พบผลลัพธ์ทั้งหมด 537 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 221/2516
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิการเช่าเป็นสิทธิเฉพาะตัว ห้ามโอนสิทธิแก่บุคคลอื่น แม้เป็นบุตรเขยหรือทายาท เว้นแต่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้เช่า
สิทธิการเช่าเป็นสิทธิเฉพาะตัวของผู้เช่าเท่านั้น จะโอนจะแบ่งตามกฎหมายครอบครัวหรือมรดกหรือตามนิติกรรมก็ดี ถ้าไม่มีข้อตกลงกันไว้ในสัญญาเช่า หรือมิได้รับความยินยอมจากผู้ให้เช่าแล้ว จะโอนจะแบ่งไปยังบุคคลภายนอกแม้จะเป็นสามีภริยาหรือแม้แต่ทายาทของผู้เช่าหาได้ไม่หรือนัยหนึ่งสิทธิการเช่าเป็นสิทธิตามสัญญาซึ่งคนอื่นนอกจากคู่สัญญาเช่าจะเข้าไปมีสิทธิตามสัญญาด้วยไม่ได้ เมื่อโจทก์เป็นผู้เช่าตึกพิพาทตามสัญญาเช่าแต่ผู้เดียวจำเลยไม่ใช่คู่สัญญาด้วย. ย่อมไม่อาจอ้างได้ว่าจำเลยมีสิทธิตามสัญญาที่จะได้รับชำระหนี้ คือการเข้าอยู่ในตึกเช่ารายพิพาทได้ (อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 888/2511)
ข้อที่จำเลยอ้างว่าโจทก์สัญญาจะโอนสิทธิการเช่าให้จำเลยด้วยวาจานั้น ไม่มีผลในกฎหมายที่จะผูกพันบังคับกันได้
โจทก์ฎีกาเกี่ยวกับค่าเสียหายมาด้วย แต่ไม่มีคำขอให้ใช้ค่าเสียหาย ศาลฎีกาย่อมไม่พิพากษาให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์
ข้อที่จำเลยอ้างว่าโจทก์สัญญาจะโอนสิทธิการเช่าให้จำเลยด้วยวาจานั้น ไม่มีผลในกฎหมายที่จะผูกพันบังคับกันได้
โจทก์ฎีกาเกี่ยวกับค่าเสียหายมาด้วย แต่ไม่มีคำขอให้ใช้ค่าเสียหาย ศาลฎีกาย่อมไม่พิพากษาให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 221/2516 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิการเช่าเป็นสิทธิเฉพาะตัว โอนสิทธิการเช่าต้องมีข้อตกลง/ยินยอมจากผู้ให้เช่า บุคคลภายนอกแม้เป็นญาติก็ไม่มีสิทธิ
สิทธิการเช่าเป็นสิทธิเฉพาะตัวของผู้เช่าเท่านั้น จะโอนจะแบ่งตามกฎหมายครอบครัวหรือมรดกหรือตามนิติกรรมก็ดี ถ้าไม่มีข้อตกลงกันไว้ในสัญญาเช่า หรือมิได้รับความยินยอมจากผู้ให้เช่าแล้วจะโอนจะแบ่งไปยังบุคคลภายนอกแม้จะเป็นสามีภริยาหรือแม้แต่ทายาทของผู้เช่าหาได้ไม่หรือนัยหนึ่งสิทธิการเช่าเป็นสิทธิตามสัญญาซึ่งคนอื่นนอกจากคู่สัญญาเช่าจะเข้าไปมีสิทธิตามสัญญาด้วยไม่ได้ เมื่อโจทก์เป็นผู้เช่าตึกพิพาทตามสัญญาเช่าแต่ผู้เดียว จำเลยไม่ใช่คู่สัญญาด้วย. ย่อมไม่อาจอ้างได้ว่าจำเลยมีสิทธิตามสัญญาที่จะได้รับชำระหนี้ คือการเข้าอยู่ในตึกเช่ารายพิพาทได้ (อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 888/2511)
ข้อที่จำเลยอ้างว่าโจทก์สัญญาจะโอนสิทธิการเช่าให้จำเลยด้วยวาจานั้น ไม่มีผลในกฎหมายที่จะผูกพันบังคับกันได้
