คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ.2497 ม. 3

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 771 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 672/2519 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การข่มขู่ให้สั่งจ่ายเช็คเพื่อผ่อนหนี้ไม่ทำให้เช็คตกเป็นโมฆียะ หากเป็นการใช้สิทธิตามกฎหมาย
โจทก์ขู่จำเลยว่าจะให้เจ้าพนักงานดำเนินคดีกับจำเลยตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คฯ เพราะธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คที่จำเลยสั่งจ่ายชำระหนี้แก่โจทก์ จำเลยจึงยอมสั่งจ่ายเช็คใหม่จำนวนเงินเกินกว่าหนี้เดิมให้โจทก์ ดังนี้ หาใช่เป็นการข่มขู่อันเป็นเหตุให้นิติกรรมตกเป็นโมฆียะไม่ เพราะเป็นการขู่จะใช้สิทธิตามกฎหมายโดยชอบ การที่จำเลยสั่งจ่ายเช็คจำนวนเงินเกินกว่าหนี้เดิมเพื่อแลกเช็คที่ถูกธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินคืนจากโจทก์ และเพื่อระงับเรื่องโจทก์จะดำเนินคดีกับจำเลย จึงเป็นการยอมความกันในคดีอาญา เรื่องเช็คนั้นใช้บังคับกันได้ ไม่ขัดต่อกฎหมาย จำเลยต้องรับผิดต่อโจทก์ตามเช็คที่สั่งจ่ายใหม่เต็มจำนวน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 672/2519

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การข่มขู่เพื่อบังคับให้สั่งจ่ายเช็คไม่ทำให้สัญญาเป็นโมฆียะ หากเป็นการใช้สิทธิทางกฎหมายชอบธรรม และมีการยอมความกัน
โจทก์ขู่จำเลยว่าจะให้เจ้าพนักงานดำเนินคดีกับจำเลยตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คฯ เพราะธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คที่จำเลยสั่งจ่ายชำระหนี้แก่โจทก์ จำเลยจึงยอมสั่งจ่ายเช็คใหม่จำนวนเงินเกินกว่าหนี้เดิมให้โจทก์ ดังนี้ หาใช่เป็นการข่มขู่อันเป็นเหตุให้นิติกรรมตกเป็นโมฆียะไม่ เพราะเป็นการขู่จะใช้สิทธิตามกฎหมายโดยชอบ การที่จำเลยยอมสั่งจ่ายเช็คจำนวนเงินเกินกว่าหนี้เดิมเพื่อแลกเช็คฉบับที่ถูกธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินคืนจากโจทก์ และเพื่อระงับเรื่องโจทก์จะดำเนินคดีกับจำเลย จึงเป็นการยอมความกันในคดีอาญาเรื่องเช็คนั้นใช้บังคับกันได้ ไม่ขัดต่อกฎหมาย จำเลยต้องรับผิดต่อโจทก์ตามเช็คที่สั่งจ่ายใหม่เต็มจำนวน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 595/2519 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความถูกต้องของฟ้องอาญาและการไต่สวนมูลฟ้อง: การอ้างมาตรากฎหมายและอำนาจศาล
