พบผลลัพธ์ทั้งหมด 283 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1742/2511 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิรับมรดกของบุตรนอกกฎหมายที่บิดารับรอง และการใช้สิทธิทางศาลโดยคำร้องฝ่ายเดียว
การใช้สิทธิทางศาลโดยยื่นคำร้องฝ่ายเดียว เพื่อขอให้ศาลมีคำสั่งอย่างใดอย่างหนึ่งนั้น ต้องเป็นกรณีที่มีกฎหมายบัญญัติไว้ให้ทำเช่นนั้นได้ มิใช่ว่าจะยื่นคำร้องฝ่ายเดียวได้ทุกกรณีไป
บุตรนอกกฎหมายที่บิดารับรองแล้ว ย่อมมีสิทธิได้รับมรดกของบิดาผู้วายชนม์ตามกฎหมายโดยชอบแล้ว จึงไม่มีบทกฎหมายบัญญัติให้ต้องมายื่นคำร้องเพื่อให้ศาลมีคำสั่งว่าเป็นผู้มีสิทธิรับมรดกของบิดาผู้วายชนม์อีก
กฎกระทรวงมหาดไทย ฉบับที่ 7 พ.ศ.2497 ข้อ 8(1) เป็นเรื่องการได้มาซึ่งกรรมสิทธิ์ที่ดินที่มีโฉนดแล้วโดยการครอบครองด้วยอำนาจปรปักษ์ หาได้บัญญัติถึงสิทธิครอบครองในที่ดินมือเปล่าไม่
บุตรนอกกฎหมายที่บิดารับรองแล้ว ย่อมมีสิทธิได้รับมรดกของบิดาผู้วายชนม์ตามกฎหมายโดยชอบแล้ว จึงไม่มีบทกฎหมายบัญญัติให้ต้องมายื่นคำร้องเพื่อให้ศาลมีคำสั่งว่าเป็นผู้มีสิทธิรับมรดกของบิดาผู้วายชนม์อีก
กฎกระทรวงมหาดไทย ฉบับที่ 7 พ.ศ.2497 ข้อ 8(1) เป็นเรื่องการได้มาซึ่งกรรมสิทธิ์ที่ดินที่มีโฉนดแล้วโดยการครอบครองด้วยอำนาจปรปักษ์ หาได้บัญญัติถึงสิทธิครอบครองในที่ดินมือเปล่าไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1742/2511
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การใช้สิทธิทางศาลต้องมีกฎหมายรองรับ และสิทธิรับมรดกของบุตรนอกกฎหมายที่บิดารับรอง
การใช้สิทธิทางศาลโดยยื่นคำร้องฝ่ายเดียว เพื่อขอให้ศาลมีคำสั่งอย่างใดอย่างหนึ่งนั้น ต้องเป็นกรณีที่มีกฎหมายบัญญัติไว้ให้ทำเช่นนั้นได้. มิใช่ว่าจะยื่นคำร้องฝ่ายเดียวได้ทุกกรณีไป.
บุตรนอกกฎหมายที่บิดารับรองแล้ว ย่อมมีสิทธิได้รับมรดกของบิดาผู้วายชนม์ตามกฎหมายโดยชอบแล้ว. จึงไม่มีบทกฎหมายบัญญัติให้ต้องมายื่นคำร้องเพื่อให้ศาลมีคำสั่งว่าเป็นผู้มีสิทธิรับมรดกของบิดาผู้วายชนม์อีก.
กฎกระทรวงมหาดไทย ฉบับที่ 7 พ.ศ.2497 ข้อ 8(1) เป็นเรื่องการได้มาซึ่งกรรมสิทธิ์ที่ดินที่มีโฉนดแล้วโดยการครอบครองด้วยอำนาจปรปักษ์. หาได้บัญญัติถึงสิทธิครอบครองในที่ดินมือเปล่าไม่.
บุตรนอกกฎหมายที่บิดารับรองแล้ว ย่อมมีสิทธิได้รับมรดกของบิดาผู้วายชนม์ตามกฎหมายโดยชอบแล้ว. จึงไม่มีบทกฎหมายบัญญัติให้ต้องมายื่นคำร้องเพื่อให้ศาลมีคำสั่งว่าเป็นผู้มีสิทธิรับมรดกของบิดาผู้วายชนม์อีก.
