คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
แสวง ลัดพลี

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 213 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1601/2511 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การรับฟังอันตรายสาหัสจากรายงานแพทย์: ไม่จำต้องพยานเพิ่มเติมหากรายงานระบุชัดเจนถึงระยะเวลาพักฟื้น
ตามรายงานชันสูตรบาดแผลของแพทย์ประกอบบันทึกคำฟ้องด้วยวาจาที่อ้างว่า บาดแผลของผู้เสียหายซึ่งได้รับเป็นอันตรายสาหัสนี้ปรากฏว่า ผู้เสียหายได้รับอันตรายถึงกระดูกเชิงกรานขวาหัก กระดูกไหปลาร้าเคลื่อน กระดูกซี่โครงแถวขวาหัก นายแพทย์ผู้ตรวจลงความเห็นว่า จะต้องรักษาประมาณ 35 วัน ดังนี้แม้โจทก์จะนำคดีมาฟ้องหลังเกิดเหตุเพียง 6 วันแต่ตามรายงานชันสูตรบาดแผลของแพทย์ดังกล่าวนี้เป็นที่เห็นได้ว่าในระหว่างการรักษาตัวประมาณ 35 วันนั้นผู้เสียหายจะต้องป่วยเจ็บด้วยอาการทุกขเวทนาหรือประกอบกรณียกิจตามปกติไม่ได้เกินกว่ายี่สิบวัน ฉะนั้นเมื่อพิจารณาบันทึกคำฟ้องประกอบรายงานชันสูตรบาดแผลของแพทย์ดังกล่าว ก็เพียงพอที่จะรับฟังข้อเท็จจริงได้ว่าผู้เสียหายได้รับอันตรายสาหัสแล้ว โจทก์หาจำเป็นต้องนำพยานสืบประกอบว่า ผู้เสียหายต้องทนทุกขเวทนาประกอบกรณียกิจไม่ได้เกินกว่ายี่สิบวันจริงอีกไม่ (อ้างฎีกาที่ 195/2510)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1601/2511

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การพิสูจน์อันตรายสาหัสจากรายงานแพทย์: ไม่จำเป็นต้องสืบพยานเพิ่มเติมหากรายงานแพทย์บ่งชี้อาการป่วยเจ็บเกิน 20 วัน
ตามรายงานชันสูตรบาดแผลของแพทย์ประกอบบันทึกคำฟ้องด้วยวาจาที่อ้างว่า บาดแผลของผู้เสียหายซึ่งได้รับเป็นอันตรายสาหัสนี้ปรากฏว่า. ผู้เสียหายได้รับอันตรายถึงกระดูกเชิงกรานขวาหัก กระดูกไหปลาร้าเคลื่อน กระดูกซี่โครงแถวขวาหัก. นายแพทย์ผู้ตรวจลงความเห็นว่า จะต้องรักษาประมาณ 35 วัน. ดังนี้แม้โจทก์จะนำคดีมาฟ้องหลังเกิดเหตุเพียง 6 วัน.แต่ตามรายงานชันสูตรบาดแผลของแพทย์ดังกล่าวนี้เป็นที่เห็นได้ว่า. ในระหว่างการรักษาตัวประมาณ 35 วันนั้น.ผู้เสียหายจะต้องป่วยเจ็บด้วยอาการทุกขเวทนาหรือประกอบกรณียกิจตามปกติไม่ได้เกินกว่ายี่สิบวัน. ฉะนั้นเมื่อพิจารณาบันทึกคำฟ้องประกอบรายงานชันสูตรบาดแผลของแพทย์ดังกล่าว ก็เพียงพอที่จะรับฟังข้อเท็จจริงได้ว่าผู้เสียหายได้รับอันตรายสาหัสแล้ว. โจทก์หาจำเป็นต้องนำพยานสืบประกอบว่า ผู้เสียหายต้องทนทุกขเวทนาประกอบกรณียกิจไม่ได้เกินกว่ายี่สิบวันจริงอีกไม่.(อ้างฎีกาที่ 195/2510).

