คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
อาจิต ไชยาคำ

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 422 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1818/2511 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาเหมาเจาะบ่อน้ำ: การชำระหนี้ไม่เป็นพ้นวิสัย, สิทธิบอกเลิกสัญญา, การคืนเงินและชดใช้ค่าเสื่อม
ข้อสัญญาที่มีวัตถุประสงค์เป็นการพ้นวิสัยนั้น จะต้องเป็นข้อสัญญาที่ผู้ให้สัญญาไม่มีทางปฏิบัติได้เลย
จำเลยทำสัญญารับจ้างเหมาโจทก์เจาะบ่อน้ำบาดาล เงื่อนไขที่กำหนดไว้ในข้อสัญญาที่ให้รับประกันปริมาณและคุณภาพน้ำให้ใช้บริโภคได้มีกำหนดเวลา 4 ปีนั้น เป็นเงื่อนไขที่สามารถปฏิบัติได้ หาเป็นการพ้นวิสัยไม่ การที่จำเลยไม่สามารถเจาะบ่อน้ำบาดาลให้โจทก์ใช้ได้ถึง 4 ปีตามสัญญา จึงไม่ใช่กรณีการชำระหนี้ตกเป็นพ้นวิสัย
ตามสัญญาจ้างเหมา ข้อ 13 ถือว่ารายการแนบท้ายหมาย จ.5, จ.6 เป็นส่วนหนึ่งของสัญญาด้วย และในรายการแนบท้ายดังกล่าว ข้อ 6 (14) (15) ผู้รับจ้างคือจำเลย ก็ได้สัญญาให้โจทก์ได้ใช้น้ำในประมาณตามที่กำหนด และรับรองให้โจทก์ได้ใช้น้ำบริโภคได้เป็นกำหนดเวลา 4 ปีนับแต่วันที่คณะกรรมการของโจทก์รับมอบงานงวดสุดท้ายและในรายการแนบท้าย ข้อ 6 (16) ก็ได้ระบุว่า ถ้าหากการดำเนินการของผู้รับจ้างได้ผลเป็นที่พอใจของผู้ว่าจ้างตามข้อ (14)และ (15) ผู้ว่าจ้างจะถือว่าผู้รับจ้างได้กระทำการให้ผู้ว่าจ้างถูกต้องเรียบร้อยเสร็จบริบูรณ์แล้ว ฉะนั้น เมื่อจำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญาไม่สามารถจะให้โจทก์ได้ใช้น้ำจนครบกำหนด 4 ปี โจทก์จึงมีสิทธิบอกเลิกสัญญาตามสัญญาข้อ 5 ได้ เพราะในสัญญาข้อนี้ได้ระบุไว้ว่า 'ฯลฯ หรือผู้รับจ้างทำผิดสัญญาข้อหนึ่งข้อใดก็ดี ผู้ว่าจ้างมีสิทธิที่จะบอกเลิกสัญญานี้ได้ ฯลฯ' ซึ่งข้อความนี้หาได้จำกัดเฉพาะสัญญาข้อ 5 ก. ข. ค. ไม่
โจทก์จ้างจำเลยขุดบ่อน้ำบาดาล จำเลยรับประกันปริมาณและคุณภาพน้ำให้ใช้บริโภคได้มีกำหนด 4 ปี เมื่อโจทก์ใช้สิทธิบอกเลิกสัญญากับจำเลยแล้ว คู่สัญญาแต่ละฝ่ายจำต้องให้อีกฝ่ายหนึ่งได้กลับคืนสู่ฐานะดังที่เป็นอยู่เดิม ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 391 การให้คู่สัญญากลับคืนสู่ฐานะเดิม จำเลยจะต้องคืนเงินค่าจ้างเหมาที่ได้รับไปแล้วแก่โจทก์ ส่วนโจทก์ก็จะต้องคืนสิ่งของต่างๆ ที่จำเลยนำมาติดตั้งให้โจทก์แก่จำเลยแต่ได้ปรากฏว่าสิ่งของต่าง ๆ ที่จะต้องคืนให้แก่จำเลยนั้น โจทก์ได้นำไปใช้แล้วเป็นเวลาถึง 18 เดือน ทั้งจำเลยก็ได้ลงทุนลงแรงขุดเจาะน้ำบาดาลจนให้โจทก์มีน้ำใช้บริโภคได้ การคืนเงินของจำเลยแก่โจทก์จึงต้องหักจำนวนเงินค่าเสื่อมราคาสิ่งของเพื่อชดเชยให้กลับคืนสู่สภาพเดิม กับค่าการงานในการติดตั้งให้จำเลย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1818/2511 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาจ้างเหมาเจาะบ่อน้ำบาดาล: การผิดสัญญาและสิทธิในการบอกเลิกสัญญา รวมถึงการคืนเงินและค่าเสื่อมสภาพ
ข้อสัญญาที่มีวัตถุประสงค์เป็นการพ้นวิสัยนั้น จะต้องเป็นข้อสัญญาที่ผู้ให้สัญญาไม่มีทางปฏิบัติได้เลย
จำเลยทำสัญญารับจ้างเหมาโจทก์เจาะบ่อน้ำบาดาล เงื่อนไขที่กำหนดไว้ในข้อสัญญาที่ให้รับประกันปริมาณและคุณภาพน้ำให้ใช้บริโภคได้มีกำหนดเวลา 4 ปีนั้น เป็นเงื่อนไขที่สามารถปฏิบัติได้ หาเป็นการพ้นวิสัยไม่ การที่จำเลยไม่สามารถเจาะบ่อน้ำบาดาลให้โจทก์ใช้ได้ถึง 4 ปีตามสัญญา จึงไม่ใช่กรณีการชำระหนี้ตกเป็นพ้นวิสัย
ตามสัญญาจ้างเหมา ข้อ 13 ถือว่ารายการแนบท้ายหมายจ.5, จ.6 เป็นส่วนหนึ่งของสัญญาด้วย และในรายการแนบท้ายดังกล่าว ข้อ 6(14)(15) ผู้รับจ้างคือจำเลย ก็ได้สัญญาให้โจทก์ได้ใช้น้ำในประมาณตามที่กำหนด และรับรองให้โจทก์ได้ใช้น้ำบริโภคได้เป็นกำหนดเวลา 4 ปีนับแต่วันที่คณะกรรมการของโจทก์รับมอบงานงวดสุดท้าย และในรายการแนบท้าย ข้อ 6(16) ก็ได้ระบุว่า ถ้าหากการดำเนินการของผู้รับจ้างได้ผลเป็นที่พอใจของผู้ว่าจ้างตามข้อ (14)และ (15) ผู้ว่าจ้างจะถือว่าผู้รับจ้างได้กระทำการให้ผู้ว่าจ้างถูกต้องเรียบร้อยเสร็จบริบูรณ์แล้ว ฉะนั้น เมื่อจำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญาไม่สามารถจะให้โจทก์ได้ใช้น้ำจนครบกำหนด 4 ปี โจทก์จึงมีสิทธิบอกเลิกสัญญาตามสัญญาข้อ 5 ได้ เพราะในสัญญาข้อนี้ได้ระบุไว้ว่า "ฯลฯหรือผู้รับจ้างทำผิดสัญญาข้อหนึ่งข้อใดก็ดี ผู้ว่าจ้างมีสิทธิที่จะบอกเลิกสัญญานี้ได้ ฯลฯ" ซึ่งข้อความนี้หาได้จำกัดเฉพาะสัญญาข้อ 5 ก. ข. ค. ไม่
โจทก์จ้างจำเลยขุดบ่อน้ำบาดาล จำเลยรับประกันปริมาณและคุณภาพน้ำให้ใช้บริโภคได้มีกำหนด 4 ปี เมื่อโจทก์ใช้สิทธิบอกเลิกสัญญากับจำเลยแล้ว คู่สัญญาแต่ละฝ่ายจำต้องให้อีกฝ่ายหนึ่งได้กลับคืนสู่ฐานะดังที่เป็นอยู่เดิม ตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 391 การให้คู่สัญญากลับคืนสู่ฐานะเดิม จำเลยจะต้องคืนเงินค่าจ้างเหมาที่ได้รับไปแล้วแก่โจทก์ ส่วนโจทก์ก็จะต้องคืนสิ่งของต่างๆ ที่จำเลยนำมาติดตั้งให้โจทก์แก่จำเลย แต่ได้ปรากฏว่าสิ่งของต่างๆ ที่จะต้องคืนให้แก่จำเลยนั้น โจทก์ได้นำไปใช้แล้วเป็นเวลาถึง 18 เดือน ทั้งจำเลยก็ได้ลงทุนลงแรงขุดเจาะน้ำบาดาลจนให้โจทก์มีน้ำใช้บริโภคได้ การคืนเงินของจำเลยแก่โจทก์ จึงต้องหักจำนวนเงินค่าเสื่อมราคาสิ่งของเพื่อชดเชยให้กลับคืนสู่สภาพเดิม กับค่าการงานในการติดตั้งให้จำเลย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1814/2511 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การหักเงินค่าจ้างเพื่อเป็นค่าปรับก่อนฟ้องล้มละลาย ไม่ถือเป็นการทำให้เจ้าหนี้อื่นเสียเปรียบ
