คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
อาจิต ไชยาคำ

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 422 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 83/2512 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ทรัพย์สินระหว่างสามีภริยาที่ไม่ได้จดทะเบียนสมรส: เจตนาเป็นเจ้าของร่วมกันทำให้เป็นสินเดิม
การที่ชายหญิงแต่งงานกันโดยมิได้จดทะเบียนสมรส. แม้ทางกฎหมายจะไม่ถือว่าเป็นสามีภริยากันโดยชอบด้วยกฎหมาย ก็หากระทบกระเทือนถึงสิทธิในทรัพย์สินที่ชายหญิงจะพึงมีพิงได้ตามกฎหมายทั่วไปไม่
ในระหว่างที่ผู้ร้องกับจำเลยยังไม่ได้จดทะเบียนสมรสกันแต่ตามพฤติการณ์ที่ผู้ร้องกับจำเลยปฏิบัติต่อกัน เช่นผู้ร้องไปทำมาค้าขายโดยตนเอง ส่วนจำเลยเลี้ยงบุตรเป็นแม่บ้าน และผู้ร้องออกเงินซื้อที่ดินปลูกตึกและสิ่งปลูกสร้างลงในที่ดิน แล้วผู้ร้องจำเลยกับบุตรก็เข้าอยู่ด้วยกันตลอดมา ก็เป็นการแสดงว่าผู้ร้องกับจำเลยได้ร่วมกันทำมาหากินแสวงหาทรัพย์สินมาเป็นสมบัติของผู้ร้องและจำเลยร่วมกัน ทั้งมีเจตนาที่จะเป็นเจ้าของในทรัพย์พิพาทโดยใช้เป็นที่อยู่อาศัยร่วมกัน พฤติการณ์ดังกล่าวจึงเห็นได้ว่าบรรดาทรัพย์ที่ผู้ร้องหรือจำเลยหามาได้ระหว่างนั้น แม้จะเป็นด้วยแรงหรือเงินของฝ่ายใดก็ไม่สำคัญก็ต้องถือว่าเป็นทรัพย์ที่ได้มาโดยทั้งสองฝ่ายมีเจตนาที่จะเป็นเจ้าของร่วมกันและเมื่อผู้ร้องกับจำเลยได้จดทะเบียนสมรสกัน ทรัพย์ทั้งหมดโดยเฉพาะทรัพย์พิพาทจึงเป็นสินบริคณห์ประเภทสินเดิมของผู้ร้องและจำเลยเท่าๆกัน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 83/2512 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ทรัพย์สินระหว่างสมรส แม้ไม่ได้จดทะเบียนสมรส หากมีเจตนาเป็นเจ้าของร่วมกัน ถือเป็นสินเดิม
การที่ชายหญิงแต่งงานกันโดยมิได้จดทะเบียนสมรสแม้ทางกฎหมายจะไม่ถือว่าเป็นสามีภริยากันโดยชอบด้วยกฎหมาย ก็หากระทบกระเทือนถึงสิทธิในทรัพย์สินที่ชายหญิงจะพึงมีพึงได้ตามกฎหมายทั่วไปไม่
ในระหว่างที่ผู้ร้องกับจำเลยยังไม่ได้จดทะเบียนสมรสกันแต่ตามพฤติการณ์ที่ผู้ร้องกับจำเลยปฏิบัติต่อกันเช่นผู้ร้องไปทำมาค้าขายโดยตนเอง ส่วนจำเลยเลี้ยงบุตรเป็นแม่บ้าน และผู้ร้องออกเงินซื้อที่ดินปลูกตึกและสิ่งปลูกสร้างลงในที่ดิน แล้วผู้ร้องจำเลยกับบุตรก็เข้าอยู่ด้วยกันตลอดมา ก็เป็นการแสดงว่าผู้ร้องกับจำเลยได้ร่วมกันทำมาหากินแสวงหาทรัพย์สินมาเป็นสมบัติของผู้ร้องและจำเลยร่วมกัน ทั้งมีเจตนาที่จะเป็นเจ้าของในทรัพย์พิพาทโดยใช้เป็นที่อยู่อาศัยร่วมกันพฤติการณ์ดังกล่าวจึงเห็นได้ว่าบรรดาทรัพย์ที่ผู้ร้องหรือจำเลยหามาได้ระหว่างนั้นแม้จะเป็นด้วยแรงหรือเงินของฝ่ายใดก็ไม่สำคัญก็ต้องถือว่าเป็นทรัพย์ที่ได้มาโดยทั้งสองฝ่ายมีเจตนาที่จะเป็นเจ้าของร่วมกันและเมื่อผู้ร้องกับจำเลยได้จดทะเบียนสมรสกันทรัพย์ทั้งหมดโดยเฉพาะทรัพย์พิพาทจึงเป็นสินบริคณห์ประเภทสินเดิมของผู้ร้องและจำเลยเท่าๆกัน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 83/2512