โจทก์ฎีกาเกี่ยวกับค่าเสียหายมาด้วย แต่ไม่มีคำขอให้ใช้ค่าเสียหายศาลฎีกาย่อมไม่พิพากษาให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์
ข้อที่จำเลยอ้างว่าโจทก์สัญญาจะโอนสิทธิการเช่าให้จำเลยด้วยวาจานั้น ไม่มีผลในกฎหมายที่จะผูกพันบังคับกันได้
โจทก์ฎีกาเกี่ยวกับค่าเสียหายมาด้วย แต่ไม่มีคำขอให้ใช้ค่าเสียหายศาลฎีกาย่อมไม่พิพากษาให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 211/2516 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การครอบครองไม้หวงห้ามโดยไม่ได้รับอนุญาต และการใช้ยานพาหนะเป็นอุปกรณ์ในการกระทำผิด ทำให้ต้องริบรถยนต์
ไม้ของกลางเป็นไม้หวงห้ามที่ยังไม่ได้แปรรูปและไม่มีรอยตราค่าภาคหลวงประทับไว้ จำเลยรู้อยู่แล้วว่ามีผู้ตัดฟันโดยไม่ชอบ ยังนำมาไว้ในความครอบครองของจำเลย อันเป็นความผิดฐานเป็นตัวการในการกระทำความผิดตามมาตรา11, 69, 70, 73แห่งพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ.2484 เมื่อจำเลยมีไม้หวงห้ามดังกล่าวไว้โดยมิได้รับอนุญาต ด้วยการใช้รถยนต์ของกลางบรรทุกไม้ดังกล่าวมา อันเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ.2484 มาตรา 69ย่อมเป็นการใช้รถยนต์ของกลางเป็นอุปกรณ์เพื่อให้ได้รับผลในการกระทำความผิดตามมาตรา 69 และมาตรา 74 ทวิ โดยตรงอยู่แล้ว จึงต้องริบรถยนต์ของกลาง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 211/2516
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การครอบครองไม้หวงห้ามโดยไม่ได้รับอนุญาต และการใช้ยานพาหนะในการกระทำความผิด ทำให้ต้องริบยานพาหนะ
ไม้ของกลางเป็นไม้หวงห้ามที่ยังไม่ได้แปรรูปและไม่มีรอยตราค่าภาคหลวงประทับไว้ จำเลยรู้อยู่แล้วว่ามีผู้ตัดฟันโดยไม่ชอบ ยังนำมาไว้ในความครอบครองของจำเลยอันเป็นความผิดฐานเป็นตัวการในการกระทำความผิดตามมาตรา11,69,70,73 แห่งพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ.2484 เมื่อจำเลยมีไม้หวงห้ามดังกล่าวไว้โดยมิได้รับอนุญาต ด้วยการใช้รถยนต์ของกลางบรรทุกไม้ดังกล่าวมา อันเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ.2484 มาตรา 69 ย่อมเป็นการใช้รถยนต์ของกลางเป็นอุปกรณ์เพื่อให้ได้รับผลในการกระทำความผิดตามมาตรา 69 และมาตรา 74 ทวิ โดยตรงอยู่แล้ว จึงต้องริบรถยนต์ของกลาง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 198/2516 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การปฏิเสธหนี้เฉพาะยอดเงิน ถือเป็นการยอมรับหนี้โดยรวม โจทก์พิสูจน์ยอดหนี้ได้ ศาลตัดสินให้ใช้คืน