ลูกหนี้ทำสัญญารับจ้างก่อสร้างตึกพร้อมครุภัณฑ์โดยมีข้อสัญญาว่า หากลูกหนี้ก่อสร้างไม่เสร็จภายในกำหนดเวลา ยอมให้ผู้ว่าจ้างปรับเป็นรายวัน วันละ 2,500 บาท และผู้ว่าจ้างมีอำนาจยึดและหักเงินค่าจ้างที่ค้างชำระไว้เพื่อเป็นค่าทดแทนได้ ปรากฏว่าลูกหนี้ผิดสัญญาก่อสร้างล่าช้าไป ซึ่งต้องถูกปรับ ผู้ว่าจ้างจึงหักเงินค่าจ้างงวดสุดท้ายที่จะจ่ายให้ลูกหนี้ไว้เป็นค่าเบี้ยปรับตามสัญญา ทั้งนี้ภายในระยะเวลาสามเดือนก่อนมีการฟ้องขอให้ลูกหนี้ล้มละลาย ลูกหนี้ได้มีหนังสือถึงผู้ว่าจ้างขอให้ระงับการปรับแต่ผู้ว่าจ้างไม่ยินยอม แม้ลูกหนี้จะยอมทำหลักฐานให้ผู้ว่าจ้างไว้ว่าได้รับเงินค่าจ้างงวดสุดท้ายครบถ้วนเต็มจำนวนแล้วก็ถือไม่ได้ว่าลูกหนี้ได้กระทำหรือยินยอมให้กระทำโดยมุ่งหมายให้ผู้ว่าจ้างเจ้าหนี้คนหนึ่งได้เปรียบแก่เจ้าหนี้อื่น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1814/2511 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การหักเงินค่าจ้างเป็นค่าปรับก่อนล้มละลาย ไม่เป็นการทำให้เจ้าหนี้อื่นเสียเปรียบ
ลูกหนี้ทำสัญญารับจ้างก่อสร้างตึกพร้อมครุภัณฑ์โดยมีข้อสัญญาว่าหากลูกหนี้ก่อสร้างไม่เสร็จภายในกำหนดเวลา ยอมให้ผู้ว่าจ้างปรับเป็นรายวัน วันละ 2,500 บาท และผู้ว่าจ้างมีอำนาจยึดและหักเงินค่าจ้างที่ค้างชำระไว้เพื่อเป็นค่าทดแทนได้ ปรากฏว่าลูกหนี้ผิดสัญญาก่อสร้างล่าช้าไป ซึ่งต้องถูกปรับ ผู้ว่าจ้างจึงหักเงินค่าจ้างงวดสุดท้ายที่จะจ่ายให้ลูกหนี้ไว้เป็นค่าเบี้ยปรับตามสัญญา ทั้งนี้ภายในระยะเวลาสามเดือนก่อนมีการฟ้องขอให้ลูกหนี้ล้มละลาย ลูกหนี้ได้มีหนังสือถึงผู้ว่าจ้างขอให้ระงับการปรับ แต่ผู้ว่าจ้างไม่ยินยอม แม้ลูกหนี้จะยอมทำหลักฐานให้ผู้ว่าจ้างไว้ว่าได้รับเงินค่าจ้างงวดสุดท้ายครบถ้วนเต็มจำนวนแล้ว ก็ถือไม่ได้ว่าลูกหนี้ได้กระทำหรือยินยอมให้กระทำโดยมุ่งหมายให้ผู้ว่าจ้างเจ้าหนี้คนหนึ่งได้เปรียบแก่เจ้าหนี้อื่น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1814/2511

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การหักเงินค่าจ้างเพื่อเป็นค่าปรับตามสัญญา และผลกระทบต่อเจ้าหนี้อื่นในคดีล้มละลาย
