คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
ชลอ บุปผเวส

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 470 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 524/2513

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิฎีกาเมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นแต่ด้วยเหตุผลอื่น และผลคำพิพากษาไม่ตัดสิทธิโจทก์ในการฟ้องคดีใหม่
แม้ศาลอุทธรณ์จะพิพากษาให้จำเลยชนะคดี แต่ถ้าจำเลยเห็นว่าศาลอุทธรณ์วินิจฉัยไม่ถูกต้องตรงตามประเด็นและผลของคำพิพากษาทำให้เสียสิทธิของจำเลย จำเลยก็มีสิทธิฎีกาได้
คดีมีประเด็นว่าโจทก์ฟ้องเรียกเงินที่โจทก์อ้างว่าเข้าหุ้นส่วนกับจำเลยคืนได้หรือไม่ ศาลชั้นต้นฟังว่าโจทก์ไม่ได้เข้าหุ้นส่วนกับจำเลยจึงยกฟ้อง ศาลอุทธรณ์เห็นว่าการนำสืบของโจทก์นอกฟ้องนอกประเด็น จึงพิพากษายืน ผลก็คือโจทก์ฟ้องเรียกเงินคืนจากจำเลยไม่ได้ ถือว่าศาลอุทธรณ์พิพากษาตรงตามประเด็นแล้ว
การที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้อง แต่ไม่ตัดสิทธิโจทก์ที่จะนำคดีมาฟ้องใหม่ภายในอายุความนั้น เป็นดุลพินิจของศาลที่จะวินิจฉัยสั่งได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 524/2513 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิฎีกาแม้ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ชนะคดี หากวินิจฉัยไม่ตรงประเด็นและกระทบสิทธิ
แม้ศาลอุทธรณ์จะพิพากษาให้จำเลยชนะคดี แต่ถ้าจำเลยเห็นว่าศาลอุทธรณ์วินิจฉัยไม่ถูกต้องตรงตามประเด็น และผลของคำพิพากษาทำให้เสียสิทธิของจำเลย จำเลยก็มีสิทธิฎีกาได้
คดีมีประเด็นว่าโจทก์ฟ้องเรียกเงินที่โจทก์อ้างว่าเข้าหุ้นส่วนกับจำเลยคืนได้หรือไม่ ศาลชั้นต้นฟังว่าโจทก์ไม่ได้เข้าหุ้นส่วนกับจำเลยจึงยกฟ้อง ศาลอุทธรณ์เห็นว่าการนำสืบของโจทก์นอกฟ้องนอกประเด็นจึงพิพากษายืน ผลก็คือโจทก์ฟ้องเรียกเงินคืนจากจำเลยไม่ได้ ถือว่าศาลอุทธรณ์พิพากษาตรงตามประเด็นแล้ว
การที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้อง แต่ไม่ตัดสิทธิโจทก์ที่จะนำคดีมาฟ้องใหม่ภายในอายุความนั้น เป็นดุลยพินิจของศาลที่จะวินิจฉัยสั่งได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 516/2513