โจทก์บรรยายฟ้องว่า ห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคลไทยถาวรพานิชได้เบิกเงินจากโจทก์ตามสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชี เป็นเงิน 317,789.14 บาทจำเลยให้การปฏิเสธ ต่อสู้ว่ายอดเงินที่อ้างว่าห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคลไทยถาวรพานิชเป็นหนี้โจทก์เป็นเงิน 317,789.14 บาทนั้น ไม่เป็นความจริงคำให้การ เช่นนี้เป็นการปฏิเสธเฉพาะยอดเงินกู้ ส่วนห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลไทยถาวรพานิชจะได้เบิกเงินเกินบัญชีจากธนาคารโจทก์หรือเป็นหนี้โจทก์ดังคำบรรยายฟ้องหรือไม่ จำเลยมิได้ปฏิเสธโดยแจ้งชัดต้องถือว่าจำเลยรับถึงความข้อนี้ สำหรับยอดเงินที่จำเลยปฏิเสธอ้างว่าไม่เป็นความจริงนั้น จำเลยให้การปฏิเสธลอย ๆ มิได้อ้างเหตุว่าความจริงเป็นอย่างไรและยอดเงินมีจำนวนมากน้อยเท่าใด เป็นคำให้การที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 วรรค 2 คำให้การจำเลยจึงไม่มีประเด็นที่จะ นำสืบตามข้อต่อสู้ถึงยอดเงินว่าเท็จจริงอย่างไร
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 198/2516
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การปฏิเสธยอดหนี้โดยไม่ให้เหตุผลถือเป็นการยอมรับหนี้ตามคำฟ้อง และคำให้การปฏิเสธลอยๆ ไม่ชอบตามกฎหมาย
โจทก์บรรยายฟ้องว่า ห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคลไทยถาวรพานิชได้เบิกเงินจากโจทก์ตามสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชี เป็นเงิน 317,789.14 บาทจำเลยให้การปฏิเสธ ต่อสู้ว่ายอดเงินที่อ้างว่าห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคลไทยถาวรพานิชเป็นหนี้โจทก์เป็นเงิน 317,789.14 บาทนั้น ไม่เป็นความจริงคำให้การเช่นนี้เป็นการปฏิเสธเฉพาะยอดเงินกู้ ส่วนห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลไทยถาวรพานิชจะได้เบิกเงินเกินบัญชีจากธนาคารโจทก์หรือเป็นหนี้โจทก์ดังคำบรรยายฟ้องหรือไม่ จำเลยมิได้ปฏิเสธโดยแจ้งชัดต้องถือว่าจำเลยรับถึงความข้อนี้ สำหรับยอดเงินที่จำเลยปฏิเสธอ้างว่าไม่เป็นความจริงนั้น จำเลยให้การปฏิเสธลอย ๆ มิได้อ้างเหตุว่าความจริงเป็นอย่างไรและยอดเงินมีจำนวนมากน้อยเท่าใด เป็นคำให้การที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 วรรคสองคำให้การจำเลยจึงไม่มีประเด็นที่จะ นำสืบตามข้อต่อสู้ถึงยอดเงินว่าเท็จจริงอย่างไร
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 192/2516 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การวินิจฉัยค่าทดแทนจากอุบัติเหตุทางแรงงาน: ผลผูกพันสัญญาประนีประนอม และกรอบเวลาอุทธรณ์