ลูกหนี้ทำสัญญารับจ้างก่อสร้างตึกพร้อมครุภัณฑ์โดยมีข้อสัญญาว่า. หากลูกหนี้ก่อสร้างไม่เสร็จภายในกำหนดเวลา. ยอมให้ผู้ว่าจ้างปรับเป็นรายวัน วันละ 2,500 บาท และผู้ว่าจ้างมีอำนาจยึดและหักเงินค่าจ้างที่ค้างชำระไว้เพื่อเป็นค่าทดแทนได้. ปรากฏว่าลูกหนี้ผิดสัญญาก่อสร้างล่าช้าไป ซึ่งต้องถูกปรับ. ผู้ว่าจ้างจึงหักเงินค่าจ้างงวดสุดท้ายที่จะจ่ายให้ลูกหนี้ไว้เป็นค่าเบี้ยปรับตามสัญญา. ทั้งนี้ภายในระยะเวลาสามเดือนก่อนมีการฟ้องขอให้ลูกหนี้ล้มละลาย ลูกหนี้ได้มีหนังสือถึงผู้ว่าจ้างขอให้ระงับการปรับ.แต่ผู้ว่าจ้างไม่ยินยอม. แม้ลูกหนี้จะยอมทำหลักฐานให้ผู้ว่าจ้างไว้ว่าได้รับเงินค่าจ้างงวดสุดท้ายครบถ้วนเต็มจำนวนแล้ว.ก็ถือไม่ได้ว่าลูกหนี้ได้กระทำหรือยินยอมให้กระทำ.โดยมุ่งหมายให้ผู้ว่าจ้างเจ้าหนี้คนหนึ่งได้เปรียบแก่เจ้าหนี้อื่น.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1793/2511 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจผู้จัดการธนาคารออมสิน: ผู้อำนวยการเท่านั้นที่มีอำนาจดำเนินคดีแทนธนาคาร
ตามพระราชบัญญัติธนาคารออมสิน พ.ศ.2489 ซึ่งก่อตั้งธนาคารออมสินเป็นนิติบุคคลมีบัญญัติไว้โดยชัดแจ้งในมาตรา16 ว่าให้ผู้อำนวยการเป็นผู้จัดการธนาคารออมสิน มีอำนาจและหน้าที่ดำเนินกิจการให้เป็นไปตามกฎหมาย กฎ และข้อบังคับของธนาคารออมสิน โดยไม่มีมาตราอื่นใดให้อำนาจแก่ประธานกรรมการที่จะเข้ามาดำเนินกิจการอย่างเดียวกับผู้อำนวยการได้ ย่อมเป็นที่เห็นได้ว่า พระราชบัญญัติดังกล่าวให้อำนาจผู้อำนวยการแต่ผู้เดียวที่จะเป็นผู้จัดการทำการแทนธนาคารออมสินซึ่งเป็นนิติบุคคลรวมตลอดถึงการดำเนินคดี ประธานกรรมการหามีอำนาจไม่
เมื่อประธานกรรมการเข้ามาดำเนินการต่อสู้คดีแทนธนาคารออมสินซึ่งถูกฟ้องเป็นจำเลย โดยแต่งตั้งทนายดำเนินคดี มีการพิจารณาสืบพยานโจทก์จำเลยจนเสร็จสิ้นแล้ว และในตอนหลังธนาคารออมสินโดยผู้อำนวยการซึ่งเป็นผู้มีอำนาจและหน้าที่ดำเนินกิจการตามกฎหมายก็ได้แต่งทนายเป็นการถูกต้อง โดยแต่งตั้งทนายคนเดียวกันกับประธานกรรมการและมิได้โต้แย้งคัดค้านกระบวนพิจารณาที่ได้กระทำมาแล้วแต่ประการใด ย่อมมีเหตุสมควรที่ศาลจะพิพากษาคดีไปตามกระบวนพิจารณาที่ได้ดำเนินมาแล้วโดยไม่จำต้องเพิกถอนกระบวนพิจารณาเดิม ทั้งนี้ อาศัยอำนาจตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 66 ซึ่งให้ศาลสอบสวนถึงอำนาจของผู้แทนนิติบุคคล ถึงแม้ผู้นั้นจะไม่มีอำนาจหรืออำนาจบกพร่อง ศาลจะยกฟ้องหรือมีคำพิพากษาหรือมีคำสั่งอย่างอื่นได้ตามที่เห็นสมควร เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1793/2511

