พบผลลัพธ์ทั้งหมด 470 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1375/2513
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาซื้อขายปอฟอกที่มีข้อตกลงแบ่งกำไร ไม่ถือเป็นสัญญาเข้าหุ้นส่วน หากผู้ขายไม่รับผิดชอบขาดทุน
เอกสารหมาย จ.1 ถึง จ.4 เป็นเรื่องโจทก์จำเลยทำสัญญาซื้อขายปอฟอกกัน แม้เอกสารหมาย จ.1 มีข้อความตอนหนึ่งว่า 'ปอจำนวนนี้ ข้าฯ จะส่งมาภายในวันที่ 15 พฤศจิกายน 2509 เมื่อส่งครบจำนวนแล้วคิดตามราคาท้องตลาดเสร็จแล้วหักทุนออก เหลือเท่าไรจึงแบ่งฝ่ายละครึ่งของผลกำไร' ก็ตาม ก็เป็นข้อตกลงอีกอันหนึ่งว่า ภายหลังที่ขายปอให้กันแล้ว โจทก์ (ผู้ซื้อ) จะต้องแบ่งกำไรให้จำเลย(ผู้ขาย) ด้วยเท่านั้นหาทำให้สัญญาซื้อขายกลายเป็นสัญญาเข้าหุ้นส่วนไปไม่ เพราะจำเลยยอมรับแต่ผลกำไรฝ่ายเดียว เมื่อขาดทุนไม่ต้องออกด้วย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1369/2513 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การอุทธรณ์คำสั่งศาลที่ไม่รับอุทธรณ์ข้อเท็จจริง ต้องยื่นคำร้องภายใน 10 วัน นับจากวันที่ศาลมีคำสั่ง
ในการตรวจอุทธรณ์ที่ยื่นต่อศาลชั้นต้นนั้น ศาลชั้นต้นอาจตรวจในข้อที่คดีต้องห้ามอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224, 230
ศาลชั้นต้นตรวจอุทธรณ์ของจำเลยแล้วเห็นว่าต้องห้ามอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง จึงสั่งไม่รับ และมีคำสั่งให้ส่งอุทธรณ์นั่นไปเท่าที่เป็นอุทธรณ์ในข้อกฎหมาย จึงเป็นคำสั่งปฏิเสธไม่ส่งอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงไปยังศาลอุทธรณ์ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 232 หาใช่ต้องเป็นกรณีปฏิเสธไม่รับอุทธรณ์ของจำเลยทั้งหมดไม่ จำเลยจึงต้องอุทธรณ์คำสั่งศาล่ชั้นต้นที่สั่งไม่รับอุทธรณ์ข้อเท็จจริง โดยยื่นคำขอเป็นคำร้องต่อศาลชั้นต้น ภายใน 10 วัน นับแต่วันที่ศาลมีคำสั่งตามมาตรา 234
ศาลชั้นต้นตรวจอุทธรณ์ของจำเลยแล้วเห็นว่าต้องห้ามอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง จึงสั่งไม่รับ และมีคำสั่งให้ส่งอุทธรณ์นั่นไปเท่าที่เป็นอุทธรณ์ในข้อกฎหมาย จึงเป็นคำสั่งปฏิเสธไม่ส่งอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงไปยังศาลอุทธรณ์ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 232 หาใช่ต้องเป็นกรณีปฏิเสธไม่รับอุทธรณ์ของจำเลยทั้งหมดไม่ จำเลยจึงต้องอุทธรณ์คำสั่งศาล่ชั้นต้นที่สั่งไม่รับอุทธรณ์ข้อเท็จจริง โดยยื่นคำขอเป็นคำร้องต่อศาลชั้นต้น ภายใน 10 วัน นับแต่วันที่ศาลมีคำสั่งตามมาตรา 234
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1369/2513
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
กำหนดเวลาอุทธรณ์คำสั่งศาลที่ไม่รับอุทธรณ์ข้อเท็จจริง ต้องยื่นภายใน 10 วัน นับจากวันที่ศาลมีคำสั่ง
แม้ศาลชั้นต้นตรวจอุทธรณ์แล้วมีคำสั่งให้รับอุทธรณ์บางข้อคู่ความผู้อุทธรณ์จะอุทธรณ์คำสั่งก็ต้องยื่นภายในกำหนด 10 วัน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1316/2513 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การป้องกันตัวพอสมควรแก่เหตุ เมื่อถูกทำร้ายด้วยอาวุธอันตรายและมีขนาดตัวใหญ่กว่า
ขณะเกิดเหตุเป็นเวลากลางคืน ผู้ตายซึ่งมีรูปร่างใหญ่โตกว่าจำเลย ถือก้อนหินขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางราว 2 นิ้วฟุตเศษ หนาราว 1 นิ้วฟุต วิ่งไล่ทำร้ายจำเลย ทำให้ริบฝีปากบนของจำเลยแตกทั้งด้านนอกและด้านใน โลหิตไหล ฟันบนหัก 2 ซี่ จนหินกระเด็นหลุดจากมือผู้ตาย แล้วผู้ตายยังได้ชกจำเลยอีกหลายทีติด ๆ กัน จำเลยจึงชักเหล็กขูดชาร์ฟจากเอวแทงผู้ตายไปหลายที ถือได้ว่าจำเลยไม่มีโอกาสที่จะเลือกแทงผู้ตายให้ถูกที่สำคัญได้ นอกจากกระทำไปเพื่อหยุดยั้งการกระทำของผู้ตายเท่านั้น ฉะนั้นการกระทำของจำเลยตามพฤติการณ์ดังกล่าวย่อมถือได้ว่าเป็นการป้องกันพอสมควรแก่เหตุ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1316/2513
