คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
วินัย ทองลงยา

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 537 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 729/2512 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาเช่าต่อ: การตกลงอัตราค่าเช่าใหม่เป็นสาระสำคัญ, 'หรือ' บ่งชี้การตกลงร่วมกัน
โจทก์จำเลยได้ทำสัญญาเช่าต่อกัน.มีข้อความว่า'ผู้ให้เช่าจะยอมให้ผู้เช่าเช่าสถานที่ต่อไปอีกคราวหนึ่งมีกำหนด 10 ปี ในอัตราค่าเช่าอย่างเดิมหรืออัตราค่าเช่าอื่นใดสุดแต่คู่สัญญาทั้งสองฝ่ายจะตกลงกัน' นั้นหมายความว่าการที่โจทก์จะยอมให้จำเลยเช่าต่อไป 10 ปีนั้น อัตราค่าเช่าจะเป็นอย่างเดิมก็ดี หรืออย่างอื่นใดก็ดีโจทก์จำเลยจะต้องตกลงซึ่งกันและกันเสียก่อนซึ่งเป็นสารสำคัญของการเช่าตามกฎหมาย และเป็นเจตนาของคู่สัญญาด้วย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 728/2512

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การใช้คำพิพากษาในคดีอาญาเป็นหลักฐานในคดีแพ่งเรื่องละเมิด ความรับผิดจากอุบัติเหตุทางรถยนต์
ในประเด็นที่ว่า จำเลยขับรถยนต์โดยประมาทเป็นเหตุให้บุตรโจทก์ถึงแก่ความตายหรือไม่นั้น. จำเลยแถลงขอให้ถือเอาข้อเท็จจริงที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีอาญาหมายเลขดำที่835/2507 ระหว่างโจทก์คดีนี้เป็นโจทก์ และจำเลยคดีนี้เป็นจำเลย. โดยคดีนั้นโจทก์ฟ้องว่าจำเลยขับรถยนต์โดยประมาทฝ่ายเดียว. เป็นเหตุให้บุตรโจทก์ถึงแก่ความตาย. ซึ่งคดีนั้นศาลชั้นต้นได้พิจารณารวมกับคดีอาญาเลขดำที่ 949/2507ระหว่างพนักงานอัยการโจทก์. จำเลยคดีนี้เป็นจำเลย. โดยอัยการโจทก์ฟ้องว่าจำเลยและบุตรโจทก์ต่างประมาทเป็นเหตุให้รถชนกัน. และศาลชั้นต้นได้พิพากษารวมกันโดยฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยได้ขับรถยนต์โดยประมาท เป็นเหตุให้บุตรโจทก์ถึงแก่ความตาย. ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน. ปรากฏตามคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1336-1337/2517. ฉะนั้น การที่ศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงในคดีนี้.ว่าจำเลยที่ 2 ขับรถยนต์โดยประมาทเป็นเหตุให้บุตรโจทก์ถึงแก่ความตาย.จึงถูกต้องตรงตามข้อเท็จจริงที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีอาญาหมายเลขดำที่ 835/2507. คดีหมายเลขแดงที่ 1336/2507. และตรงตามคำแถลงของจำเลยที่ให้ถือเอาข้อเท็จจริงในคดีอาญาดังกล่าวมาเป็นหลักในการวินิจฉัยประเด็นนี้ในคดีนี้. และชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 46แล้ว.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 728/2512 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การวินิจฉัยความรับผิดจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ โดยอ้างอิงคำพิพากษาคดีอาญาที่เกี่ยวข้อง
ในประเด็นที่ว่า จำเลยขับรถยนต์โดยประมาทเป็นเหตุให้บุตรโจทก์ถึงแก่ความตายหรือไม่นั้น จำเลยแถลงขอให้ถือเอาข้อเท็จจริงที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีอาญาหมายเลขดำที่835/2507 ระหว่างโจทก์คดีนี้เป็นโจทก์ และจำเลยคดีนี้เป็นจำเลยโดยคดีนั้นโจทก์ฟ้องว่าจำเลยขับรถยนต์โดยประมาทฝ่ายเดียวเป็นเหตุให้บุตรโจทก์ถึงแก่ความตายซึ่งคดีนั้นศาลชั้นต้นได้พิจารณารวมกับคดีอาญาเลขดำที่ 949/2507ระหว่างพนักงานอัยการโจทก์ จำเลยคดีนี้เป็นจำเลยโดยอัยการโจทก์ฟ้องว่าจำเลยและบุตรโจทก์ต่างประมาทเป็นเหตุให้รถชนกันและศาลชั้นต้นได้พิพากษารวมกันโดยฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยได้ขับรถยนต์โดยประมาท