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158 (6) บัญญัติไว้เพียงว่า ฟ้องจะต้องอ้างมาตราในกฎหมายซึ่งบัญญัติว่าการกระทำเช่นนั้นเป็นความผิด แต่ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 หาใช่บทมาตราที่ว่าการกระทำอย่างใดเป็นความผิดทางอาญาไม่ หากแต่เป็นบทมาตราที่ใช้แก่ความผิดโดยทั่วๆ ไปว่า เมื่อมีความผิดโดยการกระทำร่วมกันของบุคคลตั้งแต่สองคนขึ้นไปเกิดขึ้น ศาลจะต้องวางโทษแก่บุคคลเหล่านั้นอย่างไร ฉะนั้น ฟ้องโจทก์ที่บรรยายไว้แล้วว่าจำเลยทั้งสามได้สมคบกันสั่งจ่ายเช็ค เพียงแต่ไม่ได้ระบุประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 ลงไว้ด้วย จึงยังถือไม่ได้ว่าเป็นฟ้องที่ขัดต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158 (6)
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 162 (1) บัญญัติว่า ถ้าฟ้องถูกต้องตามกฎหมายแล้ว ให้ศาลจัดการสั่งให้ไต่สวนมูลฟ้อง จึงเป็นหน้าที่ของศาลเองโดยตรงที่จะจัดการสั่งให้มีการไต่สวนมูลฟ้องขึ้นเสียก่อนที่จะประทับฟ้องไว้พิจารณา ดังนั้น ในกรณีที่ราษฎรเป็นโจทก์ฟ้องคดีอาญา แม้โจทก์มิได้ขอให้ศาลไต่สวนมูลฟ้องมาด้วย ศาลก็ย่อมสั่งและดำเนินการไต่สวนมูลฟ้องไปตามกฎหมายได้ หาใช่เป็นการสั่งเกินคำขอของโจทก์ไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2621/2518 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ผู้ทรงเช็คที่แท้จริงและการมีอำนาจฟ้องคดีเช็ค - บุตรช่วยค้าขายไม่ใช่ผู้เสียหาย
ส. เป็นบุตร จ. ช่วย จ. ค้าขายอยู่ในร้าน จำเลยออกเช็คจ่ายเงินสดชำระหนี้ให้แก่ร้าน ขณะที่จำเลยนำเช็คมาชำระหนี้นั้น จ. และ ส. อยู่พร้อมหน้ากัน จำเลยมอบเช็คให้ ส. แต่ก่อนที่ ส. จะรับเช็คไว้ ส. ได้ให้ จ. ตรวจดูเช็คนั้นแล้ว ต่อมาเมื่อเช็คถึงกำหนดจ่ายเงิน ส. ได้ใช้ให้คนนำเช็คไปเบิกเงินและธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน ดังนี้ถือได้ว่า จ. เจ้าของร้านผู้เป็นเจ้าหนี้เป็นผู้ทรงเช็ค ส. เป็นเพียงผู้เก็บรักษาเช็คไว้แทน จ. เท่านั้น ส. ไม่ใช่ผู้ทรงเช็ค ส. ก็ไม่ใช่ผู้เสียหาย การที่ ส. ไปร้องทุกข์เป็นผู้เสียหายเสียเองจึงไม่ชอบ และพนักงานอัยการไม่มีอำนาจฟ้อง
(ประชุมใหญ่ครั้งที่ 19/2518)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2621/2518

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ผู้ทรงเช็คที่แท้จริง: การกำหนดตัวผู้เสียหายในคดีเช็ค และอำนาจฟ้อง
ส. เป็นบุตร จ. ช่วย จ. ค้าขายอยู่ในร้าน จำเลยออกเช็คสั่งจ่ายเงินสดชำระหนี้ให้แก่ร้าน ขณะที่จำเลยนำเช็คมาชำระหนี้นั้น จ. และ ส.อยู่พร้อมหน้ากันจำเลยมอบเช็คให้ส.แต่ก่อนที่ส. จะรับเช็คไว้ ส. ได้ให้จ. ตรวจดูเช็คนั้นแล้ว ต่อมาเมื่อเช็คถึงกำหนดจ่ายเงิน ส. ได้ใช้ให้คนนำเช็คไปเบิกเงินและธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน ดังนี้ถือได้ว่า จ. เจ้าของร้านผู้เป็นเจ้าหนี้เป็นผู้ทรงเช็ค ส. เป็นเพียงผู้เก็บรักษาเช็คไว้แทน จ. เท่านั้น เมื่อ ส. ไม่ใช่ผู้ทรงเช็คส.ก็ไม่ใช่ผู้เสียหายการที่ส. ไปร้องทุกข์เป็นผู้เสียหายเสียเองจึงไม่ชอบ และพนักงานอัยการไม่มีอำนาจฟ้อง (ประชุมใหญ่ครั้งที่ 19/2518)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2410/2518

