คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
สุธี โรจนธรรม

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 428 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 438-439/2512 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อายุความฟ้องคดีแพ่งจากการทุจริต, ความรับผิดของหัวหน้าส่วนราชการต่อการทุจริตของลูกน้อง, การพิสูจน์ความรับผิดทางแพ่งจากคดีอาญา
กระทรวงการคลังฟ้องคดีเรียกค่าสินไหมทดแทนจากจำเลยฐานละเมิดเกี่ยวกับเงินภาษีอากรของกรมสรรพากรซึ่งถูกยักยอกไป อายุความเริ่มนับแต่วันที่อธิบดีกรมสรรพากรรู้ถึงการละเมิดและรู้ตัวผู้จะพึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทน
เมื่อปรากฏการทุจริตยักยอกเงินภาษีอากร และกรมสรรพากรได้ตั้งกรรมการขึ้นสอบสวนพฤติการณ์ ย่อมถือได้ว่าอธิบดีกรมสรรพากร ได้รู้ถึงการละเมิดแล้วต่อมาสรรพากรจังหวัดซึ่งเป็นกรรมการคนหนึ่งได้เสนอรายงานให้อธิบดีกรมสรรพากรทราบเรื่องการทุจริตและการจับกุมผู้อยู่ในข่ายสงสัยว่าจะสมคบกันทุจริต ซึ่งมีจำเลยรวมอยู่ในพวกที่ถูกจับด้วยนั้น. และต่อมาบุคคลเหล่านี้ก็ได้ถูกผู้ว่าคดีฟ้องกล่าวโทษเป็นคดีอาญาขึ้น. ต้องถือว่าอธิบดีกรมสรรพากรได้รู้ตัวผู้จะพึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนแล้วตั้งแต่วันที่ได้รับรายงานจากสรรพากรจังหวัด
คณะกรรมการซึ่งอธิบดีกรมสรรพากรตั้งขึ้นสอบสวนการทุจริตรายงานว่าตรวจพบการทุจริตเพิ่มเติมอีก แต่กรรมการเห็นไม่ลงรอยกันในตัวผู้ต้องรับผิด อธิบดีกรมสรรพากรจึงสั่งให้รองอธิบดีพิจารณา รองอธิบดีพิจารณาแล้วเสนอความเห็นว่าควรให้กองวิทยาการ กรมตำรวจ พิสูจน์ลายมือผู้ทุจริตให้แน่นอนก่อน อธิบดีกรมสรรพากรสั่งให้นำเข้าประชุมปรึกษา กรรมการในที่ประชุมก็เห็นไม่ตรงกัน อธิบดีกรมสรรพากรจึงตั้งกรรมการพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง คณะกรรมการพิจารณาแล้ว เสนอรายงานต่ออธิบดี สำหรับการทุจริตครั้งหลังนี้ถือได้ว่าอธิบดีกรมสรรพากรเพิ่งรู้ตัวผู้จะพึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนตั้งแต่วันที่ได้รับรายงานของคณะกรรมการชุดหลัง
การฟ้องเรียกค่าเสียหายอันเกิดแต่มูลละเมิดจากผู้ที่มิได้กระทำผิดทางอาญานั้น อยู่ในกำหนดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 448 วรรคแรก แม้จะมีการฟ้องผู้กระทำละเมิดเป็นคดีอาญาด้วย แต่ศาลพิพากษายกฟ้องคดีถึงที่สุดแล้ว ย่อมถือไม่ได้ว่าเป็นการเรียกร้องค่าเสียหายในมูลอันเป็นความผิดอาญาตามมาตรา 448 วรรคสอง ต้องใช้อายุความตามวรรคแรก เช่นเดียวกัน
จำเลยซึ่งถูกฟ้องคดีอาญาว่ายักยอกเงินของโจทก์ เมื่อศาลพิพากษายกฟ้องคดีอาญาว่า คดียังไม่พอจะให้ศาลชี้ขาดว่าจำเลยได้กระทำผิดตามฟ้อง ในการพิพากษาคดีส่วนแพ่ง ศาลต้องถือข้อเท็จจริงตาม และหากข้อเท็จจริงในคดีส่วนแพ่งฟังไม่ได้ว่าจำเลยประมาทเลินเล่อเป็นเหตุให้มีการยักยอกเงินของโจทก์ จำเลยก็ไม่ต้องรับผิดชดใช้เงินที่มีผู้ยักยอกไปให้แก่โจทก์