เป็นเหตุให้บุตรโจทก์ถึงแก่ความตายศาลอุทธรณ์พิพากษายืนปรากฏตามคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1336-1337/2517 ฉะนั้น การที่ศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงในคดีนี้ว่าจำเลยที่ 2 ขับรถยนต์โดยประมาทเป็นเหตุให้บุตรโจทก์ถึงแก่ความตายจึงถูกต้องตรงตามข้อเท็จจริงที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีอาญาหมายเลขดำที่ 835/2507 คดีหมายเลขแดงที่ 1336/2507 และตรงตามคำแถลงของจำเลยที่ให้ถือเอาข้อเท็จจริงในคดีอาญาดังกล่าวมาเป็นหลักในการวินิจฉัยประเด็นนี้ในคดีนี้และชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 46 แล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 728/2512 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การใช้ข้อเท็จจริงจากคดีอาญาเป็นหลักในการพิจารณาคดีแพ่งเกี่ยวกับความรับผิดจากอุบัติเหตุทางรถยนต์
ในประเด็นที่ว่า จำเลยขับรถยนต์โดยประมาทเป็นเหตุให้บุตรโจทก์ถึงแก่ความตายหรือไม่นั้น จำเลยแถลงขอให้ถือเอาข้อเท็จจริงที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีอาญาหมายเลขดำที่ 835/2507 ระหว่างโจทก์คดีนี้เป็นโจทก์ และจำเลยคดีนี้เป็นจำเลย โดยคดีนั้นโจทก์ฟ้องว่าจำเลยขับรถยนต์โดยประมาทฝ่ายเดียว เป็นเหตุให้บุตรโจทก์ถึงแก่ความตาย ซึ่งคดีนั้นศาลชั้นต้นได้พิจารณารวมกับคดีอาญาเลขดำที่ 949/2507 ระหว่างพนักงานอัยการโจทก์ จำเลยคดีนี้เป็นจำเลย โดยอัยการโจทก์ฟ้องว่าจำเลยและบุตรโจทก์ต่างประมาทเป็นเหตุให้รถชนกัน และศาลชั้นต้นได้พิพากษารวมกันโดยฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยได้ขับรถยนต์โดยประมาท เป็นเหตุให้บุตรโจทก์ถึงแก่ความตาย ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ปรากฏตามคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1336 - 1337/2507 ฉะนั้น การที่ศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงใจคดีนี้ว่าจำเลยที่ 2 ขับรถยนต์โดยประมาทเป็นเหตุให้บุตรโจทก์ถึงแก่ความตาย จึงถูกต้องตรงตามข้อเท็จจริงที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีอาญาหมายเลขดำที่ 835/2507 คดีหมายเลขแดงที่ 1336/2507 และตรงตามคำแถลงของจำเลยที่ให้ถือเอาข้อเท็จจริงในคดีอาญาดังกล่าวมาเป็นหลักในการวินิจฉัยประเด็นนี้ในคดีนี้ และชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 46 แล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 718/2512

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิเรียกร้องค่าเช่าตามสัญญายอมความ แม้มีการโอนทรัพย์สิน สัญญาผูกพันตลอดชีวิตบิดามารดา
บุตรสามคนซึ่งเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ร่วมกันในที่ดินและสิ่งปลูกสร้างทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันในศาล. ตกลงจัดผลประโยชน์ในทรัพย์สินดังกล่าวโดยการให้เช่าและให้บุตรคนหนึ่งเป็นผู้เก็บค่าเช่าส่งมอบให้บิดามารดาคนละครึ่งจนตลอดชีวิตของบิดามารดา. โดยหักค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับค่าภาษีออกเสียก่อน. สัญญานี้เป็นสัญญาจะชำระหนี้แก่บุคคลภายนอกตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 374. เมื่อบิดาแสดงเจตนาถือเอาประโยชน์ตามสัญญานั้นแล้ว. แม้ต่อมาบุตรทั้งสามคนนั้นจะตกลงกันเลิกสัญญาและโอนขายทรัพย์สินดังกล่าวให้แก่บุคคลภายนอกไป. บุตรซึ่งรับเป็นผู้เก็บค่าเช่าก็ยังต้องรับผิดส่งเงินให้แก่บิดาไปจนตลอดชีวิต. โดยคำนวณเงินที่จะต้องส่งจากส่วนเฉลี่ยของค่าเช่าที่เคยเก็บหักด้วยส่วนเฉลี่ยค่าภาษีที่เคยเสีย. บุตรหาอาจเปลี่ยนแปลงหรือระงับสิทธินั้นในภายหลังได้ไม่.
