คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
วินัย ทองลงยา

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 537 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 392/2512 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิการเข้าร่วมเป็นโจทก์ของผู้เสียหายต้องยื่นคำร้องก่อนศาลชั้นต้นพิพากษาคดี
ผู้เสียหายจะยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการเพื่อใช้สิทธิในการอุทธรณ์ฎีกา ภายหลังที่ศาลชั้นต้นพิพากษาคดีแล้วนั้นไม่ได้เพราะไม่ต้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 30

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 392/2512 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิการเข้าร่วมเป็นโจทก์ของผู้เสียหายต้องยื่นคำร้องก่อนศาลชั้นต้นพิพากษาคดี
ผู้เสียหายจะยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการ เพื่อใช้สิทธิในการอุทธรณ์ฎีกา ภายหลังที่ศาลชั้นต้นพิพากษาคดีแล้วนั้นไม่ได้ เพราะไม่ต้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 30.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 289/2512 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ผลกระทบการยกฟ้องฐานพยายามฆ่าต่อการลงโทษฐานมีอาวุธปืนผิดกฎหมาย ศาลต้องใช้ประมวลกฎหมายอาญา ม.2
โจทก์ฟ้องจำเลยในข้อหาพยายามฆ่าและมีอาวุธปืนผิดกฎหมายไว้ในครอบครอง ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยทำผิดทั้งสองฐานแต่ให้ลงโทษฐานพยายามฆ่าอันเป็นกระทงหนัก จำเลยอุทธรณ์เฉพาะข้อหาฐานพยายามฆ่า แต่ในระหว่างพิจารณาศาลอุทธรณ์มีพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ (ฉบับที่ 4) พ.ศ.2510 ออกมาให้ผู้มีอาวุธปืนโดยไม่รับอนุญาตไปขอรับอนุญาตภายใน90 วัน โดยไม่ต้องรับโทษ เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องทั้งสองข้อหา และโจทก์ฎีกาคัดค้านขึ้นมาดังนี้ แม้ความผิดฐานมีอาวุธปืนจะถึงที่สุดแล้วแต่โดยเหตุที่ศาลฎีกายกฟ้องฐานพยายามฆ่าเมื่อจะลงโทษความผิดฐานมีอาวุธปืนซึ่งศาลชั้นต้นมิได้กำหนดโทษฐานนี้ไว้ คดีก็ต้องบังคับตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 2 ซึ่งบัญญัติว่าแม้คดีถึงที่สุดแล้ว ก็ให้ถือว่าผู้นั้นไม่เคยต้องคำพิพากษาว่าได้กระทำความผิดนั้นจึงเป็นอันว่าศาลฎีกาจะกำหนดโทษให้ลงแก่จำเลยในความผิดฐานนี้อีกไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 289/2512 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ผลกระทบของการยกฟ้องในข้อหาหลักต่อการลงโทษในความผิดอื่นที่จำเลยให้การรับสารภาพ
โจทก์ฟ้องจำเลยในข้อหาพยายามฆ่าและมีอาวุธปืนผิดกฎหมายไว้ในครอบครอง ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยทำผิดทั้งสองฐาน แต่ให้ลงโทษฐานพยายามฆ่าอันเป็นกระทงหนัก จำเลยอุทธรณ์เฉพาะข้อหาฐานพยายามฆ่า แต่ในระหว่างพิจารณาศาลอุทธรณ์มีพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ (ฉบับที่ 4) พ.ศ.2510 ออกมา ให้ผู้มีอาวุธปืนโดยไม่รับอนุญาตไปขอรับอนุญาตภายใน 90 วัน โดยไม่ต้องรับโทษ เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องทั้งสองข้อหา และโจทก์ฎีกาคัดค้านขึ้นมา ดังนี้ แม้ความผิดฐานมีอาวุธปืนจะถึงที่สุดแล้ว แต่โดยเหตุที่ศาลฎีกายกฟ้องฐานพยายามฆ่า เมื่อจะลงโทษความผิดฐานมีอาวุธปืน ซึ่งศาลชั้นต้นมิได้กำหนดโทษฐานนี้ไว้ คดีก็ต้องบังคับตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 2 ซึ่งบัญญัติว่าแม้คดีถึงที่สุดแล้ว ก็ให้ถือว่าผู้นั้นไม่เคยต้องคำพิพากษาว่าได้กระทำความผิดนั้น จึงเป็นอันว่าศาลฎีกาจะกำหนดโทษให้ลงแก่จำเลยในความผิดฐานนี้อีกไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 269/2512