นายอำเภอ เจ้าหน้าที่พิจารณาวินิจฉัยเงินค่าทดแทนตามประกาศกระทรวงมหาดไทยฯ ซึ่งออกตามความในประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 19 ได้วินิจฉัยให้จำเลยซึ่งเป็นนายจ้างของผู้ตายจ่ายเงินค่าทดแทนและค่าทำศพแก่โจทก์ซึ่งเป็นภริยาผู้อยู่ในอุปการะของผู้ตาย จำเลยอุทธรณ์ต่อผู้ว่าราชการจังหวัดเจ้าหน้าที่ซึ่งกระทรวงมหาดไทยมอบหมาย ว่านายอำเภอไม่มีสิทธิวินิจฉัยให้จำเลยจ่ายเงินรายนี้ เพราะโจทก์ได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความ และรับเงินค่าทดแทนไปจากจำเลยแล้วผู้ว่าราชการจังหวัดย่อมมีสิทธิวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยข้อนี้ได้เพราะเป็นการวินิจฉัยว่าจำเลยจะต้องจ่ายเงินค่าทดแทนหรือไม่ต้องจ่ายนั่นเอง หาเป็นการวินิจฉัยนอกเหนืออำนาจไม่
ผู้ว่าราชการจังหวัดวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยว่า เหตุที่ผู้ตายถึงแก่ความตายเพราะเกิดระเบิดเป็นอุบัติเหตุ และสัญญาประนีประนอมยอมความระหว่างโจทก์จำเลยเป็นโมฆะจำเลยไม่นำคดีมาสู่ศาลภายในสามสิบวันนับแต่วันรับคำวินิจฉัยอุทธรณ์ ตามประกาศกระทรวงมหาดไทยเรื่องหลักเกณฑ์และวิธีการจ่ายเงินค่าทดแทนฯ ข้อ 14 ต้องถือว่าเรื่องเป็นอันยุติตามคำวินิจฉัยของเจ้าหน้าที่ เมื่อโจทก์มาฟ้องขอให้บังคับจำเลยจ่ายเงินค่าทดแทนนั้น จำเลยจะโต้แย้งอีกว่า เหตุเกิดเพราะความประมาทของผู้ตาย และสัญญาประนีประนอมยอมความมีผลบังคับใช้ได้ หาได้ไม่
โจทก์ได้รับเงินค่าทดแทนไปจากจำเลยจำนวนหนึ่งตามสัญญาประนีประนอมยอมความ แม้ผู้ว่าราชการจังหวัดจะวินิจฉัยว่าสัญญานั้นเป็นโมฆะ และจำเลยจะโต้แย้งในชั้นศาลอีกมิได้แต่เงินค่าทดแทนที่โจทก์ได้รับไปแล้วก็ชอบที่จะหักออกจากเงินที่จำเลยจะต้องจ่ายให้โจทก์ได้
(วรรคสองวินิจฉัยโดยที่ประชุมใหญ่ครั้งที่ 22/2515)
ผู้ว่าราชการจังหวัดวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยว่า เหตุที่ผู้ตายถึงแก่ความตายเพราะเกิดระเบิดเป็นอุบัติเหตุ และสัญญาประนีประนอมยอมความระหว่างโจทก์จำเลยเป็นโมฆะจำเลยไม่นำคดีมาสู่ศาลภายในสามสิบวันนับแต่วันรับคำวินิจฉัยอุทธรณ์ ตามประกาศกระทรวงมหาดไทยเรื่องหลักเกณฑ์และวิธีการจ่ายเงินค่าทดแทนฯ ข้อ 14 ต้องถือว่าเรื่องเป็นอันยุติตามคำวินิจฉัยของเจ้าหน้าที่ เมื่อโจทก์มาฟ้องขอให้บังคับจำเลยจ่ายเงินค่าทดแทนนั้น จำเลยจะโต้แย้งอีกว่า เหตุเกิดเพราะความประมาทของผู้ตาย และสัญญาประนีประนอมยอมความมีผลบังคับใช้ได้ หาได้ไม่
โจทก์ได้รับเงินค่าทดแทนไปจากจำเลยจำนวนหนึ่งตามสัญญาประนีประนอมยอมความ แม้ผู้ว่าราชการจังหวัดจะวินิจฉัยว่าสัญญานั้นเป็นโมฆะ และจำเลยจะโต้แย้งในชั้นศาลอีกมิได้แต่เงินค่าทดแทนที่โจทก์ได้รับไปแล้วก็ชอบที่จะหักออกจากเงินที่จำเลยจะต้องจ่ายให้โจทก์ได้