การที่ศาลประมาณเงินค่าเช่าที่บิดาควรได้จากบุตรโดยวินิจฉัยจากจำนวนค่าเช่าสูงสุดกับต่ำที่สุดเป็นหลักคำนวณส่วนเฉลี่ยนั้น. มิใช่เป็นการกะประมาณเอาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 438. ซึ่งเป็นบทบัญญัติให้อำนาจศาลใช้ดุลพินิจกำหนดค่าสินไหมทดแทนในกรณีละเมิด.
การที่บุตรทั้งสามคนโอนขายทรัพย์ซึ่งตกลงกันจัดผลประโยชน์ให้แก่บุคคลภายนอกไป. จะอ้างว่าค่าเช่าที่โจทก์จะได้ต้องระงับโดยเป็นหนี้ที่พ้นวิสัยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 219 หาได้ไม่. เพราะบุตรโอนขายทรัพย์ไปเอง.
จำเลยฎีกาว่า โจทก์นำสืบจำนวนค่าเช่าไม่ได้แน่นอนสมฟ้อง. แต่มิได้บรรยายข้อเท็จจริงในฎีกาเลยว่า. โจทก์นำสืบไม่สมฟ้องประการใดบ้าง. เป็นฎีกาที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 249. ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 718/2512 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาประนีประนอมยอมความ การส่งมอบค่าเช่า และผลของการโอนทรัพย์สิน
บุตรสามคนซึ่งเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ร่วมกันในที่ดินและสิ่งปลูกสร้างทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันในศาล ตกลงจัดผลประโยชน์ในทรัพย์สินดังกล่าวโดยการให้เช่าและให้บุตรคนหนึ่งเป็นผู้เก็บค่าเช่าส่งมอบให้บิดามารดาคนละครึ่งจนตลอดชีวิตของบิดามารดา โดยหักค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับค่าภาษีออกเสียก่อน สัญญานี้เป็นสัญญาจะชำระหนี้แก่บุคคลภายนอกตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 374 เมื่อบิดาแสดงเจตนาถือเอาประโยชน์ตามสัญญานั้นแล้ว แม้ต่อมาบุตรทั้งสามคนนั้นจะตกลงกันเลิกสัญญาและโอนขายทรัพย์สินดังกล่าวให้แก่บุคคลภายนอกไป บุตรซึ่งรับเป็นผู้เก็บค่าเช่าก็ยังต้องรับผิดส่งเงินให้แก่บิดาไปจนตลอดชีวิต โดยคำนวณเงินที่จะต้องส่งจากส่วนเฉลี่ยของค่าเช่าที่เคยเก็บหักด้วยส่วนเฉลี่ยค่าภาษีที่เคยเสีย บุตรหาอาจเปลี่ยนแปลงหรือระงับสิทธินั้นในภายหลังได้ไม่
การที่ศาลประมาณเงินค่าเช่าที่บิดาควรได้จากบุตรโดยวินิจฉัยจากจำนวนค่าเช่าสูงสุดกับต่ำที่สุดเป็นหลักคำนวณส่วนเฉลี่ยนั้น มิใช่เป็นการกะประมาณเอาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 438 ซึ่งเป็นบทบัญญัติให้อำนาจศาลใช้ดุลพินิจกำหนดค่าสินไหมทดแทนในกรณีละเมิด
การที่บุตรทั้งสามคนโอนขายทรัพย์ซึ่งตกลงกันจัดผลประโยชน์ให้แก่บุคคลภายนอกไป จะอ้างว่าค่าเช่าที่โจทก์จะได้ต้องระงับโดยเป็นหนี้ที่พ้นวิสัยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 219 หาได้ไม่ เพราะบุตรโอนขายทรัพย์ไปเอง