กฎกระทรวงมหาดไทย ฉบับที่ 7 พ.ศ.2497 ข้อ 8(1) เป็นเรื่องการได้มาซึ่งกรรมสิทธิ์ที่ดินที่มีโฉนดแล้วโดยการครอบครองด้วยอำนาจปรปักษ์. หาได้บัญญัติถึงสิทธิครอบครองในที่ดินมือเปล่าไม่.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1741/2511 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ผลบังคับตามคำพิพากษาขับไล่: ครอบคลุมถึงบริวารจำเลย แม้สิทธิในทรัพย์สินเปลี่ยนมือ
เมื่อศาลพิพากษาให้จำเลยและบริวารออกจากที่ดินพิพาทแล้วคำพิพากษานี้ย่อมมีผลบังคับถึงบริวารจำเลยด้วย แม้ห้องแถวซึ่งปลูกอยู่ในที่ดินพิพาทจะหลุดเป็นสิทธิของบุคคลอื่นก็ตาม บริวารจำเลยก็ยังมีหน้าที่ออกไปจากที่พิพาท และโจทก์ย่อมมีอำนาจบังคับให้บริวารจำเลยออกจากที่พิพาทตามคำพิพากษาของศาลได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1741/2511 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ผลบังคับตามคำพิพากษาขับไล่ขยายถึงบริวาร แม้สิทธิในทรัพย์สินจะเปลี่ยนแปลง
เมื่อศาลพิพากษาให้จำเลยและบริวารออกจากที่ดินพิพาทแล้ว คำพิพากษานี้ย่อมมีผลบังคับถึงบริวารจำเลยด้วย แม้ห้องแถวซึ่งปลูกอยู่ในที่ดินพิพาทจะหลุดเป็นสิทธิของบุคคลอื่นก็ตาม บริวารจำเลยก็ยังมีหน้าที่ออกไปจากที่พิพาท และโจทก์ย่อมมีอำนาจบังคับให้บริวารจำเลยออกจากที่พิพาทตามคำพิพากษาของศาลได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1741/2511
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ผลผูกพันคำพิพากษาถึงบริวาร: แม้สิทธิในทรัพย์สินเปลี่ยนมือ บริวารยังต้องปฏิบัติตามคำพิพากษาขับไล่
เมื่อศาลพิพากษาให้จำเลยและบริวารออกจากที่ดินพิพาทแล้ว. คำพิพากษานี้ย่อมมีผลบังคับถึงบริวารจำเลยด้วย. แม้ห้องแถวซึ่งปลูกอยู่ในที่ดินพิพาทจะหลุดเป็นสิทธิของบุคคลอื่นก็ตาม. บริวารจำเลยก็ยังมีหน้าที่ออกไปจากที่พิพาท และโจทก์ย่อมมีอำนาจบังคับให้บริวารจำเลยออกจากที่พิพาทตามคำพิพากษาของศาลได้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1685/2511 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบังคับตามคำพิพากษาคดีอาญา: ศาลชอบที่จะบังคับคดีให้จำเลยปฏิบัติตามคำพิพากษา แม้ไม่มีบทบัญญัติเฉพาะ
เมื่อคดีถึงที่สุดแล้ว ศาลก็ชอบที่จะบังคับคดีให้จำเลยปฏิบัติตามคำพิพากษาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา245 เมื่อบังคับคดีแล้วจำเลยไม่ปฏิบัติตามคำบังคับ ก็เป็นเรื่องที่จะดำเนินการในขั้นต่อไป เมื่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามิได้บัญญัติไว้โดยเฉพาะกรณีเช่นนี้ต้องนำเอาประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาใช้บังคับ มิฉะนั้นคำพิพากษาของศาลก็ไร้ผล
แม้ศาลอุทธรณ์จะไม่ได้ระบุไว้ว่าให้ใช้มาตราใดโดยเฉพาะแต่ก็ได้กล่าวไว้ว่าให้นำเอาภาค 4 ลักษณะ 2 หมวด 1 มาใช้บังคับ ดังนั้น การจะใช้มาตราใดมาปรับแก่คดีก็เป็นหน้าที่ของศาลชั้นต้นที่จะดำเนินการต่อไป