(วรรคสองวินิจฉัยโดยที่ประชุมใหญ่ครั้งที่ 22/2515)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 192/2516
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เงินค่าทดแทนจากอุบัติเหตุร้ายแรง: สิทธิพิเศษตามประกาศ คปต., การระงับข้อพิพาท, และการหักเงินที่ได้รับไปแล้ว
นายอำเภอ เจ้าหน้าที่พิจารณาวินิจฉัยเงินค่าทดแทนตามประกาศกระทรวงมหาดไทยฯ ซึ่งออกตามความในประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 19 ได้วินิจฉัยให้จำเลยซึ่งเป็นนายจ้างของผู้ตาย จ่ายเงินค่าทดแทนและค่าทำศพแก่โจทก์ซึ่งเป็นภริยาผู้อยู่ในอุปการะของผู้ตาย จำเลยอุทธรณ์ต่อผู้ว่าราชการจังหวัดเจ้าหน้าที่ซึ่งกระทรวงมหาดไทยมอบหมาย ว่านายอำเภอไม่มีสิทธิวินิจฉัยให้จำเลยจ่ายเงินรายนี้ เพราะโจทก์ได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความ และรับเงินค่าทดแทนไปจากจำเลยแล้ว ผู้ว่าราชการจังหวัดย่อมมีสิทธิวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยข้อนี้ได้ เพราะเป็นการวินิจฉัยว่าจำเลยจะต้องจ่ายเงินค่าทดแทน หรือไม่ต้องจ่ายนั่นเอง หาเป็นการวินิจฉัยนอกเหนืออำนาจไม่
ผู้ว่าราชการจังหวัดวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยว่า เหตุที่ผู้ตายถึงแก่ความตายเพราะเกิดระเบิดเป็นอุบัติเหตุ และสัญญาประนีประนอมยอมความระหว่างโจทก์จำเลยเป็นโมฆะ จำเลยไม่นำคดีมาสู่ศาลภายในสามสิบวันนับแต่วันรับคำวินิจฉัยอุทธรณ์ ตามประกาศกระทรวงมหาดไทยเรื่องหลักเกณฑ์และวิธีการจ่ายเงินค่าทดแทนฯ ข้อ 14 ต้องถือว่าเรื่องเป็นอันยุติตามคำวินิจฉัยของเจ้าหน้าที่ เมื่อโจทก์มาฟ้องขอให้บังคับจำเลยจ่ายเงินค่าทดแทนนั้น จำเลยจะโต้แย้งอีกว่า เหตุเกิดเพราะความประมาทของผู้ตาย และสัญญาประนีประนอมยอมความมีผลบังคับใช้ได้ หาได้ไม่
โจทก์ได้รับเงินค่าทดแทนไปจากจำเลยจำนวนหนึ่งตามสัญญาประนีประนอมยอมความ แม้ผู้ว่าราชการจังหวัดจะวินิจฉัยว่าสัญญานั้นเป็นโมฆะ และจำเลยจะโต้แย้งในชั้นศาลอีกมิได้แต่เงินค่าทดแทนที่โจทก์ได้รับไปแล้วก็ชอบที่จะหักออกจากเงินที่จำเลยจะต้องจ่ายให้โจทก์ได้
(วรรคสองวินิจฉัยโดยที่ประชุมใหญ่ครั้งที่ 22/2515)
ผู้ว่าราชการจังหวัดวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยว่า เหตุที่ผู้ตายถึงแก่ความตายเพราะเกิดระเบิดเป็นอุบัติเหตุ และสัญญาประนีประนอมยอมความระหว่างโจทก์จำเลยเป็นโมฆะ จำเลยไม่นำคดีมาสู่ศาลภายในสามสิบวันนับแต่วันรับคำวินิจฉัยอุทธรณ์ ตามประกาศกระทรวงมหาดไทยเรื่องหลักเกณฑ์และวิธีการจ่ายเงินค่าทดแทนฯ ข้อ 14 ต้องถือว่าเรื่องเป็นอันยุติตามคำวินิจฉัยของเจ้าหน้าที่ เมื่อโจทก์มาฟ้องขอให้บังคับจำเลยจ่ายเงินค่าทดแทนนั้น จำเลยจะโต้แย้งอีกว่า เหตุเกิดเพราะความประมาทของผู้ตาย และสัญญาประนีประนอมยอมความมีผลบังคับใช้ได้ หาได้ไม่