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การป้องกันตัวพอสมควรแก่เหตุ เมื่อถูกทำร้ายด้วยอาวุธและการใช้กำลังป้องกันตนเอง
ขณะเกิดเหตุเป็นเวลากลางคืน ผู้ตายซึ่งมีรูปร่างใหญ่โตกว่าจำเลยถือก้อนหินขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางราว 2 นิ้วฟุตเศษ หนาราว 1 นิ้วฟุตวิ่งไล่ทำร้ายจำเลย ทำให้ริมฝีปากบนของจำเลยแตกทั้งด้านนอกและด้านในโลหิตไหล ฟันบนหัก 2 ซี่ จนหินกระเด็นหลุดจากมือผู้ตาย แล้วผู้ตายยังได้ชกจำเลยอีกหลายทีติด ๆ กัน จำเลยจึงชักเหล็กขูดชาร์ฟจากเอวแทงผู้ตายไปหลายที ถือได้ว่าจำเลยไม่มีโอกาสที่จะเลือกแทงผู้ตายให้ถูกในที่สำคัญได้ นอกจากกระทำไปเพื่อหยุดยั้งการกระทำของผู้ตายเท่านั้นฉะนั้นการกระทำของจำเลยตามพฤติการณ์ดังกล่าวย่อมถือได้ว่าเป็นการป้องกันพอสมควรแก่เหตุ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1313/2513
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การวินิจฉัยข้อเท็จจริงขัดแย้งกับศาลชั้นต้นในคดีอาญา ทำให้การอุทธรณ์ไม่ชอบ
ในคดีที่จำเลยถูกฟ้องในข้อหายักยอกนั้น ปัญหาที่ว่าจำเลยมีเจตนาทุจริตหรือไม่ หรือจำเลยเบียดบังเอาทรัพย์ของโจทก์ไว้เป็นของตนโดยทุจริตหรือไม่ เป็นปัญหาข้อเท็จจริง
เมื่อศาลอุทธรณ์รับอุทธรณ์ของโจทก์ในปัญหาข้อกฎหมายไว้พิจารณา การวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายศาลอุทธรณ์จะต้องฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยมาแล้วจากพยานหลักฐานในสำนวน ดังนั้นเมื่อศาลชั้นต้นวินิจฉัยข้อเท็จจริงว่าจำเลยไม่มีเจตนาทุจริตจะเบียดบังทรัพย์ของโจทก์ การที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยข้อเท็จจริงว่า จำเลยเบียดบังเอาทรัพย์ของโจทก์ไว้เป็นของตนโดยทุจริต จึงเป็นการวินิจฉัยข้อเท็จจริงที่ขัดกับข้อเท็จจริงที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยมา ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 194
เมื่อศาลอุทธรณ์รับอุทธรณ์ของโจทก์ในปัญหาข้อกฎหมายไว้พิจารณา การวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายศาลอุทธรณ์จะต้องฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยมาแล้วจากพยานหลักฐานในสำนวน ดังนั้นเมื่อศาลชั้นต้นวินิจฉัยข้อเท็จจริงว่าจำเลยไม่มีเจตนาทุจริตจะเบียดบังทรัพย์ของโจทก์ การที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยข้อเท็จจริงว่า จำเลยเบียดบังเอาทรัพย์ของโจทก์ไว้เป็นของตนโดยทุจริต จึงเป็นการวินิจฉัยข้อเท็จจริงที่ขัดกับข้อเท็จจริงที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยมา ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 194
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1281/2513 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การยินยอมในความสัมพันธ์ทางเพศ: ไม่มีละเมิดและสิทธิเรียกร้องค่าเสียหาย
ในการพิพากษาคดีส่วนอาญา ศาลล่างฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์สมัครใจยินยอมให้จำเลยร่วมประเวณี มิใช่ถูกจำเลยข่มขืนใจ ในการพิพากษาคดีส่วนแพ่ง ศาลฎีกาจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญา เมื่อการกระทำของโจทก์เป็นเรื่องสมัครใจ จำเลยจึงมิได้กระทำละเมิดต่อโจทก์ โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกค่าเสียหาย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1281/2513