จำเลยเป็นหัวหน้าส่วนราชการแผนกสรรพากรประจำอำเภอมีตำแหน่งสมุหบัญชีโท มีหน้าที่รับผิดชอบในเงินภาษีอากรตลอดจนตรวจนับเงินสดและเช็คที่มีผู้นำมาชำระค่าภาษีอากรทุกวัน หากจำเลยไม่ปล่อยปละละเลยและควบคุมการปฏิบัติหน้าที่ของผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาโดยใกล้ชิด และถ้าไม่ปลีกตัวออกจากการเป็นกรรมการถือกุญแจเก็บรักษาเงินผลประโยชน์ตามระเบียบของกรมสรรพากร จำเลยอื่นก็จะไม่มีโอกาสยักยอกเอาเงินภาษีอากรของโจทก์ไปได้ ดังนี้ จำเลยต้องร่วมรับผิดกับจำเลยอื่นชดใช้เงินให้แก่โจทก์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 340/2512 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฉ้อโกงโดยการหลอกลวงรับสมัครงานและเรียกเก็บค่าหุ้น พบว่าเป็นการกระทำต่างกรรมต่างวาระ ฟ้องได้
จำเลยวางแผนประกาศทางหนังสือพิมพ์รายวันเปิดรับสมัครบุคคลมาทำงานกับบริษัท เพื่อให้ประชาชนหลงเชื่อมาสมัครทำงาน โดยวางอัตราค่าจ้างเงินเดือนสูง ว่างระเบียบให้ต้องซื้อหุ้นอย่างน้อยหนึ่งหุ้นเป็นเงิน 900 บาท บริษัทตั้งขึ้นแล้วจำเลยก็มิได้ดำเนินกิจการค้าดังวัตถุประสงค์แต่อย่างใด สินค้าในบริษัทก็ไม่มีธุรกิจที่จะมอบหมายให้ผู้สมัครรับจ้างปฏิบัติก็ไม่มีถือได้ว่าจำเลยก่อตั้งบริษัท ดำเนินการด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จต่อประชาชนเพื่อหลอกลวงประชาชนจึงมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 343
เมื่อผู้เสียหายคนหนึ่งฟ้องคดีเกี่ยวกับการฉ้อโกงของจำเลยดังกล่าวแล้วโจทก์ฟ้องจำเลยฐานฉ้อโกงผู้เสียหายคนอื่นในกรณีนี้อีกได้เพราะผู้เสียหายเป็นคนละคนต่างถูกหลอกลวงคนละวันคนละเวลา จำนวนเงินที่ถูกหลอกแตกต่างกันตำแหน่งงานที่จะจ้างผู้เสียหายไม่เหมือนกัน จึงเป็นการกระทำต่างกรรมต่างวาระมิใช่เป็นการกระทำอันเป็นกรรมเดียวกัน
(ประชุมใหญ่ครั้งที่ 4-5-6/2512)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 340/2512

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฉ้อโกงโดยการเปิดรับสมัครงานหลอกลวง และการฟ้องซ้ำที่มิได้เป็นการกระทำอันเป็นกรรมเดียวกัน
จำเลยวางแผนประกาศทางหนังสือพิมพ์รายวันเปิดรับสมัครบุคคลมาทำงานกับบริษัท. เพื่อให้ประชาชนหลงเชื่อมาสมัครทำงาน. โดยวางอัตราค่าจ้างเงินเดือนสูง ว่างระเบียบให้ต้องซื้อหุ้นอย่างน้อยหนึ่งหุ้นเป็นเงิน 900 บาท. บริษัทตั้งขึ้นแล้ว. จำเลยก็มิได้ดำเนินกิจการค้าดังวัตถุประสงค์แต่อย่างใด. สินค้าในบริษัทก็ไม่มี. ธุรกิจที่จะมอบหมายให้ผู้สมัครรับจ้างปฏิบัติก็ไม่มี. ถือได้ว่าจำเลยก่อตั้งบริษัท ดำเนินการด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จต่อประชาชนเพื่อหลอกลวงประชาชน. จึงมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 343.