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เบี้ยปรับในสัญญาซื้อขาย: ผู้ซื้อผิดสัญญาต้องชำระดอกเบี้ยตามที่ตกลง
ผู้ซื้อกับผู้ขายทำสัญญาจะซื้อขายที่ดินกันไว้ว่า. ตกลงกำหนดโอนที่ดินให้ผู้ซื้อหรือผู้หนึ่งผู้ใดที่ผู้ซื้อระบุภายใน 1 เดือนนับแต่วันทำสัญญา. ถ้าพ้นกำหนดแล้วผู้ซื้อยังชำระเงินค่าที่ดินให้ผู้ขายไม่ได้. ผู้ขายยอมขยายเวลาให้อีก 150 วัน โดยผู้ซื้อยอมเสียดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปีในเงินค่าที่ดินที่ยังไม่ชำระสำหรับระยะเวลา 150 วันนั้น. ถ้าเกินกำหนดนี้ ผู้ขายมีสิทธิเลิกสัญญาได้ทันที.ดอกเบี้ยที่กำหนดไว้ตามสัญญาดังกล่าวถือได้ว่าเป็นเบี้ยปรับ. เมื่อไม่ชำระหนี้หรือไม่ชำระหนี้ให้ถูกต้องตามสมควร ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 379. เพราะเป็นค่าเสียหายจำนวนหนึ่งที่คู่สัญญาตกลงกันไว้ล่วงหน้าว่าจะชดใช้ให้เมื่อผู้ซื้อไม่ชำระหนี้ในกำหนดเวลาตามสัญญา.
เมื่อผู้ซื้อผิดสัญญาไม่สามารถรับโอนที่ดินและชำระเงินค่าที่ดินได้ตามสัญญา ผู้ขายย่อมฟ้องเรียกดอกเบี้ยซึ่งกำหนดไว้เป็นเบี้ยปรับจากผู้ซื้อได้.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 269/2512 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เบี้ยปรับในสัญญาซื้อขาย: เมื่อผู้ซื้อผิดสัญญา ผู้ขายมีสิทธิเรียกดอกเบี้ยตามที่ตกลงกันไว้ได้
ผู้ซื้อกับผู้ขายทำสัญญาจะซื้อขายที่ดินกันไว้ว่า ตกลงกำหนดโอนที่ดินให้ผู้ซื้อหรือผู้หนึ่งผู้ใดที่ผู้ซื้อระบุภายใน 1 เดือนนับแต่วันทำสัญญา ถ้าพ้นกำหนดแล้วผู้ซื้อยังชำระเงินค่าที่ดินให้ผู้ขายไม่ได้ ผู้ขายยอมขยายเวลาให้อีก 150 วัน โดยผู้ซื้อยอมเสียดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปีในเงินค่าที่ดินที่ยังไม่ชำระสำหรับระยะเวลา 150 วันนั้น ถ้าเกินกำหนดนี้ ผู้ขายมีสิทธิเลิกสัญญาได้ทันที ดอกเบี้ยที่กำหนดไว้ตามสัญญาดังกล่าวถือได้ว่าเป็นเบี้ยปรับ เมื่อไม่ชำระหนี้หรือไม่ชำระหนี้ให้ถูกต้องตามสมควร ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 379 เพราะเป็นค่าเสียหายจำนวนหนึ่งที่คู่สัญญาตกลงกันไว้ล่วงหน้าว่าจะชดใช้ให้เมื่อผู้ซื้อไม่ชำระหนี้ในกำหนดเวลาตามสัญญา
เมื่อผู้ซื้อผิดสัญญาไม่สามารถรับโอนที่ดินและชำระเงินค่าที่ดินได้ตามสัญญา ผู้ขายย่อมฟ้องเรียกดอกเบี้ยซึ่งกำหนดไว้เป็นเบี้ยปรับจากผู้ซื้อได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 269/2512 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เบี้ยปรับในสัญญาซื้อขาย: ศาลฎีกาวินิจฉัยให้โจทก์ชำระดอกเบี้ยตามสัญญา แม้ผิดสัญญาซื้อขาย
ผู้ซื้อกับผู้ขายทำสัญญาจะซื้อขายที่ดินกันไว้ว่าตกลงกำหนดโอนที่ดินให้ผู้ซื้อหรือผู้หนึ่งผู้ใดที่ผู้ซื้อระบุภายใน 1 เดือนนับแต่วันทำสัญญา ถ้าพ้นกำหนดแล้วผู้ซื้อยังชำระเงินค่าที่ดินให้ผู้ขายไม่ได้ ผู้ขายยอมขยายเวลาให้อีก 150 วัน โดยผู้ซื้อยอมเสียดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปีในเงินค่าที่ดินที่ยังไม่ชำระสำหรับระยะเวลา 150 วันนั้น
ถ้าเกินกำหนดนี้ ผู้ขายมีสิทธิเลิกสัญญาได้ทันทีดอกเบี้ยที่กำหนดว้ตามสัญญาดังกล่าวถือได้ว่าเป็นเบี้ยปรับ เมื่อไม่ชำระหนี้หรือไม่ชำระหนี้ให้ถูกต้องตามสมควร ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 379เพราะเป็นค่าเสียหายจำนวนหนึ่งที่คู่สัญญาตกลงกันไว้ล่วงหน้าว่าจะชดใช้ให้เมื่อผู้ซื้อไม่ชำระหนี้ในกำหนดเวลาตามสัญญา
เมื่อผู้ซื้อผิดสัญญาไม่สามารถรับโอนที่ดินและชำระเงินค่าที่ดินได้ตามสัญญา ผู้ขายย่อมฟ้องเรียกดอกเบี้ยซึ่งกำหนดไว้เป็นเบี้ยปรับจากผู้ซื้อได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 245/2512 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การสีข้าวเพื่อช่วยเหลือชาวบ้านถือเป็นการค้าข้าว ต้องขออนุญาตตามกฎหมาย
พระราชบัญญัติการค้าข้าว (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2489 มาตรา 3กล่าวถึงการค้าข้าวไว้ว่าหมายถึงการซื้อขายแลกเปลี่ยนหรือโอนกรรมสิทธิ์ข้าว รวมตลอดถึงการสีข้าว ทั้งนี้ นอกจากสำหรับบริโภคในครอบครัว ฉะนั้นการที่จำเลยรับจ้างชาวบ้านสีข้าว แม้จะเอาค่าจ้างเพียงเล็กน้อย โดยมีเจตนาเพื่อช่วยเหลือชาวบ้านให้มีข้าวสารบริโภคก็ดี ก็ได้ชื่อว่าเป็นการค้าข้าวตามความหมายของพระราชบัญญัติการค้าข้าวแล้ว จำเลยจึงต้องได้รับอนุญาตจากคณะกรรมการตามพระราชบัญญัติการค้าข้าว (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2489 เสียก่อน จึงจะทำการสีข้าวได้ การที่จำเลยรับจ้างชาวบ้านสีข้าวโดยมิได้รับอนุญาตจึงเป็นความผิด