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความยินยอมในการประเวณีและการละเมิด: เมื่อการกระทำเป็นไปโดยสมัครใจ ผู้กระทำไม่ถือว่าละเมิด
ในการพิพากษาคดีส่วนอาญา ศาลล่างฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์สมัครใจยินยอมให้จำเลยร่วมประเวณีมิใช่ถูกจำเลยข่มขืนใจ ในการพิพากษาคดีส่วนแพ่ง ศาลฎีกาจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญา เมื่อการกระทำของโจทก์เป็นเรื่องสมัครใจจำเลยจึงมิได้กระทำละเมิดต่อโจทก์ โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกค่าเสียหาย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1268/2513 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การร่วมกระทำความผิดฐานปล้นทรัพย์: การสนับสนุนด้วยการขนย้ายทรัพย์สินที่ได้จากการกระทำความผิด
(พฤติการณ์การกระทำของจำเลยที่เป็นเหตุผลเชื่อได้ว่ารู้เห็นในการกระทำการปล้นทรัพย์อยู่ด้วย)
เมื่อกรณีฟังได้ว่าจำเลยที่ 6 ซึ่งเป็นคนขับรถบรรทุก จำเลยที่ 7 เป็นเด็กประจำรถรู้เห็นในการปล้นทรัพย์อยู่ด้วย การที่จำเลยที่ 6 ที่ 7 นำรถยนต์ไปจอดรอรับกระบือที่ได้จากการปล้นพาหนีไปให้พ้นจากการติดตามเอาคืนของเจ้าทรัพย์และเจ้าพนักงาน จึงเป็นการกระทำส่วนหนึ่งเพื่อให้การปล้นทรัพย์บรรลุผลสำเร็จอันเป็นการแบ่งหน้าที่กันทำการกระทำของจำเลยที่ 6 ที่ 7 จึงเป็นการร่วมกระทำความผิดด้วยกันเป็นตัวการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83
เมื่อกรณีฟังได้ว่าจำเลยที่ 6 ซึ่งเป็นคนขับรถบรรทุก จำเลยที่ 7 เป็นเด็กประจำรถรู้เห็นในการปล้นทรัพย์อยู่ด้วย การที่จำเลยที่ 6 ที่ 7 นำรถยนต์ไปจอดรอรับกระบือที่ได้จากการปล้นพาหนีไปให้พ้นจากการติดตามเอาคืนของเจ้าทรัพย์และเจ้าพนักงาน จึงเป็นการกระทำส่วนหนึ่งเพื่อให้การปล้นทรัพย์บรรลุผลสำเร็จอันเป็นการแบ่งหน้าที่กันทำการกระทำของจำเลยที่ 6 ที่ 7 จึงเป็นการร่วมกระทำความผิดด้วยกันเป็นตัวการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1268/2513
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
รู้เห็นการปล้นทรัพย์: การกระทำสนับสนุนการปล้นทรัพย์ถือเป็นตัวการร่วม
(พฤติการณ์การกระทำของจำเลยที่เป็นเหตุผลเชื่อได้ว่ารู้เห็นในการกระทำการปล้นทรัพย์อยู่ด้วย)
เมื่อกรณีฟังได้ว่าจำเลยที่ 6 ซึ่งเป็นคนขับรถยนต์บรรทุก จำเลยที่ 7เป็นเด็กประจำรถรู้เห็นในการปล้นทรัพย์อยู่ด้วย การที่จำเลยที่ 6 ที่ 7นำรถยนต์ไปจอดรอรับกระบือที่ได้จากการปล้นพาหนีไปให้พ้นจากการติดตามเอาคืนของเจ้าทรัพย์และเจ้าพนักงาน จึงเป็นการกระทำส่วนหนึ่งเพื่อให้การปล้นทรัพย์บรรลุผลสำเร็จอันเป็นการแบ่งหน้าที่กันทำ การกระทำของจำเลยที่ 6 ที่ 7 จึงเป็นการร่วมกระทำความผิดด้วยกันเป็นตัวการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83
เมื่อกรณีฟังได้ว่าจำเลยที่ 6 ซึ่งเป็นคนขับรถยนต์บรรทุก จำเลยที่ 7เป็นเด็กประจำรถรู้เห็นในการปล้นทรัพย์อยู่ด้วย การที่จำเลยที่ 6 ที่ 7นำรถยนต์ไปจอดรอรับกระบือที่ได้จากการปล้นพาหนีไปให้พ้นจากการติดตามเอาคืนของเจ้าทรัพย์และเจ้าพนักงาน จึงเป็นการกระทำส่วนหนึ่งเพื่อให้การปล้นทรัพย์บรรลุผลสำเร็จอันเป็นการแบ่งหน้าที่กันทำ การกระทำของจำเลยที่ 6 ที่ 7 จึงเป็นการร่วมกระทำความผิดด้วยกันเป็นตัวการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83