เมื่อผู้เสียหายคนหนึ่งฟ้องคดีเกี่ยวกับการฉ้อโกงของจำเลยดังกล่าวแล้ว. โจทก์ฟ้องจำเลยฐานฉ้อโกงผู้เสียหายคนอื่นในกรณีนี้อีกได้. เพราะผู้เสียหายเป็นคนละคนต่างถูกหลอกลวงคนละวันคนละเวลา. จำนวนเงินที่ถูกหลอกแตกต่างกัน. ตำแหน่งงานที่จะจ้างผู้เสียหายไม่เหมือนกัน. จึงเป็นการกระทำต่างกรรมต่างวาระ. มิใช่เป็นการกระทำอันเป็นกรรมเดียวกัน. (ประชุมใหญ่ครั้งที่ 4-5-6/2512).

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 340/2512 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฉ้อโกงโดยการหลอกลวงให้ซื้อหุ้นเพื่อสมัครงาน ถือเป็นกรรมต่างวาระ ฟ้องได้หลายกรรม
จำเลยวางแผนประกาศทางหนังสือพิมพ์รายวันเปิดรับสมัครบุคคลมาทำงานกับบริษัท เพื่อให้ประชาชนหลงเชื่อมาสมัครทำงาน โดยวางอัตราค่าจ้างเงินเดือนสูง วางระเบียบให้ต้องซื้อหุ้นอย่างน้อยหนึ่งหุ้นเป็นเงิน 900 บาท บริษัทตั้งขึ้นแล้ว จำเลยก็มิได้ดำเนินกิจการค้าดังวัตถุประสงค์แต่อย่างใด. สินค้าในบริษัทก็ไม่มี ธุรกิจที่จะมอบหมายให้ผู้สมัครรับจ้างปฏิบัติก็ไม่มี ถือได้ว่าจำเลยก่อตั้งบริษัท ดำเนินการด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จต่อประชาชนเพื่อหลอกลวงประชาชน จึงมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 343
เมื่อผู้เสียหายคนหนึ่งฟ้องคดีเกี่ยวกับการฉ้อโกงของจำเลยดังกล่าวแล้ว โจทก์ฟ้องจำเลยฐานฉ้อโกงผู้เสียหายคนอื่นในกรณีนี้อีกได้ เพราะผู้เสียหายเป็นคนละคนต่างถูกหลอกลวงคนละวันคนละเวลา จำนวนเงินที่ถูกหลอกแตกต่างกัน ตำแหน่งงานที่จะจ้างผู้เสียหายไม่เหมือนกัน จึงเป็นการกระทำต่างกรรมต่างวาระ มิใช่เป็นการกระทำอันเป็นกรรมเดียวกัน.