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การสิ้นสุดความคุ้มครองตาม พ.ร.บ.ควบคุมการเช่าเคหะและที่ดิน และผลกระทบต่อการฟ้องขับไล่
ขณะฟ้องจำเลยได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติควบคุมการเช่าเคหะและที่ดิน พ.ศ. 2504 ในระหว่างศาลฎีกาทำการพิจารณาคดีนี้ปรากฏว่า พระราชบัญญัติควบคุมการเช่าเคหะและที่ดินพ.ศ. 2504 มาตรา 21 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติควบคุมการเช่าเคหะและที่ดิน (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2511 มาตรา 3กำหนดให้พระราชบัญญัติควบคุมการเช่าเคหะและที่ดิน พ.ศ. 2504เฉพาะมาตรา 11 และ 17 ใช้บังคับได้เพียง 8 ปี นับแต่พระราชบัญญัติ ควบคุมการเช่าเคหะและที่ดิน พ.ศ. 2504 ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 12 ตุลาคม 2504 มาตรา 11 และ17 ดังกล่าวจึงไม่มีผลบังคับหรือเลิกใช้ บังคับแล้ว จำเลยไม่ได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายดังกล่าวต่อไป ดังนี้ ศาลฎีกาจะยกเอาความสิ้นสุดของพระราชบัญญัติ ควบคุมการเช่าเคหะและที่ดินฯ ดังกล่าว ในระหว่างพิจารณามา เป็นเหตุพิพากษาขับไล่จำเลยไม่ได้ เพราะเหตุที่ศาลจะยกขึ้นพิพากษา ขับไล่จำเลยได้ จะต้องเป็นเหตุที่มีอยู่ตามกฎหมายที่ใช้บังคับ ในขณะฟ้อง
(ประชุมใหญ่ครั้งที่ 9/2513)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 516/2513 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ผลของกฎหมายที่สิ้นผลบังคับกับคดีระหว่างพิจารณา: ศาลฎีกาไม่สามารถใช้เหตุสิ้นสุดกฎหมายระหว่างพิจารณาเพื่อพิพากษาขับไล่ได้
ขณะฟ้องจำเลยได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติควบคุมการเช่าเคหะและที่ดิน พ.ศ. 2504 ในระหว่างศาลฎีกาทำการพิจารณาคดีนี้ปรากฏว่า พระราชบัญญัติควบคุมการเช่าเคหะและที่ดินพ.ศ. 2504 มาตรา 21 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติควบคุมการเช่าเคหะและที่ดิน (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2511 มาตรา 3กำหนดให้พระราชบัญญัติควบคุมการเช่าเคหะและที่ดิน พ.ศ. 2504 เฉพาะมาตรา 11 และ 17 ใช้บังคับได้เพียง 8 ปี นับแต่พระราชบัญญัติ ควบคุมการเช่าเคหะและที่ดิน พ.ศ. 2504 ใช้บังคับ (ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 12 ตุลาคม 2504) มาตรา 11 และ17 ดังกล่าวจึงไม่มีผลบังคับหรือเลิกใช้บังคับแล้ว จำเลยไม่ได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายดังกล่าวต่อไปดังนี้ ศาลฎีกาจะยกเอาความสิ้นสุดของพระราชบัญญัติควบคุมการเช่าเคหะและที่ดินฯ ดังกล่าว ในระหว่างพิจารณามาเป็นเหตุพิพากษาขับไล่จำเลยไม่ได้ เพราะเหตุที่ศาลจะยกขึ้นพิพากษาขับไล่จำเลยได้ จะต้องเป็นเหตุที่มีอยู่ตามกฎหมายที่ใช้บังคับในขณะฟ้อง
(ประชุมใหญ่ครั้งที่ 9/2513)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 515/2513 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ประเด็นฟ้องเรียกค่าจ้างว่าความคืนจากทนาย โดยอ้างเหตุสัญญาเป็นโมฆะ หากศาลล่างวินิจฉัยว่าสัญญาไม่เป็นโมฆะ ฟ้องนั้นย่อมตกไป
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์จ้างจำเลยเป็นทนายในคดีที่โจทก์ถูกบุคคลอื่นฟ้องเรียกค่าเสียหาย ทำสัญญากันว่าโจทก์ตกลงจ้างเหมาให้จำเลยว่าความจนถึงที่สุดตลอดจนการที่จะฟ้องบุคคลนั้นหาว่าปลอมและใช้เอกสารปลอมโดยตกลงให้ค่าจ้างเหมาแก่จำเลย รวมทั้งค่าเสียหายซึ่งโจทก์จะต้องใช้ให้แก่บุคคลนั้นตามคำพิพากษาหรือสัญญาประนีประนอมยอมความเป็นเงิน120,000 บาท โจทก์ได้มอบเงินให้จำเลยไปแล้ว ต่อมาโจทก์จำเลยขัดแย้งกันโจทก์จึงถอนจำเลยจากการเป็นทนายและตั้งทนายใหม่ในที่สุดโจทก์กับบุคคลที่ฟ้องโจทก์นั้นทำยอมความกัน โดยบุคคลนั้นยอมรับเงินจากโจทก์ 170,000 บาท เมื่อโจทก์ชำระแล้ว ได้ให้ทนายแจ้งให้จำเลยนำเงินจำนวนนี้มาชำระให้โจทก์ตามสัญญา จำเลยกลับเพิกเฉย เนื่องจากสัญญาดังกล่าวมีวัตถุประสงค์ในสารสำคัญเป็นการขัดขวางต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชนจึงเป็นโมฆะไม่มีผลบังคับ ขอให้บังคับจำเลยคืนเงินค่าจ้างเหมาว่าความที่จำเลยรับไปคืนให้โจทก์พร้อมดอกเบี้ย คำฟ้องของโจทก์ดังกล่าวแล้ว แม้ตอนแรกกล่าวเป็นทำนองจะขอให้บังคับจำเลยคืนเงินค่าจ้างว่าความตามสัญญาก็ตาม แต่ในตอนท้ายกลับอ้างว่าสัญญาเป็นโมฆะไม่มีผลบังคับ ขอให้บังคับจำเลยคืนเงินให้โจทก์ทั้งสิ้นจึงเป็นคำฟ้องที่มีประเด็นเฉพาะเรื่องฟ้องเรียกค่าจ้างว่าความคืนโดยอ้างเหตุว่าสัญญาเป็นโมฆะแต่เพียงประการเดียวไม่มีประเด็นเรื่องฟ้องเรียกเงินค่าจ้างว่าความคืนตามสัญญา
เมื่อฟ้องของโจทก์มีประเด็นเพียงว่าสัญญาเป็นโมฆะ จึงขอเงินค่าจ้างที่จ่ายไปแล้วคืนจากจำเลย แต่ศาลล่างวินิจฉัยชี้ขาดแล้วว่าสัญญาไม่เป็นโมฆะ และประเด็นข้อนี้ไม่มีการฎีกาโต้แย้ง ฉะนั้นสัญญาเป็นโมฆะหรือไม่ จึงไม่เป็นประเด็นในชั้นฎีกา ฟ้องของโจทก์ซึ่งเรียกค่าจ้างว่าความคืนจากจำเลยเพราะสัญญาจ้างว่าความเป็นโมฆะจึงเป็นอันตกไป
(วินิจฉัยโดยที่ประชุมใหญ่ครั้งที่ 2-6/2513)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 515/2513