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การแจ้งความเพื่อเป็นหลักฐาน มิใช่คำร้องทุกข์คดีอาญา อายุความจึงยังไม่เริ่มนับ
โจทก์แจ้งความต่อพนักงานสอบสวนว่า อ.(จำเลย)ออกเช็คให้ผู้แจ้ง ธนาคารเรียกเก็บเงินไม่ได้ ผู้แจ้งได้รับความเสียหาย ได้ติดต่อ อ. แล้วไม่พบ ในชั้นนี้ผู้แจ้งเพียงแต่มาแจ้งให้เจ้าพนักงานตำรวจทราบไว้เป็นหลักฐานชั้นหนึ่งก่อน หากติดตาม อ. ได้เมื่อใด ผู้แจ้งจะนำเช็คของกลางมามอบให้พนักงานสอบสวนดำเนินคดีกับ อ. ในภายหลัง. ดังนี้ ข้อความที่โจทก์แจ้งดังกล่าวมีเจตนาเพียงมาแจ้งให้เจ้าพนักงานตำรวจรับทราบไว้เป็นหลักฐานว่า จำเลยออกเช็คชำระหนี้เช็คเรียกเก็บเงินไม่ได้ เพราะบัญชีของผู้สั่งจ่ายปิดแล้วเท่านั้น ขณะแจ้งผู้แจ้งไม่มีเจตนาให้พนักงานสอบสวนทำการสอบสวนดำเนินคดีกับ อ. ต่อไปประการใดไม่มีข้อความหรือพฤติการณ์ในขณะที่แจ้งความว่ามีเจตนาจะให้จำเลยได้รับโทษ ส่วนข้อความที่ว่าหากติดตาม อ.ได้เมื่อใดผู้แจ้งจะนำเช็คของกลางมามอบให้พนักงานสอบสวนดำเนินคดีในภายหลัง ก็เป็นเรื่องในอนาคตที่ไม่แน่นอน ไม่เป็นข้อบ่งว่าขณะแจ้งความนั้น ผู้แจ้งมีเจตนาจะให้จำเลยได้รับโทษ ข้อความที่แจ้งจึงไม่ใช่คำร้องทุกข์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 2(7)(ประชุมใหญ่ครั้งที่ 17/2518)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2410/2518 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การแจ้งความเพื่อเป็นหลักฐาน ไม่ถือเป็นคำร้องทุกข์ตามกฎหมาย หากไม่มีเจตนาให้ดำเนินคดี
โจทก์แจ้งความต่อพนักงานสอบสวนว่า อ.(จำเลย) ออกเช็คให้ผู้แจ้ง ธนาคารเรียกเก็บเงินไม่ได้ ผู้แจ้งได้รับความเสียหาย ได้ติดต่อ อ.แล้วไม่พบ ในชั้นนี้ผู้แจ้งเพียงแต่มาแจ้งให้เจ้าพนักงานตำรวจทราบไว้เป็นหลักฐานชั้นหนึ่งก่อน หากติดตาม อ.ได้เมื่อใด ผู้แจ้งจะนำเช็คของกลางมามอบให้พนักงานสอบสวนดำเนินคดีกับ อ.ในภายหลัง ดังนี้ ข้อความที่โจทก์แจ้งดังกล่าวมีเจตนาเพียงมาแจ้งให้เจ้าพนักงานตำรวจรับทราบไว้เป็นหลักฐานว่า จำเลยออกเช็คชำระหนี้เช็คเรียกเก็บเงินไม่ได้ เพราะบัญชีของผู้สั่งจ่ายปิดแล้วเท่านั้น ขณะแจ้งผู้แจ้งไม่มีเจตนาให้พนักงานสอบสวนทำการสอบสวนดำเนินคดีกับ อ.ต่อไปประการใด ไม่มีข้อความหรือพฤติการณ์ ในขณะที่แจ้งความว่ามีเจตนาจะให้จำเลยได้รับโทษ ส่วนข้อความที่ว่าหากติดตาม อ.ได้เมื่อใด ผู้แจ้งจะนำเช็คของกลางมามอบให้พนักงานสอบสวนดำเนินคดีในภายหลัง ก็เป็นเรื่องในอนาคตที่ไม่แน่นอน ไม่เป็นข้อบ่งว่าขณะแจ้งความนั้น ผู้แจ้งมีเจตนาจะให้จำเลยได้รับโทษ ข้อความที่แจ้งจึงไม่ใช่คำร้องทุกข์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 2(7)
(ประชุมใหญ่ครั้งที่ 17/2518)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2409/2518