(ประชุมใหญ่ครั้งที่ 4 - 5 - 6/2512)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 333/2512 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องซ้ำ: การฟ้องขับไล่ซ้ำในประเด็นที่เคยยอมความและมีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้ว
โจทก์เป็นผู้เช่าที่ดินซึ่งมีบ้านของจำเลยปลูกอยู่โดยอาศัยสิทธิโจทก์โจทก์เคยฟ้องขับไล่จำเลยมาแล้วครั้งหนึ่งให้รื้อบ้านออกไปอ้างเหตุว่าจำเลยก่อความรำคาญ แต่โจทก์จำเลยได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันโดยโจทก์ยอมรับว่าบ้านเป็นของจำเลยโจทก์จะไม่รบกวนสิทธิของจำเลยเกี่ยวกับบ้านต่อไปซึ่งศาลได้พิพากษาตามยอม คดีถึงที่สุดแล้วบัดนี้โจทก์กลับมาฟ้องขับไล่ให้จำเลยรื้อบ้านออกไปจากที่ดินอีกอ้างเหตุว่า จำเลยประพฤติตนไม่เหมาะสมโดยไม่ได้อ้างเหตุใหม่อะไรเลย ย่อมเป็นการรื้อร้องฟ้องคดีที่ได้มีคำพิพากษาหรือคำสั่งถึงที่สุดแล้วในประเด็นได้วินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกัน เป็นฟ้องซ้ำ
โจทก์ทำสัญญาประนีประนอมยอมความไว้ว่า โจทก์จะไม่รบกวนสิทธิของจำเลยเกี่ยวกับบ้านต่อไป หากจำเลยมิได้กระทำการใดๆ ขึ้นใหม่ จำเลยก็ย่อมมีสิทธิที่จะอยู่ในที่ดินที่โจทก์เช่าต่อไป โจทก์จะอาศัยเหตุอย่างเดียวกับที่ฟ้องจำเลยและทำสัญญาประนีประนอมยอมความไว้แล้วมาฟ้องขับไล่จำเลยอีกมิได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 333/2512

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องซ้ำและการรื้อฟ้องคดีที่ถึงที่สุด: การฟ้องขับไล่หลังทำสัญญาประนีประนอมยอมความ
โจทก์เป็นผู้เช่าที่ดินซึ่งมีบ้านของจำเลยปลูกอยู่โดยอาศัยสิทธิโจทก์. โจทก์เคยฟ้องขับไล่จำเลยมาแล้วครั้งหนึ่งให้รื้อบ้านออกไป. อ้างเหตุว่าจำเลยก่อความรำคาญ. แต่โจทก์จำเลยได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันโดยโจทก์ยอมรับว่าบ้านเป็นของจำเลย. โจทก์จะไม่รบกวนสิทธิของจำเลยเกี่ยวกับบ้านต่อไป. ซึ่งศาลได้พิพากษาตามยอม คดีถึงที่สุดแล้ว. บัดนี้โจทก์กลับมาฟ้องขับไล่ให้จำเลยรื้อบ้านออกไปจากที่ดินอีก. อ้างเหตุว่า จำเลยประพฤติตนไม่เหมาะสมโดยไม่ได้อ้างเหตุใหม่อะไรเลย. ย่อมเป็นการรื้อร้องฟ้องคดีที่ได้มีคำพิพากษาหรือคำสั่งถึงที่สุดแล้วในประเด็นได้วินิจฉัย. โดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกัน เป็นฟ้องซ้ำ.