จำเลยฎีกาว่า โจทก์นำสืบจำนวนค่าเช่าไม่ได้แน่นอนสมฟ้อง แต่มิได้บรรยายข้อเท็จจริงในฎีกาเลยว่า โจทก์นำสืบไม่สมฟ้องประการใดบ้าง เป็นฎีกาที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 249 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 718/2512 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ผลผูกพันสัญญาประนีประนอมยอมความและการรับผิดชอบค่าเช่าหลังการโอนทรัพย์สิน
บุตรสามคนซึ่งเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ร่วมกันในที่ดินและสิ่งปลูกสร้างทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันในศาลตกลงจัดผลประโยชน์ในทรัพย์สินดังกล่าวโดยการให้เช่าและให้บุตรคนหนึ่งเป็นผู้เก็บค่าเช่าส่งมอบให้บิดามารดาคนละครึ่งจนตลอดชีวิตของบิดามารดา โดยหักค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับค่าภาษีออกเสียก่อน สัญญานี้เป็นสัญญาจะชำระหนี้แก่บุคคลภายนอกตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 374เมื่อบิดาแสดงเจตนาถือเอาประโยชน์ตามสัญญานั้นแล้วแม้ต่อมาบุตรทั้งสามคนนั้นจะตกลงกันเลิกสัญญาและโอนขายทรัพย์สินดังกล่าวให้แก่บุคคลภายนอกไป บุตรซึ่งรับเป็นผู้เก็บค่าเช่าก็ยังต้องรับผิดส่งเงินให้แก่บิดาไปจนตลอดชีวิต โดยคำนวณเงินที่จะต้องส่งจากส่วนเฉลี่ยของค่าเช่าที่เคยเก็บหักด้วยส่วนเฉลี่ยค่าภาษีที่เคยเสียบุตรหาอาจเปลี่ยนแปลงหรือระงับสิทธินั้นในภายหลังได้ไม่
การที่ศาลประมาณเงินค่าเช่าที่บิดาควรได้จากบุตรโดยวินิจฉัยจากจำนวนค่าเช่าสูงสุดกับต่ำที่สุดเป็นหลักคำนวณส่วนเฉลี่ยนั้นมิใช่เป็นการกะประมาณเอาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 438ซึ่งเป็นบทบัญญัติให้อำนาจศาลใช้ดุลพินิจกำหนดค่าสินไหมทดแทนในกรณีละเมิด
การที่บุตรทั้งสามคนโอนขายทรัพย์ซึ่งตกลงกันจัดผลประโยชน์ให้แก่บุคคลภายนอกไปจะอ้างว่าค่าเช่าที่โจทก์จะได้ต้องระงับโดยเป็นหนี้ที่พ้นวิสัยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 219 หาได้ไม่เพราะบุตรโอนขายทรัพย์ไปเอง
จำเลยฎีกาว่า โจทก์นำสืบจำนวนค่าเช่าไม่ได้แน่นอนสมฟ้อง แต่มิได้บรรยายข้อเท็จจริงในฎีกาเลยว่าโจทก์นำสืบไม่สมฟ้องประการใดบ้างเป็นฎีกาที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 249ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 714/2512 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การยินยอมให้เปิดคันดินกั้นน้ำไม่ถือเป็นการละเมิด แม้จะทำให้เกิดความเสียหายต่อทรัพย์สิน
ตามคำบรรยายฟ้องของโจทก์สรุปได้ว่า จำเลยพังทำลายคันดินกั้นน้ำในคลองซึ่งเป็นทางน้ำสาธารณะ เป็นเหตุให้คันดินนี้กักเก็บน้ำและระบายน้ำเข้านาโจทก์ไม่ได้ทำให้ข้าวในนาของโจทก์เสียหายซึ่งเป็นการที่โจทก์กล่าวอ้างว่าจำเลยกระทำผิดกฎหมายเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายแก่ทรัพย์สินของโจทก์โจทก์จึงฟ้องขอให้ทำคันดินกั้นน้ำให้ดีดังเดิมหรือให้โจทก์ทำโดยจำเลยชดใช้ค่าใช้จ่ายให้ได้
