหายจากการผิดสัญญา รวมถึงขอบเขตค่าทดแทนที่ชอบด้วยกฎหมาย
ค่าเลี้ยงดูในวันทำพิธีแต่งงานไม่ใช่เป็นค่าใช้จ่ายในการเตรียมการสมรสอันจะเรียกค่าทดแทนกันได้ (เทียบฎีกาที่1166/2487).
of 43