คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
แสวง ลัดพลี

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 213 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1087/2512 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเพิกถอนบังคับคดีเมื่อจำเลยไม่ทราบคดีและศาลบังคับคดีไม่เป็นไปตามคำพิพากษา
ตามคำร้องขอให้พิจารณาคดีใหม่ของจำเลยอ้างว่า การดำเนินคดีของโจทก์ตั้งแต่ฟ้องจนมีการบังคับคดี จำเลยไม่ทราบเพราะจำเลยไปอยู่ที่อื่น เพิ่งทราบเมื่อเจ้าพนักงานบังคับคดีไปยึดทรัพย์จำเลยในวันที่ 7 เมษายน 2511 แล้วในวันที่ 22 เดือนเดียวกันจำเลยก็ได้ยื่นคำร้องขอให้พิจารณาคดีใหม่ จึงเป็นการยื่นคำขอภายใน 15 วันนับแต่วันที่จำเลยทราบถึงการยึดทรัพย์ เพราะก่อนนั้นเป็นเวลาที่จำเลยยังไม่ทราบอันเป็นพฤติการณ์นอกเหนือไม่อาจบังคับได้(อ้างฎีกาที่ 1296/2510)
แม้ศาลยังมิได้อนุญาตในการที่จำเลยยื่นคำขอให้พิจารณาคดีใหม่แต่โจทก์ก็ได้ขอให้ศาลดำเนินการบังคับคดีข้ามขั้นไม่เรียงตามลำดับใน คำพิพากษา คือศาลพิพากษาให้จำเลยโอนขายที่ดินให้โจทก์ และให้จำเลยรับเงินที่ยังเหลือ 2,000 บาทจากโจทก์ หากจำเลยไม่จัดการโอนให้จำเลยคืนเงินมัดจำ 13,000 บาท และให้จำเลยเสียค่าปรับอีก13,000 บาทแก่โจทก์ จึงต้องบังคับให้จำเลยโอนที่ดินและรับเงินจากโจทก์เสียก่อน แต่โจทก์กลับขอให้ยึดที่ดินของจำเลยขายทอดตลาดชำระหนี้ให้โจทก์ทีเดียว และศาลชั้นต้นได้สั่งให้เจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์ของจำเลย เป็นการปฏิบัติที่มิได้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาเป็นขั้น ๆ จึงเป็นกรณีที่ดำเนินการบังคับคดีผิดไปจากคำพิพากษาศาลมีอำนาจสั่งเพิกถอนได้ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 27

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1087/2512 เวอร์ชัน 4 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเพิกถอนบังคับคดีเมื่อจำเลยไม่ทราบการดำเนินคดีและศาลบังคับคดีไม่เป็นไปตามลำดับในคำพิพากษา
ตามคำร้องขอให้พิจารณาคดีใหม่ของจำเลยอ้างว่า การดำเนินคดีของโจทก์ตั้งแต่ฟ้องจนมีการบังคับคดี จำเลยไม่ทราบเพราะจำเลยไปอยู่ที่อื่นเพิ่งทราบเมื่อเจ้าพนักงานบังคับคดีไปยึดทรัพย์จำเลยในวันที่ 7 เมษายน 2511 แล้วในวันที่ 22 เดือนเดียวกัน จำเลยก็ได้ยื่นคำร้องขอให้พิจารณาคดีใหม่ จึงเป็นการยื่นคำขอภายใน 15 วันนับแต่วันที่จำเลยทราบถึงการยึดทรัพย์ เพราะก่อนนั้นเป็นเวลาที่จำเลยยังไม่ทราบอันเป็นพฤติการณ์นอกเหนือไม่อาจบังคับได้(อ้างฎีกาที่ 1296/2510)
แม้ศาลยังมิได้อนุญาตในการที่จำเลยยื่นคำขอให้พิจารณาคดีใหม่ แต่โจทก์ก็ได้ขอให้ศาลดำเนินการบังคับคดีข้ามชั้นไม่เรียกตามลำดับในคำพิพากษาคือ ศาลพิพากษาให้จำเลยโอนขายที่ดินให้โจทก์และให้จำเลยรับเงินที่ยังเหลือ 2,000 บาทจากโจทก์ หากจำเลยไม่จัดการโอน ให้จำเลยคืนเงินมัดจำ 13,000 บาท และให้จำเลยเสียค่าปรับอีก 13,000 บาทแก่โจทก์ จึงต้องบังคับให้จำเลยโอนที่ดินและรับเงินจากโจทก์เสียก่อน แต่โจทก์กลับขอให้ยึดที่ดินของจำเลยขาดทอดตลาดชำระหนี้ให้โจทก์ทีเดียวและศาลชั้นต้นได้สั่งให้เจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์ของจำเลย จึงเป็นการปฏิบัติที่มิได้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาเป็นชั้น ๆ จึงเป็นกรณีที่ดำเนินการบังคับคดีผิดไปจากคำพิพากษาศาลมีอำนาจสั่งเพิกถอนได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 27