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจจัดการของผู้อำนวยการธนาคารออมสิน vs. ประธานกรรมการ และผลต่อกระบวนการพิจารณาคดี
ตามพระราชบัญญัติธนาคารออมสิน พ.ศ.2489 ซึ่งก่อตั้งธนาคารออมสินเป็นนิติบุคคลมีบัญญัติไว้โดยชัดแจ้งในมาตรา16. ว่าให้ผู้อำนวยการเป็นผู้จัดการธนาคารออมสิน มีอำนาจและหน้าที่ดำเนินกิจการให้เป็นไปตามกฎหมาย กฎ และข้อบังคับของธนาคารออมสิน. โดยไม่มีมาตราอื่นใดให้อำนาจแก่ประธานกรรมการที่จะเข้ามาดำเนินกิจการอย่างเดียวกับผู้อำนวยการได้. ย่อมเป็นที่เห็นได้ว่า พระราชบัญญัติดังกล่าวให้อำนาจผู้อำนวยการแต่ผู้เดียวที่จะเป็นผู้จัดการทำการแทนธนาคารออมสินซึ่งเป็นนิติบุคคลรวมตลอดถึงการดำเนินคดี. ประธานกรรมการหามีอำนาจไม่.
เมื่อประธานกรรมการเข้ามาดำเนินการต่อสู้คดีแทนธนาคารออมสินซึ่งถูกฟ้องเป็นจำเลย. โดยแต่งตั้งทนายดำเนินคดี มีการพิจารณาสืบพยานโจทก์จำเลยจนเสร็จสิ้นแล้ว. และในตอนหลังธนาคารออมสินโดยผู้อำนวยการซึ่งเป็นผู้มีอำนาจและหน้าที่ดำเนินกิจการตามกฎหมายก็ได้แต่งทนายเป็นการถูกต้อง. โดยแต่งตั้งทนายคนเดียวกันกับประธานกรรมการและมิได้โต้แย้งคัดค้านกระบวนพิจารณาที่ได้กระทำมาแล้วแต่ประการใด. ย่อมมีเหตุสมควรที่ศาลจะพิพากษาคดีไปตามกระบวนพิจารณาที่ได้ดำเนินมาแล้วโดยไม่จำต้องเพิกถอนกระบวนพิจารณาเดิม. ทั้งนี้ อาศัยอำนาจตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 66ซึ่งให้ศาลสอบสวนถึงอำนาจของผู้แทนนิติบุคคล. ถึงแม้ผู้นั้นจะไม่มีอำนาจหรืออำนาจบกพร่อง. ศาลจะยกฟ้องหรือมีคำพิพากษาหรือมีคำสั่งอย่างอื่นได้ตามที่เห็นสมควร เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1793/2511 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจผู้จัดการธนาคารออมสิน: ผู้อำนวยการเท่านั้นที่ชอบโดยกฎหมาย ประธานกรรมการไม่มีอำนาจ
ตามพระราชบัญญัติธนาคารออมสิน พ.ศ.2489 ซึ่งก่อตั้งธนาคารออมสินเป็นนิติบุคคลมีบัญญัติไว้โดยชัดแจ้งในมาตรา16 ว่าให้ผู้อำนวยการเป็นผู้จัดการธนาคารออมสิน มีอำนาจและหน้าที่ดำเนินกิจการให้เป็นไปตามกฎหมาย กฎ และข้อบังคับของธนาคารออมสิน โดยไม่มีมาตราอื่นใดให้อำนาจแก่ประธานกรรมการที่จะเข้ามาดำเนินกิจการอย่างเดียวกับผู้อำนวยการได้ ย่อมเป็นที่เห็นได้ว่า พระราชบัญญัติดังกล่าวให้อำนาจผู้อำนวยการแต่ผู้เดียวที่จะเป็นผู้จัดการทำการแทนธนาคารออมสินซึ่งเป็นนิติบุคคลรวมตลอดถึงการดำเนินคดี ประธานกรรมการหามีอำนาจไม่