โจทก์ทำสัญญาประนีประนอมยอมความไว้ว่า. โจทก์จะไม่รบกวนสิทธิของจำเลยเกี่ยวกับบ้านต่อไป. หากจำเลยมิได้กระทำการใดๆ ขึ้นใหม่ จำเลยก็ย่อมมีสิทธิที่จะอยู่ในที่ดินที่โจทก์เช่าต่อไป. โจทก์จะอาศัยเหตุอย่างเดียวกับที่ฟ้องจำเลยและทำสัญญาประนีประนอมยอมความไว้แล้ว. มาฟ้องขับไล่จำเลยอีกมิได้.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 333/2512 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องซ้ำและการไม่รบกวนสิทธิ: การฟ้องขับไล่ซ้ำโดยอาศัยเหตุเดิมหลังทำสัญญาประนีประนอมยอมความ
โจทก์เป็นผู้เช่าที่ดินซึ่งมีบ้านของจำเลยปลูกอยู่โดยอาศัยสิทธิโจทก์ โจทก์เคยฟ้องขับไล่จำเลยมาแล้วครั้งหนึ่งให้รื้อบ้านออกไป อ้างเหตุว่าจำเลยก่อความรำคาญ แต่โจทก์จำเลยได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันโดยโจทก์ยอมรับว่าบ้านเป็นของจำเลยโจทก์จะไม่รบกวนสิทธิของจำเลยเกี่ยวกับบ้านต่อไป ซึ่งศาลได้พิพากษาตามยอม คดีถึงที่สุดแล้ว บัดนี้โจทก์กลับมาฟ้องขับไล่ให้จำเลยรื้อบ้านออกไปจากที่ดินอีก อ้างเหตุว่า จำเลยประพฤติตนไม่เหมาะสมโดยไม่ได้อ้างเหตุใหม่อะไรเลย ย่อมเป็นการรื้อร้องฟ้องคดีที่ได้มีคำพิพากษาหรือคำสั่งถึงที่สุดแล้วในประเด็นได้วินิจฉัย โดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกัน เป็นฟ้องซ้ำ
โจทก์ทำสัญญาประนีประนอมยอมความไว้ว่า โจทก์จะไม่รบกวนสิทธิของจำเลยเกี่ยวกับบ้านต่อไป หากจำเลยมิได้กระทำการใดๆ ขึ้นใหม่ จำเลยก็ย่อมมีสิทธิที่จะอยู่ในที่ดินที่โจทก์เช่าต่อไป โจทก์จะอาศัยเหตุอย่างเดียวกับที่ฟ้องจำเลยและทำสัญญาประนีประนอมยอมความไว้แล้ว มาฟ้องขับไล่จำเลยอีกมิได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 332/2512

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อายุความหนี้ซื้อเชื่อและการสะดุดหยุดของอายุความเมื่อฟ้องคดีล้มละลายที่ไม่สำเร็จ
โจทก์ผู้จัดหาและประกอบอุตสาหกรรมอาหารไก่ออกจำหน่าย. ฟ้องเรียกค่าอาหารไก่ซึ่งจำเลยซื้อเชื่อไป. มีกำหนดอายุความสองปีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 165(1).
จำเลยรับสภาพหนี้โดยการผ่อนชำระหนี้ย่อมทำให้อายุความสะดุดหยุดลง. และเริ่มนับอายุความใหม่ต่อไป.
แม้โจทก์จะได้ฟ้องจำเลยเป็นคดีล้มละลายมาก่อนภายในกำหนดอายุความ. แต่ศาลพิพากษายกฟ้องเพราะเหตุจำเลยไม่เป็นคนมีหนี้สินล้นพ้นตัว. คดีถึงที่สุด. การฟ้องคดีซึ่งต้องยกฟ้อง. ย่อมไม่เป็นเหตุให้อายุความสะดุดหยุดลง.
คดีที่โจทก์ฟ้องจำเลยเป็นคดีล้มละลาย. แม้ศาลจะฟังว่าจำเลยเป็นหนี้โจทก์จริง.แต่ยกฟ้องเพราะจำเลยไม่ต้องด้วยเกณฑ์เป็นบุคคลล้มละลายนั้น. กรณีต้องด้วยมาตรา 174ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ทั้งมาตรา 174 ก็มิได้บัญญัติยกเว้นว่าถ้าเป็นกรณีฟ้องเพื่อตั้งหลักฐานสิทธิเรียกร้อง.แม้ศาลพิพากษายกฟ้องก็ให้อายุความสะดุดหยุดลง.