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การแจ้งความเพื่อกันเช็คขาดอายุความ ไม่ถือเป็นคำร้องทุกข์ตามกฎหมายอาญา
การแจ้งความต่อพนักงานสอบสวนเรื่องจำเลยออกเช็คโดยเจตนาไม่ให้มีการใช้เงินตามเช็คว่า ผู้แจ้งเกรงว่าเช็คฉบับดังกล่าวจะขาดอายุความจึงมาแจ้งให้เจ้าพนักงานตำรวจทราบเพื่อกันเช็คขาดอายุความ ผู้แจ้งยังไม่ประสงค์จะร้องทุกข์มอบคดีต่อพนักงานสอบสวนแต่อย่างใดโดยผู้แจ้งจะไปติดต่อด้วยตนเองอีกครั้งหนึ่งก่อน หากไม่ได้ผลจะมาร้องทุกข์อีกครั้งในภายหลัง ดังนี้ ถือไม่ได้ว่าเป็นการร้องทุกข์ตามกฎหมาย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2409/2518 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การแจ้งความเพื่อกันคดีขาดอายุความ ไม่ถือเป็นคำร้องทุกข์ตามกฎหมายอาญา
การแจ้งความต่อหนักงานสอบสวนเรื่องจำเลยออกเช็คโดยเจตนาไม่ให้มีการใช้เงินตามเช็คว่า ผู้แจ้งเกรงว่าเช็คฉบับดังกล่าวจะขาดอายุความจึงมาแจ้งให้เจ้าพนกังานตำรวจทราบเพื่อกันเช็คขาดอายุความ ผู้แจ้งยังไม่ประสงค์จะร้องทุกข์มอบคดีต่อพนักงานสอบสวนแต่อย่างได โดยผู้แจ้งจะไปติดต่อด้วยตนเองอีกครั้งหนึ่งก่อน หากไม่ได้ผลจะมาร้องทุกข์อีกครั้งในภายหลัง ดังนี้ ถือไม่ได้ว่าเป็นการร้องทุกข์ตามกฎหมาย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1085-1088/2518

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ผู้รับเช็คคือผู้เสียหายตาม พ.ร.บ.เช็ค แม้จะได้รับชำระหนี้แล้ว โจทก์ไม่ใช่ผู้เสียหาย
จำเลยออกเช็ค 4 ฉบับ สั่งจ่ายเงินให้แก่ผู้ถือนำมาแลกเงินสดไปจากโจทก์โจทก์ได้รับแล้วเอาเช็คเหล่านั้นชำระหนี้ให้แก่ อ. และ ล.เมื่อถึงกำหนดสั่งจ่ายบุคคลทั้งสองเอาเช็คเข้าบัญชีของตน แต่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินจึงเอาเช็คมาคืนให้โจทก์และโจทก์ได้ชำระเงินให้บุคคลทั้งสองไป ดังนี้ เช็คทั้ง 4 ฉบับเป็นเช็คที่ออกให้แก่ผู้ถือย่อมโอนไปเพียงด้วยส่งมอบให้กัน อ. และ ส. ได้รับเช็คทั้ง 4 ฉบับไว้จากโจทก์เป็นการชำระหนี้ อ. และ ล. จึงเป็นผู้ถือนับว่าเป็นผู้ทรงเช็คโดยชอบด้วยกฎหมาย ความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คฯเกิดเป็นความผิดขึ้นในวันที่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินซึ่งในวันนั้น อ. และ ล. จึงเป็นผู้เสียหายไม่ใช่โจทก์แม้เช็คทั้ง 4 ฉบับได้กลับมาอยู่ในความครอบครองของโจทก์ภายหลังที่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน โจทก์ก็เป็นผู้ถือหรือเป็นผู้ทรงภายหลังความผิดได้เกิดขึ้นแล้วการที่โจทก์จ่ายเงินชำระหนี้ให้ อ. และ ล. ไปจะถือเป็นการจ่ายเงินตามเช็คทั้ง 4 ฉบับหาได้ไม่ จึงถือว่าโจทก์เป็นผู้เสียหายในความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คฯไม่ได้(ประชุมใหญ่ครั้งที่ 6/2518)
of 78