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1087/2512 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเพิกถอนการบังคับคดีเนื่องจากจำเลยไม่ทราบคดีและศาลบังคับคดีไม่เป็นไปตามลำดับในคำพิพากษา
ตามคำร้องขอให้พิจารณาคดีใหม่ของจำเลยอ้างว่า การดำเนินคดีของโจทก์ตั้งแต่ฟ้องจนมีการบังคับคดี จำเลยไม่ทราบเพราะจำเลยไปอยู่ที่อื่น เพิ่งทราบเมื่อเจ้าพนักงานบังคับคดีไปยึดทรัพย์จำเลยในวันที่ 7 เมษายน 2511 แล้วในวันที่ 22 เดือนเดียวกันจำเลยก็ได้ยื่นคำร้องขอให้พิจารณาคดีใหม่ จึงเป็นการยื่นคำขอภายใน 15 วันนับแต่วันที่จำเลยทราบถึงการยึดทรัพย์ เพราะก่อนนั้นเป็นเวลาที่จำเลยยังไม่ทราบอันเป็นพฤติการณ์นอกเหนือไม่อาจบังคับได้(อ้างฎีกาที่ 1296/2510)
แม้ศาลยังมิได้อนุญาตในการที่จำเลยยื่นคำขอให้พิจารณาคดีใหม่แต่โจทก์ก็ได้ขอให้ศาลดำเนินการบังคับคดีข้ามขั้นไม่เรียงตามลำดับในคำพิพากษา คือศาลพิพากษาให้จำเลยโอนขายที่ดินให้โจทก์ และให้จำเลยรับเงินที่ยังเหลือ 2,000 บาทจากโจทก์ หากจำเลยไม่จัดการโอนให้จำเลยคืนเงินมัดจำ 13,000 บาท และให้จำเลยเสียค่าปรับอีก13,000 บาทแก่โจทก์ จึงต้องบังคับให้จำเลยโอนที่ดินและรับเงินจากโจทก์เสียก่อน แต่โจทก์กลับขอให้ยึดที่ดินของจำเลยขายทอดตลาดชำระหนี้ให้โจทก์ทีเดียว และศาลชั้นต้นได้สั่งให้เจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์ของจำเลย เป็นการปฏิบัติที่มิได้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาเป็นขั้น ๆ จึงเป็นกรณีที่ดำเนินการบังคับคดีผิดไปจากคำพิพากษาศาลมีอำนาจสั่งเพิกถอนได้ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 27