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1601/2511 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การรับฟังความเสียหายสาหัสจากรายงานแพทย์: ไม่ต้องสืบพยานเพิ่มเติมหากรายงานระบุชัดเจนถึงระยะเวลาพักฟื้น
ตามรายงานชันสูตรบาดแผลของแพทย์ประกอบบันทึกคำฟ้องด้วยวาจาที่อ้างว่า บาดแผลของผู้เสียหายซึ่งได้รับเป็นอันตรายสาหัสนี้ปรากฏว่า ผู้เสียหายได้รับอันตรายถึงกระดูกเชิงกรานขวาหัก กระดูกไหปลาร้าเคลื่อน กระดูกซี่โครงแถวขวาหัก นายแพทย์ผู้ตรวจลงความเห็นว่า จะต้องรักษาประมาณ 35 วัน ดังนี้แม้โจทก์จะนำคดีมาฟ้องหลังเกิดเหตุเพียง 6 วันแต่ตามรายงานชันสูตรบาดแผลของแพทย์ดังกล่าวนี้เป็นที่เห็นได้ว่า ในระหว่างการรักษาตัวประมาณ 35 วันนั้นผู้เสียหายจะต้องป่วยเจ็บด้วยอาการทุกขเวทนาหรือประกอบกรณียกิจตามปกติไม่ได้เกินกว่ายี่สิบวัน ฉะนั้นเมื่อพิจารณาบันทึกคำฟ้องประกอบรายงานชันสูตรบาดแผลของแพทย์ดังกล่าว ก็เพียงพอที่จะรับฟังข้อเท็จจริงได้ว่าผู้เสียหายได้รับอันตรายสาหัสแล้ว โจทก์หาจำเป็นต้องนำพยานสืบประกอบว่า ผู้เสียหายต้องทนทุกขเวทนาประกอบกรณียกิจไม่ได้เกินกว่ายี่สิบวันจริงอีกไม่ (อ้างฎีกาที่ 195/2510)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1600/2511 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความร่วมมือในการชิงทรัพย์และการมีส่วนร่วมในฐานะผู้สนับสนุน การกระทำจึงเข้าข่ายความผิดฐานปล้นทรัพย์
เมื่อจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 ชิงทรัพย์ผู้เสียหายได้แล้ว ได้วิ่งขึ้นสามล้อเครื่องของจำเลยที่ 3 ซึ่งติดเครื่องรออยู่หนีไป จึงเห็นได้ว่าจำเลยทั้งสามได้ร่วมคบคิดวางแผนกันมากระทำผิด โดยจำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นคนขับรถสามล้อเครื่อง มีหน้าที่ติดเครื่องรถไว้ในบริเวณที่เกิดเหตุ คอยรับจำเลยที่ 1 ที่ 2 พาทรัพย์มาขึ้นรถขับพาหนีไปเป็นส่วนหนึ่งของการแย่งชิงทรัพย์ การกระทำของจำเลยทั้งสามจึงเป็นความผิดฐานปล้นทรัพย์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1600/2511 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การร่วมกันชิงทรัพย์และมีส่วนร่วมในการหลบหนี ถือเป็นความผิดฐานปล้นทรัพย์
เมื่อจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 ชิงทรัพย์ผู้เสียหายได้แล้ว ได้วิ่งขึ้นสามล้อเครื่องของจำเลยที่ 3 ซึ่งติดเครื่องรออยู่หนีไป จึงเห็นได้ว่าจำเลยทั้งสามได้ร่วมคบคิดวางแผนกันมากระทำผิด โดยจำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นคนขับรถสามล้อเครื่อง มีหน้าที่ติดเครื่องรถไว้ในบริเวณที่เกิดเหตุ คอยรับจำเลยที่ 1 ที่ 2 พาทรัพย์มาขึ้นรถขับพาหนีไปเป็นส่วนหนึ่งของการแย่งชิงทรัพย์ การกระทำของจำเลยทั้งสามจึงเป็นความผิดฐานปล้นทรัพย์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1600/2511

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความร่วมมือในการชิงทรัพย์และการมีส่วนร่วมในการหลบหนีถือเป็นความผิดฐานปล้นทรัพย์
เมื่อจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 ชิงทรัพย์ผู้เสียหายได้แล้ว. ได้วิ่งขึ้นสามล้อเครื่องของจำเลยที่ 3 ซึ่งติดเครื่องรออยู่หนีไป. จึงเห็นได้ว่าจำเลยทั้งสามได้ร่วมคบคิดวางแผนกันมากระทำผิด. โดยจำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นคนขับรถสามล้อเครื่อง มีหน้าที่ติดเครื่องรถไว้ในบริเวณที่เกิดเหตุ. คอยรับจำเลยที่ 1 ที่ 2 พาทรัพย์มาขึ้นรถขับพาหนีไปเป็นส่วนหนึ่งของการแย่งชิงทรัพย์. การกระทำของจำเลยทั้งสามจึงเป็นความผิดฐานปล้นทรัพย์.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1554/2511