เมื่อประธานกรรมการเข้ามาดำเนินการต่อสู้คดีแทนธนาคารออมสินซึ่งถูกฟ้องเป็นจำเลย โดยแต่งตั้งทนายดำเนินคดี มีการพิจารณาสืบพยานโจทก์จำเลยจนเสร็จสิ้นแล้ว และในตอนหลังธนาคารออมสินโดยผู้อำนวยการซึ่งเป็นผู้มีอำนาจและหน้าที่ดำเนินกิจการตามกฎหมายก็ได้แต่งทนายเป็นการถูกต้อง โดยแต่งตั้งทนายคนเดียวกันกับประธานกรรมการและมิได้โต้แย้งคัดค้านกระบวนพิจารณาที่ได้กระทำมาแล้วแต่ประการใด ย่อมมีเหตุสมควรที่ศาลจะพิพากษาคดีไปตามกระบวนพิจารณาที่ได้ดำเนินมาแล้วโดยไม่จำต้องเพิกถอนกระบวนพิจารณาเดิม ทั้งนี้ อาศัยอำนาจตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 66 ซึ่งให้ศาลสอบสวนถึงอำนาจของผู้แทนนิติบุคคล ถึงแม้ผู้นั้นจะไม่มีอำนาจหรืออำนาจบกพร่อง ศาลจะยกฟ้องหรือมีคำพิพากษาหรือมีคำสั่งอย่างอื่นได้ตามที่เห็นสมควร เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1787/2511 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ บันดาลโทสะและการลดหย่อนผ่อนโทษทางอาญา: การกระทำของบุตรต่อบิดาที่ถูกข่มเหง
จำเลยใช้เท้าถีบฝาเรือนใส่หน้าบิดา เป็นการกระทำที่บุตรไม่น่าจะทำต่อบิดาก็จริง แต่บิดาก็เป็นฝ่ายผิดอยู่มากที่เอามีดดาบขนาดใหญ่เข้าไปจะแทงจำเลย เป็นการใช้สิทธิความเป็นบิดาเกินควร ถือได้ว่าจำเลยถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม จำเลยตีมีดดาบหลุดจากมือบิดาไปแล้วก็หยิบมีดดาบนั้นมาทำร้ายบิดาในเวลาต่อเนื่องกระชั้นชิดติดกันนั่นเอง ถือได้ว่ากระทำลงโดยบันดาลโทสะตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 72
แม้จำเลยให้การรับสารภาพและไม่ได้ยกเรื่องบันดาลโทสะขึ้นต่อสู้ เมื่อทางพิจารณาปรากฏว่ามีเหตุตามกฎหมายที่จำเลยจะได้รับการลดหย่อนผ่อนโทษ ศาลก็ย่อมมีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1787/2511

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ บันดาลโทสะและการลดหย่อนผ่อนโทษในคดีทำร้ายร่างกายถึงแก่ชีวิต ศาลมีอำนาจวินิจฉัยแม้จำเลยไม่ได้ยกขึ้นต่อสู้
จำเลยใช้เท้าถีบฝาเรือนใส่หน้าบิดา. เป็นการกระทำที่บุตรไม่น่าจะทำต่อบิดาก็จริง. แต่บิดาก็เป็นฝ่ายผิดอยู่มากที่เอามีดดาบขนาดใหญ่เข้าไปจะแทงจำเลย. เป็นการใช้สิทธิความเป็นบิดาเกินควร. ถือได้ว่าจำเลยถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม. จำเลยตีมีดดาบหลุดจากมือบิดาไปแล้วก็หยิบมีดดาบนั้นมาทำร้ายบิดาในเวลาต่อเนื่องกระชั้นชิดติดกันนั่นเอง. ถือได้ว่ากระทำลงโดยบันดาลโทสะตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 72.
แม้จำเลยให้การรับสารภาพและไม่ได้ยกเรื่องบันดาลโทสะขึ้นต่อสู้. เมื่อทางพิจารณาปรากฏว่ามีเหตุตามกฎหมายที่จำเลยจะได้รับการลดหย่อนผ่อนโทษ. ศาลก็ย่อมมีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้.
of 43