โจทก์ได้รับเงินค่าทดแทนไปจากจำเลยจำนวนหนึ่งตามสัญญาประนีประนอมยอมความ แม้ผู้ว่าราชการจังหวัดจะวินิจฉัยว่าสัญญานั้นเป็นโมฆะ และจำเลยจะโต้แย้งในชั้นศาลอีกมิได้แต่เงินค่าทดแทนที่โจทก์ได้รับไปแล้วก็ชอบที่จะหักออกจากเงินที่จำเลยจะต้องจ่ายให้โจทก์ได้
(วรรคสองวินิจฉัยโดยที่ประชุมใหญ่ครั้งที่ 22/2515)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 144/2516 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การยึดทรัพย์บังคับคดีเกินความจำเป็น: พิจารณาเจตนาจำเลยและโอกาสคัดค้าน
ทรัพย์ที่โจทก์ขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดียึดมี 4 รายการแต่ละรายการราคา 80,000 บาท (หนี้จำเลยจะต้องชำระ 21,779.80 บาท)แต่โจทก์นำยึดบ้านเพียงรายการเดียว ซึ่งเป็นทรัพย์ที่จะนำยึดบางส่วนไม่ได้ทั้งเป็นบ้านที่จำเลยนำไปประกันสัญญาเงินยืมที่จำเลยทำไว้กับโจทก์จำเลยตีราคา 100,000 บาท อันเป็นการแสดงเจตนาของจำเลยที่จะให้โจทก์บังคับเอากับทรัพย์ของจำเลยดังกล่าว หากจำเลยผิดสัญญาและขณะเจ้าพนักงานบังคับคดีไปยึดบ้านหลังนี้จำเลยก็อยู่และได้ลงชื่อรับทราบการยึด แต่จำเลยก็มิได้คัดค้านหรือชี้แจง ให้โจทก์หรือเจ้าพนักงานบังคับคดีทราบว่าจำเลยยังมีทรัพย์สินอื่นๆ อะไรบ้างที่มีราคาพอแก่จำนวนหนี้ตามคำพิพากษา ดังนี้ ยังถือไม่ได้ว่าโจทก์ยึดทรัพย์สินของจำเลยเกินกว่าที่จำเป็นแก่การบังคับคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 284
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 144/2516
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การยึดทรัพย์บังคับคดีเกินจำเป็น: พิจารณาเจตนาจำเลยและการไม่คัดค้านการยึด
ทรัพย์ที่โจทก์ขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดียึดมี 4 รายการแต่ละรายการราคา 80,000 บาท (หนี้จำเลยจะต้องชำระ 21,779.80 บาท) แต่โจทก์นำยึดบ้านเพียงรายการเดียว ซึ่งเป็นทรัพย์ที่จะนำยึดบางส่วนไม่ได้ทั้งเป็นบ้านที่จำเลยนำไปประกันสัญญาเงินยืมที่จำเลยทำไว้กับโจทก์จำเลยตีราคา 100,000 บาท อันเป็นการแสดงเจตนาของจำเลยที่จะให้โจทก์บังคับเอากับทรัพย์ของจำเลยดังกล่าว หากจำเลยผิดสัญญาและขณะเจ้าพนักงานบังคับคดีไปยึดบ้านหลังนี้จำเลยก็อยู่และได้ลงชื่อรับทราบการยึด แต่จำเลยก็มิได้คัดค้านหรือชี้แจง ให้โจทก์หรือเจ้าพนักงานบังคับคดีทราบว่าจำเลยยังมีทรัพย์สินอื่นๆ อะไรบ้างที่มีราคาพอแก่จำนวนหนี้ตามคำพิพากษา ดังนี้ ยังถือไม่ได้ว่าโจทก์ยึดทรัพย์สินของจำเลยเกินกว่าที่จำเป็นแก่การบังคับคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 284