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจตนาทุจริตหลอกลวงซื้อขายโค ฉ้อโกงครบองค์ประกอบ
เมื่อพฤติการณ์เป็นว่าจำเลยใช้อุบายไปขอซื้อโคจากผู้เสียหายโดยขอให้ผู้เสียหายนำโคไปส่งที่บ้านจำเลย.แล้วจำเลยจะชำระราคาให้. ครั้นเมื่อผู้เสียหายปฏิบัติตามนั้นแล้ว. จำเลยกลับบ่ายเบี่ยงว่ายังเบิกเงินที่ธนาคารไม่ได้. ให้กลับไปรับเงินใหม่ในวันรุ่งขึ้นและในคืนนั้นเองจำเลยก็พาโคหนีไป. ดังนี้ เห็นได้ว่าจำเลยมีเจตนาทุจริตหลอกลวงให้ผู้เสียหายหลงเชื่อว่าจำเลยจะซื้อโคจริงมาแต่ต้น. ด้วยการวางแผนเป็นขั้นๆ และไม่มีเจตนาจะใช้ราคาโคเลย. การกระทำของจำเลยครบองค์ประกอบความผิดฐานฉ้อโกงแล้ว.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1554/2511 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจตนาทุจริตในการซื้อขายโค: ฉ้อโกงหรือผิดสัญญา
เมื่อพฤติการณ์เป็นว่าจำเลยใช้อุบายไปขอซื้อโคจากผู้เสียหายโดยขอให้ผู้เสียหายนำโคไปส่งที่บ้านจำเลยแล้วจำเลยจะชำระราคาให้ ครั้นเมื่อผู้เสียหายปฏิบัติตามนั้นแล้ว จำเลยกลับบ่ายเบี่ยงว่ายังเบิกเงินที่ธนาคารไม่ได้ ให้กลับไปรับเงินใหม่ในวันรุ่งขึ้นและในคืนนั้นเองจำเลยก็พาโคหนีไป ดังนี้ เห็นได้ว่าจำเลยมีเจตนาทุจริตหลอกลวงให้ผู้เสียหายหลงเชื่อว่าจำเลยจะซื้อโคจริงมาแต่ต้น ด้วยการวางแผนเป็นขั้น ๆ และไม่มีเจตนาจะใช้ราคาโคเลย การกระทำของจำเลยครบองค์ประกอบความผิดฐานฉ้อโกงแล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1554/2511 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจตนาทุจริตหลอกลวงซื้อขายโค ศาลฎีกาวินิจฉัยเป็นความผิดฐานฉ้อโกง
เมื่อพฤติการณ์เป็นว่าจำเลยใช้อุบายไปขอซื้อโคจากผู้เสียหายโดยขอให้ผู้เสียหายนำโคไปส่งที่บ้านจำเลย แล้วจำเลยจะชำระราคาให้ครั้นเมื่อผู้เสียหายปฏิบัติตามนั้นแล้ว จำเลยกลับบ่ายเบี่ยงว่ายังเบิกเงินที่ธนาคารไม่ได้ ให้กลับไปรับเงินใหม่ในวันรุ่งขึ้นและในคืนนั้นเองจำเลยก็พาโคหนีไป ดังนี้ เห็นได้ว่าจำเลยมีเจตนาทุจริตหลอกลวงให้ผู้เสียหายหลงเชื่อว่าจำเลยจะซื้อโคจริงมาแต่ต้น ด้วยการวางแผนเป็นขั้นๆ และไม่มีเจตนาจะใช้ราคาโคเลย การกระทำของจำเลยครบองค์ประกอบความผิดฐานฉ้อโกงแล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1550/2511

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจศาลทหาร: คำสั่งประกันและปรับนายประกันเป็นอำนาจศาลทหาร ศาลพลเรือนไม่มีอำนาจพิจารณา
คดีอยู่ในอำนาจศาลทหาร. และเมื่อได้มีคำสั่งเกี่ยวกับคำร้องขอประกัน และสั่งปรับตามสัญญาประกันไปแล้ว. จะอุทธรณ์คำสั่งไปยังศาลอุทธรณ์อันเป็นศาลพลเรือนไม่ได้. (เทียบคำพิพากษาฎีกาที่ 732/2504).
of 22