คดีที่ศาลพิพากษายกฟ้อง เพราะจำเลยไม่เป็นคนมีหนี้สินล้นพ้นตัวนั้นไม่ต้องด้วยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 176 ซึ่งเป็นเรื่องศาลยกคดีเสีย เพราะเหตุคดีไม่อยู่ในอำนาจศาล. และกำหนดอายุความสิ้นไปในระหว่างพิจารณาคดีหรือจะสิ้นลงภายในระหว่างหกเดือนภายหลังที่ได้พิพากษาคดีถึงที่สุด. อายุความจึงไม่ขยายออกไป.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 332/2512 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อายุความหนี้ซื้อเชื่อและการสะดุดหยุดของอายุความเมื่อฟ้องคดีล้มละลาย
โจทก์ผู้จัดหาและประกอบอุตสาหกรรมอาหารไก่ออกจำหน่าย ฟ้องเรียกค่าอาหารไก่ซึ่งจำเลยซื้อเชื่อไป มีกำหนดอายุความสองปีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 165 (1)
จำเลยรับสภาพหนี้โดยการผ่อนชำระหนี้ย่อมทำให้อายุความสะดุดหยุดลง และเริ่มนับอายุความใหม่ต่อไป
แม้โจทก์จะได้ฟ้องจำเลยเป็นคดีล้มละลายมาก่อนภายในกำหนดอายุความ แต่ศาลพิพากษายกฟ้องเพราะเหตุจำเลยไม่เป็นคนมีหนี้สินล้นพ้นตัว คดีถึงที่สุด การฟ้องคดีซึ่งต้องยกฟ้อง ย่อมไม่เป็นเหตุให้อายุความสะดุดหยุดลง
คดีที่โจทก์ฟ้องจำเลยเป็นคดีล้มละลาย แม้ศาลจะฟังว่าจำเลยเป็นหนี้โจทก์จริง แต่ยกฟ้องเพราะจำเลยไม่ต้องด้วยเกณฑ์เป็นบุคคลล้มละลายนั้น กรณีต้องด้วยมาตรา 174ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ทั้งมาตรา 174 ก็มิได้บัญญัติยกเว้นว่าถ้าเป็นกรณีฟ้องเพื่อตั้งหลักฐานสิทธิเรียกร้อง แม้ศาลพิพากษายกฟ้องก็ให้อายุความสะดุดหยุดลง
คดีที่ศาลพิพากษายกฟ้อง เพราะจำเลยไม่เป็นคนมีหนี้สินล้นพ้นตัวนั้นไม่ต้องด้วยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 176 ซึ่งเป็นเรื่องศาลยกคดีเสีย เพราะเหตุคดีไม่อยู่ในอำนาจศาล และกำหนดอายุความสิ้นไปในระหว่างพิจารณาคดีหรือจะสิ้นลงภายในระหว่างหกเดือนภายหลังที่ได้พิพากษาคดีถึงที่สุด อายุความจึงไม่ขยายออกไป

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 332/2512 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อายุความหนี้ค่าสินค้า: ผลของการฟ้องคดีล้มละลายและการขาดอายุความ
โจทก์ผู้จัดหาและประกอบอุตสาหกรรมอาหารไก่ออกจำหน่ายฟ้องเรียกค่าอาหารไก่ซึ่งจำเลยซื้อเชื่อไป มีกำหนดอายุความสองปีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 165(1)
จำเลยรับสภาพหนี้โดยการผ่อนชำระหนี้ย่อมทำให้อายุความสะดุดหยุดลง และเริ่มนับอายุความใหม่ต่อไป
แม้โจทก์จะได้ฟ้องจำเลยเป็นคดีล้มละลายมาก่อนภายในกำหนดอายุความ แต่ศาลพิพากษายกฟ้องเพราะเหตุจำเลยไม่เป็นคนมีหนี้สินล้นพ้นตัว คดีถึงที่สุดการฟ้องคดีซึ่งต้องยกฟ้องย่อมไม่เป็นเหตุให้อายุความสะดุดหยุดลง
คดีที่โจทก์ฟ้องจำเลยเป็นคดีล้มละลายแม้ศาลจะฟังว่าจำเลยเป็นหนี้โจทก์จริงแต่ยกฟ้องเพราะจำเลยไม่ต้องด้วยเกณฑ์เป็นบุคคลล้มละลายนั้นกรณีต้องด้วยมาตรา 174 ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ทั้งมาตรา 174 ก็มิได้บัญญัติยกเว้นว่าถ้าเป็นกรณีฟ้องเพื่อตั้งหลักฐานสิทธิเรียกร้องแม้ศาลพิพากษายกฟ้องก็ให้อายุความสะดุดหยุดลง
คดีที่ศาลพิพากษายกฟ้อง เพราะจำเลยไม่เป็นคนมีหนี้สินล้นพ้นตัวนั้นไม่ต้องด้วยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 176 ซึ่งเป็นเรื่องศาลยกคดีเสีย เพราะเหตุคดีไม่อยู่ในอำนาจศาลและกำหนดอายุความสิ้นไปในระหว่างพิจารณาคดีหรือจะสิ้นลงภายในระหว่างหกเดือนภายหลังที่ได้พิพากษาคดีถึงที่สุดอายุความจึงไม่ขยายออกไป
of 43