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ประเด็นฟ้องเรียกค่าจ้างคืนจากทนายโดยอ้างสัญญาเป็นโมฆะ หากศาลล่างวินิจฉัยสัญญาไม่เป็นโมฆะ ฟ้องย่อมตกไป
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์จ้างจำเลยเป็นทนายในคดีที่โจทก์ถูกบุคคลอื่นฟ้องเรียกค่าเสียหาย ทำสัญญากันว่าโจทก์ตกลงจ้างเหมาให้จำเลยว่าความจนถึงที่สุดตลอดจนการที่จะฟ้องบุคคลนั้นหาว่าปลอมและใช้เอกสารปลอมโดยตกลงให้ค่าจ้างเหมาแก่จำเลย รวมทั้งค่าเสียหายซึ่งโจทก์จะต้องใช้ให้แก่บุคคลนั้นตามคำพิพากษาหรือสัญญาประนีประนอมยอมความเป็นเงิน120,000 บาท โจทก์ได้มอบเงินให้จำเลยไปแล้ว ต่อมาโจทก์จำเลยขัดแย้งกันโจทก์จึงถอนจำเลยจากการเป็นทนายและตั้งทนายใหม่ ในที่สุดโจทก์กับบุคคลที่ฟ้องโจทก์นั้นทำยอมความกัน โดยบุคคลนั้นยอมรับเงินจากโจทก์ 170,000 บาท เมื่อโจทก์ชำระแล้วได้ให้ทนายแจ้งให้จำเลยนำเงินจำนวนนี้มาชำระให้โจทก์ตามสัญญา จำเลยกลับเพิกเฉย เนื่องจากสัญญาดังกล่าวมีวัตถุประสงค์ในสารสำคัญ เป็นการขัดขวางต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชนจึงเป็นโมฆะ ไม่มีผลบังคับ ขอให้บังคับจำเลยคืนเงินค่าจ้างเหมาว่าความที่จำเลยรับไปคืนให้โจทก์พร้อมดอกเบี้ย คำฟ้องของโจทก์ดังกล่าวแล้ว แม้ตอนแรกกล่าวเป็นทำนองจะขอให้บังคับจำเลยคืนเงินค่าจ้างว่าความตามสัญญาก็ตาม แต่ในตอนท้ายกลับอ้างว่าสัญญาเป็นโมฆะ ไม่มีผลบังคับ ขอให้บังคับจำเลยคืนเงินให้โจทก์ทั้งสิ้น จึงเป็นคำฟ้องที่มีประเด็นเฉพาะเรื่องฟ้องเรียกค่าจ้างว่าความคืนโดยอ้างเหตุว่าสัญญาเป็นโมฆะแต่เพียงประการเดียวไม่มีประเด็นเรื่องฟ้องเรียกเงินค่าจ้างว่าความคืนตามสัญญา
เมื่อฟ้องของโจทก์มีประเด็นเพียงว่าสัญญาเป็นโมฆะ จึงขอเงินค่าจ้างที่จ่ายไปแล้วคืนจากจำเลย แต่ศาลล่างวินิจฉัยชี้ขาดแล้วว่าสัญญาไม่เป็นโมฆะ และประเด็นข้อนี้ไม่มีการฎีกาโต้แย้ง ฉะนั้นสัญญาเป็นโมฆะหรือไม่ จึงไม่เป็นประเด็นในชั้นฎีกา ฟ้องของโจทก์ซึ่งเรียกค่าจ้างว่าความคืนจากจำเลยเพราะสัญญาจ้างว่าความเป็นโมฆะ จึงเป็นอันตกไป
(วินิจฉัยโดยที่ประชุมใหญ่ครั้งที่ 2-6/2513)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 481/2513 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การครอบครองที่ดินพิพาท: การพิสูจน์เจตนาเป็นเจ้าของและการฟังพยานหลักฐาน
ฟ้องโจทก์กล่าวอ้างว่าโจทก์เป็นเจ้าของผู้ครอบครองที่ดินพิพาทติดต่อกันมา 10 ปีเศษ จำเลยเพิ่งบุกรุกเข้ามาครอบครองที่ดินพิพาทเมื่อก่อนฟ้องเพียง 1 เดือน โจทก์ทราบเมื่อฟ้องคดีนี้ว่า ศาลได้พิพากษาตามยอมให้นายแดงโอนขายที่ดินพิพาทให้จำเลยตามคดีแพ่งแดงที่ 2/2510 ส่วนจำเลยต่อสู้ว่า ได้ครอบครองที่ดินพิพาทตั้งแต่เวลาทำสัญญาซื้อขายกันประเด็นสำคัญของคดีจึงอยู่ที่ว่าฝ่ายใดครอบครองที่พิพาทด้วยเจตนาเป็นเจ้าของ ซึ่งเป็นข้อเท็จจริงที่โจทก์จำเลยยังโต้เถียงกัน ชอบที่ศาลจะฟังพยานหลักฐานของคู่ความต่อไป