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ทรัพย์สินระหว่างจดทะเบียนสมรส: เจตนาเป็นเจ้าของร่วมกัน แม้ฝ่ายหนึ่งออกเงินซื้อ
การที่ชายหญิงแต่งงานกันโดยมิได้จดทะเบียนสมรส. แม้ทางกฎหมายจะไม่ถือว่าเป็นสามีภริยากันโดยชอบด้วยกฎหมาย. ก็หากระทบกระเทือนถึงสิทธิในทรัพย์สินที่ชายหญิงจะพึงมีพิงได้ตามกฎหมายทั่วไปไม่.
ในระหว่างที่ผู้ร้องกับจำเลยยังไม่ได้จดทะเบียนสมรสกัน.แต่ตามพฤติการณ์ที่ผู้ร้องกับจำเลยปฏิบัติต่อกัน. เช่นผู้ร้องไปทำมาค้าขายโดยตนเอง. ส่วนจำเลยเลี้ยงบุตรเป็นแม่บ้าน. และผู้ร้องออกเงินซื้อที่ดินปลูกตึกและสิ่งปลูกสร้างลงในที่ดิน. แล้วผู้ร้องจำเลยกับบุตรก็เข้าอยู่ด้วยกันตลอดมา. ก็เป็นการแสดงว่าผู้ร้องกับจำเลยได้ร่วมกันทำมาหากินแสวงหาทรัพย์สินมาเป็นสมบัติของผู้ร้องและจำเลยร่วมกัน. ทั้งมีเจตนาที่จะเป็นเจ้าของในทรัพย์พิพาทโดยใช้เป็นที่อยู่อาศัยร่วมกัน. พฤติการณ์ดังกล่าวจึงเห็นได้ว่าบรรดาทรัพย์ที่ผู้ร้องหรือจำเลยหามาได้ระหว่างนั้น แม้จะเป็นด้วยแรงหรือเงินของฝ่ายใดก็ไม่สำคัญ.ก็ต้องถือว่าเป็นทรัพย์ที่ได้มาโดยทั้งสองฝ่ายมีเจตนาที่จะเป็นเจ้าของร่วมกัน. และเมื่อผู้ร้องกับจำเลยได้จดทะเบียนสมรสกัน. ทรัพย์ทั้งหมดโดยเฉพาะทรัพย์พิพาทจึงเป็นสินบริคณห์ประเภทสินเดิมของผู้ร้องและจำเลยเท่าๆกัน.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2103/2511

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจศาลอุทธรณ์วินิจฉัยข้อเท็จจริงในสำนวน – ไม่จำเป็นต้องย้อนสำนวน
ศาลอุทธรณ์มีอำนาจที่จะวินิจฉัยตามข้อเท็จจริงที่ปรากฏอยู่แล้วในสำนวนไปได้. โดยมิจำต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นพิจารณาคดีนั้นใหม่. ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 243(3).(อ้างฎีกาที่ 1050/2500).