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1087/2512

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเพิกถอนบังคับคดีเนื่องจากจำเลยไม่ทราบคดีและศาลบังคับคดีข้ามขั้นตอน
ตามคำร้องขอให้พิจารณาคดีใหม่ของจำเลยอ้างว่า. การดำเนินคดีของโจทก์ตั้งแต่ฟ้องจนมีการบังคับคดี. จำเลยไม่ทราบ.เพราะจำเลยไปอยู่ที่อื่น. เพิ่งทราบเมื่อเจ้าพนักงานบังคับคดีไปยึดทรัพย์จำเลยในวันที่ 7 เมษายน2511. แล้วในวันที่ 22 เดือนเดียวกันจำเลยก็ได้ยื่นคำร้องขอให้พิจารณาคดีใหม่. จึงเป็นการยื่นคำขอภายใน 15วันนับแต่วันที่จำเลยทราบถึงการยึดทรัพย์. เพราะก่อนนั้นเป็นเวลาที่จำเลยยังไม่ทราบ. อันเป็นพฤติการณ์นอกเหนือไม่อาจบังคับได้.
แม้ศาลยังมิได้อนุญาตในการที่จำเลยยื่นคำขอให้พิจารณาคดีใหม่. แต่โจทก์ก็ได้ขอให้ศาลดำเนินการบังคับคดีข้ามขั้นไม่เรียงตามลำดับในคำพิพากษา. คือศาลพิพากษาให้จำเลยโอนขายที่ดินให้โจทก์ และให้จำเลยรับเงินที่ยังเหลือ 2,000 บาทจากโจทก์. หากจำเลยไม่จัดการโอน. ให้จำเลยคืนเงินมัดจำ 13,000 บาท. และให้จำเลยเสียค่าปรับอีก 13,000 บาทแก่โจทก์. จึงต้องบังคับให้จำเลยโอนที่ดินและรับเงินจากโจทก์เสียก่อน. แต่โจทก์กลับขอให้ยึดที่ดินของจำเลยขายทอดตลาดชำระหนี้ให้โจทก์ทีเดียว. และศาลชั้นต้นได้สั่งให้เจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์ของจำเลย. เป็นการปฏิบัติที่มิได้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาเป็นขั้นๆ. จึงเป็นกรณีที่ดำเนินการบังคับคดีผิดไปจากคำพิพากษา. ศาลมีอำนาจสั่งเพิกถอนได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 27.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 997/2512 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข้อจำกัดการฎีกาในคดีที่ศาลอุทธรณ์แก้ไขโทษเพียงเล็กน้อย
คดีอาญาที่ศาลชั้นต้นลงโทษจำคุกจำเลย 1 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 297 ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นให้ลงโทษจำคุกจำเลย 4 ปี เป็นการแก้เพียงเล็กน้อยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 997/2512

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การอุทธรณ์และฎีกาที่จำกัดสิทธิ เนื่องจากศาลอุทธรณ์แก้คำพิพากษาเพียงเล็กน้อย
คดีอาญาที่ศาลชั้นต้นลงโทษจำคุกจำเลย 1 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 297. ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นให้ลงโทษจำคุกจำเลย 4 ปี. เป็นการแก้เพียงเล็กน้อยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 997/2512 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข้อจำกัดการฎีกาในคดีอาญาที่ศาลอุทธรณ์แก้ไขโทษเพียงเล็กน้อย
คดีอาญาที่ศาลชั้นต้นลงโทษจำคุกจำเลย 1 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 297 ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นให้ลงโทษจำคุกจำเลย 4 ปี เป็นการแก้เพียงเล็กน้อยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 943/2512