แม้ศาลอุทธรณ์จะไม่ได้ระบุไว้ว่าให้ใช้มาตราใดโดยเฉพาะแต่ก็ได้กล่าวไว้ว่าให้นำเอาภาค 4 ลักษณะ 2 หมวด 1 มาใช้บังคับ ดังนั้น การจะใช้มาตราใดมาปรับแก่คดีก็เป็นหน้าที่ของศาลชั้นต้นที่จะดำเนินการต่อไป
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1685/2511 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบังคับตามคำพิพากษาคดีอาญา: ศาลชอบบังคับให้จำเลยปฏิบัติตามคำพิพากษาห้ามประกอบกิจการ หากจำเลยไม่ปฏิบัติตาม
เมื่อคดีถึงที่สุดแล้ว ศาลก็ชอบที่จะบังคับคดีให้จำเลยปฏิบัติตามคำพิพากษาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 245 เมื่อบังคับคดีแล้วจำเลยไม่ปฏิบัติตามคำบังคับ.ก็เป็นเรื่องที่จะดำเนินการในขั้นต่อไป เมื่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามิได้บัญญัติไว้โดยเฉพาะกรณีเช่นนี้ต้องนำเอาประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาใช้บังคับ มิฉะนั้นคำพิพากษาของศาลก็ไร้ผล
แม้ศาลอุทธรณ์จะไม่ได้ระบุไว้ว่าให้ใช้มาตราใดโดยเฉพาะ แต่ก็ได้กล่าวไว้ว่าให้นำเอาภาค 4 ลักษณะ 2 หมวด1 มาใช้บังคับ ดังนั้น การจะใช้มาตราใดมาปรับแก่คดีก็เป็นหน้าที่ของศาลชั้นต้นที่จะดำเนินการต่อไป
แม้ศาลอุทธรณ์จะไม่ได้ระบุไว้ว่าให้ใช้มาตราใดโดยเฉพาะ แต่ก็ได้กล่าวไว้ว่าให้นำเอาภาค 4 ลักษณะ 2 หมวด1 มาใช้บังคับ ดังนั้น การจะใช้มาตราใดมาปรับแก่คดีก็เป็นหน้าที่ของศาลชั้นต้นที่จะดำเนินการต่อไป
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1685/2511
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบังคับตามคำพิพากษาคดีอาญา: การห้ามประกอบกิจการและการนำประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาใช้
เมื่อคดีถึงที่สุดแล้ว ศาลก็ชอบที่จะบังคับคดีให้จำเลยปฏิบัติตามคำพิพากษาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา245. เมื่อบังคับคดีแล้วจำเลยไม่ปฏิบัติตามคำบังคับ.ก็เป็นเรื่องที่จะดำเนินการในขั้นต่อไป. เมื่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามิได้บัญญัติไว้โดยเฉพาะ.กรณีเช่นนี้ต้องนำเอาประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาใช้บังคับ. มิฉะนั้นคำพิพากษาของศาลก็ไร้ผล.
แม้ศาลอุทธรณ์จะไม่ได้ระบุไว้ว่าให้ใช้มาตราใดโดยเฉพาะ. แต่ก็ได้กล่าวไว้ว่าให้นำเอาภาค 4 ลักษณะ 2 หมวด1 มาใช้บังคับ. ดังนั้น การจะใช้มาตราใดมาปรับแก่คดีก็เป็นหน้าที่ของศาลชั้นต้นที่จะดำเนินการต่อไป.
แม้ศาลอุทธรณ์จะไม่ได้ระบุไว้ว่าให้ใช้มาตราใดโดยเฉพาะ. แต่ก็ได้กล่าวไว้ว่าให้นำเอาภาค 4 ลักษณะ 2 หมวด1 มาใช้บังคับ. ดังนั้น การจะใช้มาตราใดมาปรับแก่คดีก็เป็นหน้าที่ของศาลชั้นต้นที่จะดำเนินการต่อไป.