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 481/2513

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การครอบครองที่ดินพิพาท: เจตนาเป็นเจ้าของเป็นสำคัญ
ฟ้องโจทก์กล่าวอ้างว่าโจทก์เป็นเจ้าของผู้ครอบครองที่ดินพิพาทติดต่อกันมา 10 ปีเศษ จำเลยเพิ่งบุกรุกเข้ามาครอบครองที่ดินพิพาทเมื่อก่อนฟ้องเพียง 1 เดือน โจทก์ทราบเมื่อฟ้องคดีนี้ว่า ศาลได้พิพากษาตามยอมให้นายแดงโอนขายที่ดินพิพาทให้จำเลยตามคดีแพ่งแดงที่ 2/2510 ส่วนจำเลยต่อสู้ว่าได้ครอบครองที่ดินพิพาทตั้งแต่เวลาทำสัญญาซื้อขายกันประเด็นสำคัญของคดีจึงอยู่ที่ว่าฝ่ายใดครอบครองที่พิพาทด้วยเจตนาเป็นเจ้าของ ซึ่งเป็นข้อเท็จจริงที่โจทก์จำเลยยังโต้เถียงกัน ชอบที่ศาลจะฟังพยานหลักฐานของคู่ความต่อไป

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 467-468/2513 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฟ้องคดีอาญาฐานฉ้อโกง แม้มีข้อจำกัดในคดีแพ่งเกี่ยวกับหุ้น
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1114 ที่ได้บัญญัติห้ามมิให้ผู้เข้าชื่อซื้อหุ้นฟ้องร้องขอให้ศาลเพิกถอนการที่ตนได้เข้าชื่อซื้อ โดยยกเหตุว่าสำคัญผิดหรือต้องข่มขู่หรือถูกลวงล่อฉ้อฉลนั้น ห้ามเฉพาะในกรณีที่ฟ้องร้องกันในทางแพ่งเท่านั้น มิได้มีผลห้ามมิให้ผู้เข้าชื่อซื้อหุ้นฟ้องในคดีอาญาฐานฉ้อโกง ฉะนั้น ผู้เสียหายหรือพนักงานอัยการ ในเมื่อมีการร้องทุกข์ จึงมีอำนาจดำเนินคดีกับจำเลยได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 467-468/2513

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ มาตรา 1114 มิได้ห้ามฟ้องอาญาฉ้อโกง แม้มีข้อตกลงซื้อหุ้น
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1114 ที่ได้บัญญัติห้ามมิให้ผู้เข้าชื่อซื้อหุ้นฟ้องร้องขอให้ศาลเพิกถอนการที่ตนได้เข้าชื่อซื้อ โดยยกเหตุว่าสำคัญผิดหรือต้องข่มขู่หรือถูกลวงล่อฉ้อฉลนั้น ห้ามเฉพาะในกรณีที่ฟ้องร้องกันในทางแพ่งเท่านั้น มิได้มีผลห้ามมิให้ผู้เข้าชื่อซื้อหุ้นฟ้องในคดีอาญาฐานฉ้อโกง ฉะนั้น ผู้เสียหายหรือพนักงานอัยการ ในเมื่อมีการร้องทุกข์ จึงมีอำนาจดำเนินคดีกับจำเลยได้
of 47