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การยึดทรัพย์สินมรดกจากสัญญาประนีประนอมยอมความที่ทำกับผู้จัดการมรดกที่ถูกถอดถอน และผลของการไม่ปฏิเสธข้อกล่าวอ้าง
โจทก์ยื่นบัญชีระบุพยานก่อนวันสืบพยานน้อยกว่าสามวันโดยมิได้ทำคำร้องแสดงว่าเหตุใดจึงยื่นภายในกำหนดเวลาไม่ได้. เพื่อให้ศาลได้มีโอกาสพิจารณาเหตุผลของโจทก์ว่าสมควรจะรับบัญชีระบุพยานไว้หรือไม่. ดังนี้ ศาลจะสั่งรับบัญชีระบุพยานของโจทก์โดยเหตุผลเพียงว่าโจทก์ไม่มีเจตนาจงใจ. และไม่ทำให้คู่ความอีกฝ่ายเสียเปรียบหาได้ไม่. เพราะข้อได้เปรียบเสียเปรียบในเชิงคดีมีอยู่อย่างชัดแจ้ง.
ผู้ร้องร้องขัดทรัพย์ว่า รถยนต์ที่โจทก์นำยึดเป็นสินบริคณห์ระหว่างผู้ร้องกับเจ้ามรดก. ขณะโจทก์จำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความกัน ศาลได้ถอดถอนจำเลยแล้ว จำเลยไม่มีอำนาจทำนิติกรรมใดๆ ในฐานะผู้จัดการมรดกได้ต่อไป. สัญญาประนีประนอมยอมความระหว่างโจทก์จำเลยไม่ผูกพันกองมรดก. โจทก์มิได้กล่าวแก้ข้ออ้างของผู้ร้องดังกล่าวแต่ประการใด. เมื่อโจทก์ไม่ปฏิเสธ. ย่อมถือได้ว่าโจทก์ยอมรับ. จึงไม่มีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยว่า โจทก์เข้าทำสัญญาประนีประนอมยอมความโดยสุจริตตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 831,1720 หรือไม่.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 943/2512 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การยึดทรัพย์สินมรดกโดยผู้ไม่มีอำนาจ และผลของการไม่ปฏิเสธข้อกล่าวอ้างของโจทก์
โจทก์ยื่นบัญชีระบุพยานก่อนวันสืบพยานน้อยกว่าสามวันโดยมิได้ทำคำร้องแสดงว่าเหตุใดจึงยื่นภายในกำหนดเวลาไม่ได้เพื่อให้ศาลได้มีโอกาสพิจารณาเหตุผลของโจทก์ว่าสมควรจะรับบัญชีระบุพยานไว้หรือไม่ดังนี้ ศาลจะสั่งรับบัญชีระบุพยานของโจทก์โดยเหตุผลเพียงว่าโจทก์ไม่มีเจตนาจงใจ และไม่ทำให้คู่ความอีกฝ่ายเสียเปรียบหาได้ไม่ เพราะข้อได้เปรียบเสียเปรียบในเชิงคดีมีอยู่อย่างชัดแจ้ง
ผู้ร้องร้องขัดทรัพย์ว่า รถยนต์ที่โจทก์นำยึดเป็นสินบริคณห์ระหว่างผู้ร้องกับเจ้ามรดกขณะโจทก์จำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความกัน ศาลได้ถอดถอนจำเลยแล้ว จำเลยไม่มีอำนาจทำนิติกรรมใดๆ ในฐานะผู้จัดการมรดกได้ต่อไป สัญญาประนีประนอมยอมความระหว่างโจทก์จำเลยไม่ผูกพันกองมรดก โจทก์มิได้กล่าวแก้ข้ออ้างของผู้ร้องดังกล่าวแต่ประการใด เมื่อโจทก์ไม่ปฏิเสธย่อมถือได้ว่าโจทก์ยอมรับ จึงไม่มีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยว่า โจทก์เข้าทำสัญญาประนีประนอมยอมความโดยสุจริตตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 831,1720 หรือไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 943/2512 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การยื่นบัญชีระบุพยานล่าช้า และผลของการทำสัญญาประนีประนอมยอมความโดยผู้จัดการมรดกที่ถูกถอดถอน
โจทก์ยื่นบัญชีระบุพยานก่อนวันสืบพยานน้อยกว่าสามวันโดยมิได้ทำคำร้องแสดงว่าเหตุใดจึงยื่นภายในกำหนดเวลาไม่ได้ เพื่อให้ศาลได้มีโอกาสพิจารณาเหตุผลของโจทก์ว่าสมควรจะรับบัญชีระบุพยานไว้หรือไม่ ดังนี้ ศาลจะสั่งรับบัญชีระบุพยานของโจทก์โดยเหตุผลเพียงว่าโจทก์ไม่มีเจตนาจงใจ และไม่ทำให้คู่ความอีกฝ่ายเสียเปรียบหาได้ไม่ เพราะข้อได้เปรียบเสียเปรียบในเชิงคดีมีอยู่อย่างชัดแจ้ง
ผู้ร้องร้องขัดทรัพย์ว่า รถยนต์ที่โจทก์นำยึดเป็นสินบริคณห์ระหว่างผู้ร้องกับเจ้ามรดก ขณะโจทก์จำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความกัน ศาลได้ถอดถอนจำเลยแล้วจำเลยไม่มีอำนาจทำนิติกรรมใด ๆ ในฐานะผู้จัดการมรดกได้ต่อไป สัญญาประนีประนอมยอมความระหว่างโจทก์จำเลยไม่ผูกพันกองมรดก โจทก์มิได้กล่าวแก้ข้ออ้างของผู้ร้องดังกล่าวแต่ประการใด เมื่อโจทก์ไม่ปฏิเสธ ย่อมถือได้ว่าโจทก์ยอมรับ จึงไม่มีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยว่า โจทก์เข้าทำสัญญาประนีประนอมยอมความโดยสุจริตตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 831, 1720 หรือไม่
of 22