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 245/2512 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การสีข้าวเพื่อช่วยเหลือชาวบ้านเข้าข่ายเป็นการค้าข้าวตามกฎหมาย จำเป็นต้องได้รับอนุญาต
พระราชบัญญัติการค้าข้าว (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2489 มาตรา 3 กล่าวถึงการค้าข้าวไว้ว่าหมายถึงการซื้อขายแลกเปลี่ยนหรือโอนกรรมสิทธิ์ข้าวรวมตลอดถึงการสีข้าว ทั้งนี้ นอกจากสำหรับบริโภคในครอบครัวฉะนั้นการที่จำเลยรับจ้างชาวบ้านสีข้าว แม้จะเอาค่าจ้างเพียงเล็กน้อยโดยมีเจตนาเพื่อช่วยเหลือชาวบ้านให้มีข้าวสารบริโภคก็ดีก็ได้ชื่อว่าเป็นการค้าข้าวตามความหมายของพระราชบัญญัติการค้าข้าวแล้วจำเลยจึงต้องได้รับอนุญาตจากคณะกรรมการตามพระราชบัญญัติการค้าข้าว (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2489 เสียก่อน จึงจะทำการสีข้าวได้การที่จำเลยรับจ้างชาวบ้านสีข้าวโดยมิได้รับอนุญาตจึงเป็นความผิด

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 208/2512 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิทายาทโดยธรรมและผู้เสียหายในคดีปลอมแปลงพินัยกรรม การพิสูจน์ความเสียหายที่แท้จริง
โจทก์เป็นน้องชายเจ้ามรดก โจทก์ย่อมเป็นทายาทโดยธรรมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1629 แต่โจทก์ไม่มีสิทธิรับมรดกในเมื่อยังมีทายาทโดยธรรมในลำดับก่อนตนยังมีชีวิตอยู่ตาม มาตรา 1630และทั้งนี้ต้องต่อเมื่อเจ้ามรดกมิได้ทำพินัยกรรมยกทรัพย์มรดกให้โจทก์
โจทก์ที่ 3 เป็นบุตรเจ้ามรดกและโจทก์ที่ 1,2 เป็นน้องชายเจ้ามรดกซึ่งมิได้ทำพินัยกรรมไว้ การที่จำเลยสมคบกันปลอมพินัยกรรมขึ้นว่าเจ้ามรดกยกทรัพย์ให้จำเลยที่ 4 ผู้เดียว ย่อมทำให้โจทก์ที่ 3 เสียหายแต่ไม่ทำให้โจทก์ที่ 1,2 ผู้เป็นน้องชายเจ้ามรดกเสียหายด้วยเพราะจำเลยจะปลอมหรือไม่ปลอม โจทก์ที่ 1,2 ก็ไม่มีสิทธิรับมรดกอยู่แล้ว และฟ้องมิได้บรรยายว่าเจ้ามรดกตั้งใจทำพินัยกรรมยกทรัพย์ให้โจทก์ที่ 1,2 ด้วยแล้วจำเลยปลอมพินัยกรรมขึ้นเป็นอย่างอื่น โจทก์ที่ 1,2 จึงมิใช่ผู้เสียหายที่จะฟ้องคดีอาญาฐานปลอมพินัยกรรม ตลอดถึงข้อหาฐานเบิกความเท็จเรื่องพินัยกรรมปลอมนี้ได้
of 54