โจทก์ยินยอมให้จำเลยกับพวกเปิดคันดินกั้นน้ำในคลองซึ่งเป็นทางน้ำสาธารณะหรือทำให้คันดินไม่อยู่ในสภาพกักเก็บน้ำและระบายน้ำเข้านาโจทก์ได้แม้ทำให้ข้าวในนาโจทก์เสียหาย ก็ไม่เป็นละเมิดต่อโจทก์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 714/2512 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การยินยอมให้กระทำโดยชอบด้วยกฎหมายแล้ว ไม่ถือเป็นการละเมิด แม้จะเกิดความเสียหายต่อทรัพย์สิน
ตามคำบรรยายฟ้องของโจทก์สรุปได้ว่า จำเลยพังทำลายคันดินกั้นน้ำในคลองซึ่งเป็นทางน้ำสาธารณะ เป็นเหตุให้คันดินนี้กักเก็บน้ำและระบายน้ำเข้านาโจทก์ไม่ได้ ทำให้ข้าวในนาของโจทก์เสียหาย ซึ่งเป็นการที่โจทก์กล่าวอ้างว่า จำเลยกระทำผิดกฎหมาย เป็นเหตุให้เกิดความเสียหายแก่ทรัพย์สินของโจทก์ โจทก์จึงฟ้องขอให้ทำคันดินกั้นน้ำให้ดีดังเดิม หรือให้โจทก์ทำโดยจำเลยชดใช้ค่าใช้จ่ายให้ได้
โจทก์ยินยอมให้จำเลยกับพวกเปิดคันดินกั้นน้ำในคลองซึ่งเป็นทางน้ำสาธารณะ หรือทำให้คันดินไม่อยู่ในสภาพกักเก็บน้ำและระบายน้ำเข้านาโจทก์ได้ แม้ทำให้ข้าวในนาโจทก์เสียหาย ก็ไม่เป็นละเมิดต่อโจทก์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 688/2512 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องซ้ำ-อายุความ: สิทธิเรียกคืนเงินจากการชำระหนี้ซ้ำจากการฟ้องเรียกหนี้ซ้อน
คดีก่อน จำเลยฟ้อง ม. ให้ชำระหนี้เงินกู้ ซึ่ง ม. ได้กู้จากจำเลยไปแทนโจทก์ซึ่งศาลได้พิพากษาถึงที่สุดให้ ม. แพ้คดีโดยเหตุที่ไม่สามารถพิสูจน์หลักฐานการชำระเงินได้แต่คดีนี้โจทก์ฟ้องจำเลยเรียกเงินที่จำเลยได้หักเงินรายได้โรงเรียนของโจทก์ตามหนี้เงินกู้รายเดียวกันนี้ไว้คืนฐานลาภมิควรได้โดยเหตุที่จำเลยกลับนำสัญญากู้รายเดียวกันนี้ไปฟ้อง ม. จนศาลพิพากษาถึงที่สุดให้ชำระหนี้เงินกู้รายเดียวกันนี้แก่จำเลย ดังนี้ประเด็นในคดีนี้จึงเป็นคนละประเด็นกับคดีก่อน ไม่เป็นฟ้องซ้ำ
โจทก์จำเลยตกลงกู้ยืมเงินกันโดยโจทก์ให้ ม. ทำสัญญากู้ไว้แทนโจทก์ โดยมีข้อตกลงให้จำเลยหักเงินรายได้โรงเรียนของโจทก์ชำระหนี้เงินกู้นี้แต่จำเลยได้นำสัญญากู้รายเดียวกันนี้ไปฟ้อง ม. จนศาลพิพากษาถึงที่สุดให้ม. ชำระหนี้เงินกู้แก่จำเลยโจทก์จึงฟ้องเรียกเงินของโจทก์ที่จำเลยได้หักชำระหนี้รายเดียวกันนี้คืนฐานลาภมิควรได้ดังนี้ ต้องถือว่าสิทธิของโจทก์ที่ฟ้องเรียกลาภมิควรได้นี้เกิดขึ้นต่อเมื่อคดีที่จำเลยฟ้อง ม. ถึงที่สุดเสียก่อนและก่อนคดีดังกล่าวถึงที่สุดจะถือว่าโจทก์ได้รู้ถึงสิทธิที่จะเรียกเงินคืนตามมูลฐานดังกล่าวมิได้ เมื่อนับจากวันที่โจทก์ได้ทราบเรื่องซึ่งเป็นเวลาภายหลังได้อ่านคำพิพากษาศาลฎีกาคดีดังกล่าวมาจนถึงวันที่โจทก์ฟ้องยังอยู่ภายในระยะเวลา 1 ปี คดีโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ
of 54