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2103/2511 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจศาลอุทธรณ์ในการวินิจฉัยข้อเท็จจริงตามสำนวนเดิม โดยไม่ต้องย้อนสำนวน
ศาลอุทธรณ์มีอำนาจที่จะวินิจฉัยตามข้อเท็จจริงที่ปรากฏอยู่แล้วในสำนวนไปได้ โดยมิจำต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นพิจารณาคดีนั้นใหม่ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 243(3) (อ้างฎีกาที่ 1050/2500)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2005/2511 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การจดทะเบียนสิทธิในที่ดินสำคัญกว่าข้อตกลงปากเปล่า ผู้รับจำนองยึดทรัพย์ได้แม้มีข้อตกลงเรื่องถนน
ที่ดินโฉนดที่ 12135 เดิมเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินโฉนดที่ 1402 ก.แบ่งแยกขายที่ดินให้จำเลยไปตามโฉนดที่ 12135 โดยรังวัดแบ่งแยกส่วนที่จะตัดเป็นถนนสาธารณะ ให้จำเลยไปด้วย ดังนี้ ข้อที่ ก.กับจำเลยตกลงกันว่าจะรังวัดแบ่งแยกที่พิพาทให้เป็นถนนสาธารณะในภายหลังนั้น เมื่อมิได้จดทะเบียนสิทธิ จะยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้โจทก์ผู้รับจำนองจากจำเลยโดยที่โจทก์ได้สิทธิมาโดยเสียค่าตอบแทนและโดยสุจริตหาได้ไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2005/2511 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การจดทะเบียนสิทธิในที่ดินสำคัญกว่าข้อตกลงปากเปล่า ผู้รับจำนองโดยสุจริตมีสิทธิเหนือทรัพย์สิน
ที่ดินโฉนดที่ 12135 เดิมเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินโฉนดที่ 1402 ก.แบ่งแยกขายที่ดินให้จำเลยไปตามโฉนดที่ 12135 โดยรังวัดแบ่งแยกส่วนที่จะตัดเป็นถนนสาธารณะ ให้จำเลยไปด้วย ดังนี้ ข้อที่ ก.กับจำเลยตกลงกันว่าจะรังวัดแบ่งแยกที่พิพาทให้เป็นถนนสาธารณะในภายหลังนั้น เมื่อมิได้จดทะเบียนสิทธิ จะยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้โจทก์ผู้รับจำนองจากจำเลยโดยที่โจทก์ได้สิทธิมาโดยเสียค่าตอบแทนและโดยสุจริตหาได้ไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2005/2511

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิในที่ดินส่วนที่เป็นถนนสาธารณะที่ตกลงกันแต่ยังมิได้จดทะเบียน ไม่สามารถยกขึ้นต่อสู้ผู้รับจำนองสุจริตได้
ที่ดินโฉนดที่ 12135 เดิมเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินโฉนดที่ 1402. ก.แบ่งแยกขายที่ดินให้จำเลยไปตามโฉนดที่ 12135 โดยรังวัดแบ่งแยกส่วนที่จะตัดเป็นถนนสาธารณะ ให้จำเลยไปด้วย. ดังนี้ ข้อที่ ก.กับจำเลยตกลงกันว่าจะรังวัดแบ่งแยกที่พิพาทให้เป็นถนนสาธารณะในภายหลังนั้น. เมื่อมิได้จดทะเบียนสิทธิ. จะยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้โจทก์ผู้รับจำนองจากจำเลยโดยที่โจทก์ได้สิทธิมาโดยเสียค่าตอบแทนและโดยสุจริตหาได้ไม่.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1986/2511

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การครอบครองแทนและอายุความฟ้องเรียกมรดกส่วนแบ่งของผู้เยาว์
บิดาโจทก์ครอบครองที่มรดกแทนโจทก์ไว้ตั้งแต่โจทก์ยังเยาว์ตลอดมา. จนภายหลังที่โจทก์บรรลุนิติภาวะแล้วจนกระทั่งบิดาตาย ก็ไม่ปรากฏว่าได้บอกกล่าวแสดงเจตนาว่าจะไม่ยึดถือครอบครองแทนอีกต่อไป. ฉะนั้น แม้โจทก์จะออกจากที่พิพาทไปนานแล้ว ก็ยังไม่ขาดอายุความฟ้องเรียกมรดกส่วนของตนซึ่งบิดาครอบครองแทนไว้.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1986/2511 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การครอบครองแทนและอายุความฟ้องเรียกมรดกของผู้เยาว์ แม้ออกจากที่ดินไปแล้วก็ไม่ขาดอายุความ
บิดาโจทก์ครอบครองที่มรดกแทนโจทก์ไว้ตั้งแต่โจทก์ยังเยาว์ตลอดมา จนภายหลังที่โจทก์บรรลุนิติภาวะแล้วจนกระทั่งบิดาตาย ก็ไม่ปรากฏว่าได้บอกกล่าวแสดงเจตนาว่าจะไม่ยึดถือครอบครองแทนอีกต่อไป ฉะนั้น แม้โจทก์จะออกจากที่พิพาทไปนานแล้ว ก็ยังไม่ขาดอายุความฟ้องเรียกมรดกส่วนของตนซึ่งบิดาครอบครองแทนไว้
of 43